เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
เรื่องเล่า ตัวตน คนอื่นอ่าน-คิด-เขียน
12 มนุษย์
  • โดย Ewa

    นิสิตชั้นปีที่ 3 เอกสารนิเทศศึกษา โทภาษาศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ

    ผลงานลำดับที่ 12 ในคอลัมน์ "เรื่องเล่า ตัวตน คนอื่น"  อ่านที่มาของคอลัมน์ได้ที่  http://minimore.com/b/F5RyR/1

    แสงจ้าสีขาวสาดลอดผ่านรอยแยกกระทบดวงตาสีเหลืองที่มีจุดสีน้ำตาลประปราย ม่านตาสีดำหดเข้าหาศูนย์กลางกลายเป็นเส้นตรงขีดพาดกึ่งกลางดวงตาในแนวตั้ง วันนี้ผมดันตื่นมาเร็วเกินไป ถึงจะอยากนอนต่อ แต่ด้วยความแสบร้อนในท้องที่ปะทุขึ้นมาเรียกร้องหาอาหารทำให้ต้องคลานออกจากที่ข้างนอกยังสว่างจ้าทำให้มองเห็นอะไรไม่ชัด เสียงพูดคุยจอแจใต้ฝ่าเท้าดังขึ้นต่อเนื่อง ระหว่างรอให้แสงดับและเสียงเงียบไป ผมก็ตวัดลิ้นสีชมพูยาวขึ้นเลียดวงตาเพื่อทำความสะอาดและให้ความชุ่มชื่น

    “พรุ่งนี้ต้องตื่นเช้าไปวัดนะ นอนได้แล้ว”

    “ค่าาา”

    แสงสว่างดับลงส่งให้ทั่วบริเวณตกอยู่ในความมืด ม่านตาขยายออกทำให้เห็นสภาพแวดล้อมรอบตัวที่เป็นพื้นที่โล่งเรียบกว้างสุดลูกหูลูกตา ตรงหน้าเป็นรอยแยกที่ผมใช้เป็นทางเข้า-ออกประจำ ผมรอต่ออีกสักพักให้เสียงพูดคุยค่อยๆ เงียบหายไปจนเหลือเพียงเสียง ติ๊ก...ติ๊ก...ติ๊ก... ของนาฬิกาที่ดังสม่ำเสมอเป็นสัญญาณว่าปลอดคนแล้วจึงมุดออกมาจากรอยแยกสู่พื้นที่ภายนอกที่มืดสนิท

    มนุษย์มักจะหวาดกลัวความมืดจึงพยายามทำให้ทุกพื้นที่สว่างไสว แต่ผมว่าความมืดไม่ได้น่ากลัวหรอก สิ่งที่อยู่ในความมืดต่างหากที่น่ากลัวและเหนือสิ่งอื่นใด มนุษย์ต่างหากที่น่ากลัวที่สุด

    ถึงผมจะชอบความมืดมากกว่า แต่แสงสว่างก็ช่วยล่ออาหารออกมาได้เยอะ เพราะงั้นถึงมันจะทำให้ผมมองเห็นไม่ค่อยชัดแต่ก็ทำให้อิ่มท้อง ดังนั้นจะไม่เกลียดแสงสว่างก็ละกัน ว่าแล้วก็ขอไปหาของกินก่อนนะ ดูนั่นสิบินวนล้อมไฟกันเต็มเลย

    เวลาผ่านไปนานพอสมควร ผมที่วิ่งไล่งับอาหารอย่างสนุกสนานก็เริ่มอิ่มจนอืด ทำให้ขี้เกียจเดินกลับขึ้นไปนอนบนเพดาน แต่ถ้าจะอยู่ข้างล่างแบบนี้มันก็อันตรายเกินไป ดังนั้นผมจึงตัดสินใจว่าจะนอนงีบตรงซอกกำแพงหลังตู้สักพักให้อาหารย่อยก่อนกลับขึ้นไปบนเพดาน

    ...

    เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ก็ไม่รู้ เสียงครืดคราดเหมือนของหนักถูกลากครูดพื้นและเสียงพูดคุยจอแจปลุกผมให้ตื่นขึ้นมาพบกับ...แสงสว่าง!

    แย่ละสิ เผลองีบนานไปหน่อย แต่ถ้าวิ่งออกไปตอนนี้ก็มีความเสี่ยงสูงที่จะโดนพวกมนุษย์เจอตัวและโดนทำร้ายได้ ยังไงตอนนี้ก็อยู่นิ่ง ๆ หลังตู้นี่ไปสักพักละกัน

    “เดี๋ยวย้ายชั้นวางหนังสือนั่นมาไว้ตรงนี้หน่อย”

    เสียงหนึ่งดังขึ้นพร้อม ๆ กับที่อีกหลายเสียงดังใกล้เข้ามา เดี๋ยว ๆ ใกล้เข้ามาเหรอ มาทางนี้เหรอ มาทำไมมม ออกไปปป... ผมได้แต่กรีดร้องเงียบ ๆ อยู่ในใจ  นี่ถ้าเป็นตุ๊กแกตัวอื่นจะต้องร้องออกไปแล้วเพื่อบอกว่าอาณาเขตนี้เป็นของตน แต่ถ้าทำแบบนั้นมนุษย์ก็รู้ตัวสิ ผมไม่ยิ่งโดนเจอตัวง่ายขึ้นเหรอ

    เสียงนั้นหยุดลงตรงตู้ที่ผมหลบอยู่พอดี เสียงนับ 1 2 3 ดังขึ้นแล้วตู้ก็ขยับห่างออกไป แสงสว่างสาดเข้ามาทำให้ผมตาพร่า ทันใดนั้น เสียงกรีดร้องก็ดังขึ้นเบื้องหน้าทำผมสะดุ้งตัวแข็งทื่อ ม่านตาหดตัวหนีแสงจ้าอีกครั้งก่อนปรับโฟกัสให้เข้าที่ และภาพที่เห็นเมื่อดวงตาชินกับแสงสว่างแล้วก็คือ...มนุษย์

    สิ่งมีชีวิตสองขาตัวใหญ่มหึมาที่ผมพยายามหนีมาตลอด บัดนี้กำลังยืนตระหง่านง้ำอยู่เหนือหัวดวงตาจ้องเขม็งมาสะกดให้ผมได้แต่นอนนิ่ง

    ซวยแล้ว โดนฆ่าแน่ เอาไงดี วิ่งขึ้นเพดานเลยดีไหม ไม่ ๆ ๆ ข้างบนก็เท่ากับวิ่งเข้าใกล้มือมนุษย์มