โดย สุญตา
นิสิตชั้นปีที่ 4 เอกภาษาอิตาเลียน โทภาษาญี่ปุ่น. อักษรฯ จุฬาฯ
ผลงานลำดับที่ 13 ในคอลัมน์ "เรื่องเล่า ตัวตน คนอื่น" อ่านที่มาของคอลัมน์ได้ที่ http://minimore.com/b/F5RyR/1
ฉันนั่งอยู่ตรงริมแม่น้ำนี้มาสักหนึ่งชั่วโมงแล้วเห็นจะได้ เสียงรถม้าบนถนนด้านหลังจากเดิมที่สร้างความรำคาญให้กับโสตประสาทก็เริ่มจะไม่เป็นอุปสรรคอะไรต่อการเหม่อลอย ในมือมีหนังสือเล่มหนึ่งซึ่งเพิ่งซื้อมาจากร้านหนังสือเก่าในตัวเมือง ซึ่งฉันก็ไม่ได้รู้หรือเข้าใจเนื้อหาข้างในอะไรมากนัก เพียงแต่ซื้อมาเพราะเห็นว่าชื่อเรื่องมันน่าสนใจดีเท่านั้นเอง เผื่อว่ามันจะช่วยแก้เบื่อให้ฉันได้บ้างระหว่างออกมาเดินเล่นในเมืองหลังจากโดนเพื่อนสนิทยกเลิกนัดกะทันหัน
“หนทางก้าวผ่านความทุกข์” เป็นชื่อของหนังสือเล่มนี้ ปกติแล้วฉันไม่ค่อยอ่านหนังสือพวกนี้สักเท่าไรเพราะคิดว่ามันไม่ได้ช่วยให้ชีวิตดีขึ้น แต่ที่ตัดสินใจซื้อมาคราวนี้คงเป็นเพราะฉันเพิ่งจะโดนบอกเลิกมามั้ง จะขอหวังพึ่งของแบบนี้บ้างเป็นบางครั้งก็คงไม่มีปัญหาสักเท่าไร
ฉันเริ่มเปิดหนังสือไปเรื่อย ๆ ทีละหน้า แล้วก็ต้องมาสะดุดกับหน้าสารบัญ ที่ฉันแปลกใจเพราะทั้งหน้ามีอยู่แค่นั้นจริง ๆ จะบ้าเหรอ หนังสือที่ไม่มีสารบัญ...ไม่สิ มีสารบัญแต่ไม่บอกอะไรเลยนี่มันหมายความว่ายังไงกัน ฉันเริ่มจะคิดผิดที่หยิบเจ้าเล่มนี้ขึ้นมาแล้วสิ แต่ก็ช่างเถอะ ฉันแค่จะใช้มันแก้เบื่อเท่านั้นเอง คงไม่ได้อ่านอีกหลายรอบหรอก ตอนจะไปขายที่ร้านหนังสือมือสองค่อยบอกเขาว่าเป็นความผิดพลาดของโรงพิมพ์แล้วกัน ว่าแล้วฉันก็เลยเปิดหน้าต่อไป
“บทที่ 1 ทำความรู้จักกับความทุกข์” อย่างนั้นเหรอ ตลกดี ทำไมคนถึงจะไม่รู้ว่าเพราะอะไรตัวเองถึงเศร้า มันก็ต้องรู้อยู่แล้วสิ อีกอย่างเหตุแห่งความทุกข์ของแต่ละคนก็มีเป็นร้อยแปดพันเก้า อย่างฉันที่เศร้าก็เพราะอกหัก เพื่อนทิ้ง ไม่รู้จะทำอะไรดี ถึงได้เศร้าไงล่ะ แล้วจะให้เขาระบุถึงสาเหตุความทุกข์เพียงสิ่งเดียวได้อย่างไร ไหนลองดูสิในหนังสือจะเขียนอะไรไว้บ้าง....... “การทำความรู้จักกับความทุกข์นั้นไม่ใช่แค่รู้ว่ามันเกิดเพราะอะไรแล้วก็จบ...” อ้าว ทำไมเหมือนโดนอ่านใจได้ “...แต่ต้องเรียนรู้ถึงสิ่งที่มันกระทำกับตัวเราด้วย เช่น ทำให้เรากินข้าวไม่ลงไปเป็นวัน ทำให้เราได้แต่นอนร้องไห้อยู่บนเตียง ทำให้เราไม่อยากทำอะไรทั้งนั้น...” ฉันเริ่มจะกลัวแล้วสิ ทำไมหนังสือนี่ถึงได้เขียนเหมือนกับเห็นชีวิตฉันในวันที่ผ่านมากันนะ ไม่หรอกน่า มันก็เป็นเรื่องปกติที่คนเศร้าส่วนใหญ่จะทำนั่นแหละ เขาเลยเอามาเขียนได้
มาคิดดูแล้ว ถึงมันจะงี่เง่าขนาดไหนแต่ฉันก็ทำเรื่องทำนองนี้ไปเยอะเหมือนกัน ทุกครั้งที่รู้สึกเสียใจหรือไม่พอใจอะไรก็จะเก็บไว้ในใจแล้วมานอนร้องไห้คนเดียวในห้อง ไม่ก็ระบายผ่านโซเชียลให้ชาวบ้านได้รับรู้ ขายหน้ากันไปอีก ฉันบ่นกับตัวเองในใจก่อนที่จะเปิดหนังสือต่อ เริ่มรู้สึกสนุกกับการอ่านมันมากขึ้นเรื่อย ๆ
“บทที่ 2 รู้จักใช้ชีวิตร่วมกับความทุกข์” เดี๋ยวสิ ไหนว่าจะช่วยให้ก้าวผ่านความทุกข์ไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมถึงบอกให้ใช้ชีวิตอยู่กับมันล่ะ ไม่ใช่แล้ว พอกันทีกับหนังสือเล่มนี้…ถึงจะพูดแบบนั้นก็เถอะ ฉันก็ยังอ่านต่ออยู่ดี ในเมื่อฉันไม่มีอะไรทำนี่นา ไหนดูซิ ในหนังสือบอกว่า “ต้องใช้ชีวิตประจำวันโดยที่ไม่ให้ความทุกข์มาครอบงำการตัดสินใจของเรา แล้วเราจะสามารถอยู่กับมันได้อย่างเป็นปกติสุข” เขียนได้ดีเหมือนกันนะ อย่างที่ว่าล่ะ ถ้าเราใช้ชีวิตอยู่กับมันได้ก็น่าจะเป็นเพื่อนที่ดีคนหนึ่งเลย ปัญหาคือฉันจะทำได้ยังไงนี่สิ ในหนังสือไม่ได้บอกไว้ด้วย คงต้องลองปรับมุมมองดูสักหน่อย น่าจะต้องเริ่มจากทำให้ดูเป็นเรื่องตลกล่ะนะ นั่นสิ ก็แค่ผู้ชายแย่ ๆ หายไปจากชีวิตคนหนึ่งเท่านั้นเอง เราต้องเข้มแข็งเข้าไว้ เดี๋ยวก็มีคนดี ๆ เข้ามาเอง ชีวิตยังอีกยาวไกล
เอาล่ะสิ ฉันเริ่มสนุกกับการอ่านหนังสือเล่มนี้มากขึ้นเรื่อย ๆ ฉันอ่านมันต่อเนื่องสักพักหนึ่งจนรู้สึกเหนื่อยจึงเงยหน้าขึ้นมาพัก ถึงได้รู้ว่าดวงอาทิตย์เริ่มจะลับขอบฟ้าไปแล้ว นี่ฉันอ่านอย่างเมามันส์ขนาดนี้เลยเหรอ ถึงว่าทำไมท้องเริ่มประท้วงขั้นรุนแรง ดีนะที่พกขนมปังมาด้วย ฉันหยิบขนมปังไส้สังขยาใบเตยก้อนโตออกมาจากกระเป๋า แกะห่อแล้วกัดเข้าไปคำเล็ก ๆ จากนั้นจึงหยิบเจ้าหนังสือเล่มนั้นขึ้นมาอ่านต่อ โชคดีที่ไฟถนนสว่างพอให้ฉันอ่านได้โดยไม่ต้องเพ่งให้เสียสายตา ต่อไปจะเป็นเรื่องอะไรกันนะ...
“บทที่ 8 ก้าวผ่านความทุกข์”
“อ่านมาถึงตรงนี้ท่านคงจะได้ทราบหลากหลายวิธีในการจัดการกับความทุกข์ของตนเองแล้ว ต่อไปเราจะมาพูดถึงการก้าวผ่านความทุกข์เหล่านั้นไปบ้าง นั่นคือ...”
ฉันพลิกหน้ากระดาษไปมาอยู่หลายครั้ง แต่ก็ไม่มีตัวหนังสืออื่นใดให้เห็นแม้แต่ตัวเดียว อะไรกัน แกจะมาจบแบบนี้ไม่ได้นะเจ้าหนังสือ อีกนิดเดียวจะถึงจุดสำคัญอยู่แล้วเชียว แบบนี้มันยิ่งทำให้ฉันอยากรู้ขึ้นไปอีกว่าต้องทำยังไงถึงจะก้าวผ่านความทุกข์ในใจไปได้ โอ๊ย! แล้วฉันจะไปหาคำตอบได้ที่ไหนล่ะเนี่ย
ฉันปิดหนังสือ วางมันไว้บนพื้นข้างตัวแล้วเหม่อมองท้องฟ้าด้วยดวงตาว่างเปล่า ทำไมกับแค่ความต้องการจะก้าวผ่านความทุกข์กลับกลายเป็นว่าได้ความทุกข์มาเพิ่มซะอย่างนั้น แล้วมันจะมีความหมายอะไรล่ะ ฉันจะหาหนทางไปทำไมในเมื่อท้ายที่สุดก็ไม่ได้คำตอบใด ๆ ถ้าอย่างนั้นจะไม่ดีกว่าเหรอหากเราไม่หาคำตอบอะไรตั้งแต่ต้นแล้วอดทนอยู่กับความทุกข์ไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะลืมไปเอง
โครม!
ก่อนจะทันได้หันไปดูว่าเกิดอะไรขึ้นฉันก็รู้สึกถึงแรงกระแทกเข้าที่ด้านหลัง ส่งให้ร่างกายลอยละลิ่วลงไปในแม่น้ำ ช่วงวินาทีนั้นฉันรู้สึกได้ว่าฉันเจอคำตอบที่กำลังตามหาอยู่ ตอนนี้ฉันไร้ซึ่งความทุกข์ใด ๆ ในหัวช่างว่างเปล่า ร่างกายก็เบาหวิวราวกับกำลังบินอยู่บนสรวงสวรรค์ ฉันคลี่ยิ้มออกมาอย่างไม่ได้ตั้งใจก่อนที่รอบตัวจะกลายเป็นความมืดมิด...
กว่าจะเป็นงานเขียน...ที่ใดมีทุกข์...ที่นั่นมีทุกข์
งานเขียนชิ้นนี้มีที่มาแตกต่างจากเรื่องอื่นในคอลัมน์เล็กน้อย เนื่องจากข้าพเจ้าลงทะเบียนในรายวิชานี้หลังจากเพื่อน ๆ จับสลากและเขียนงานกันไปเสร็จเรียบร้อยแล้ว ข้าพเจ้าจึงต้องเริ่มจากการเลือกรูปภาพก่อน ซึ่งกว่าจะได้มาเป็นภาพนี้ก็ใช้เวลานานพอควร เพราะมีภาพที่ดูแล้วน่าสนใจเต็มไปหมด แต่เมื่อเห็นภาพนี้ครั้งแรกข้าพเจ้าสัมผัสได้ว่ามันมีความนุ่มลึกบางอย่างแฝงอยู่ อย่างไรก็ตาม สิ่งนั้นยังไม่เด่นชัดเท่าใดนักในตอนแรก ข้าพเจ้าจึงเขียนเรื่องนี้ภายใต้คำว่า "เหงา" ซึ่งเป็นสัมผัสแรกที่รู้สึกเมื่อเห็นภาพนี้
หลังจากนั้นเมื่อนำภาพนี้ไปให้เพื่อนและอาจารย์ในรายวิชาดูนั้น ความเห็นส่วนใหญ่ล้วนออกมาในแนวเดียวกันคือดูเหงา ๆ เศร้า ๆ แต่มีคอมเมนท์หนึ่งที่สะดุดใจ นั่นคือ "เขากำลังอ่านเรื่องอะไรอยู่อ่ะ ปกติเวลาอ่านหนังสือเราก็ไม่ออกอาการทางสีหน้าอะไรนะ" คำพูดนี้ทำให้ข้าพเจ้านึกขึ้นได้ จริงด้วยแฮะ เขากำลังอ่านอะไรอยู่กันหนอ ความคิดเริ่มต้นนี้ทำให้ข้าพเจ้าเริ่มเขียนเรื่องราวนี้โดยผนวกเข้ากับความเหงาในทีแรกและความสับสนซึ่งเป็นอีกคอมเมนท์จากเพื่อนหลายคน และเกิดออกมาเป็นผลงานชิ้นนี้ในที่สุด
ในการเขียนงานนี้ ข้าพเจ้าได้เรียนรู้ว่าการเขียนเรื่องราวโดยใช้ภาพเป็นพื้นฐานนั้นยากพอสมควร เนื่องจากผู้เขียนจะโดนจำกัดด้วยองค์ประกอบในภาพ ทำให้ยากต่อการสร้างแนวคิดที่ต่างออกไป ซึ่งเป็นโชคดีที่ข้าพเจ้าได้คอมเมนท์จากเพื่อนจึงสร้างงานเขียนชิ้นนี้ได้ และน่าจะต้องฝึกฝนในเรื่องนี้เพิ่มอีก
หวังว่าผู้อ่านเรื่องนี้จะได้สัมผัสมุมมองใหม่ ๆ จากภาพธรรมดาภาพหนึ่ง และได้รู้วิธีจัดการกับความทุกข์ของตัวเองในท้ายที่สุดก่อนจะสายเกินไป
**ลิขสิทธิ์งานเขียนและภาพถ่ายเป็นของผู้สร้างผลงาน**
--------------------------
ติดตามคอลัมน์ "เรื่องเล่า ตัวตน คนอื่น"
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in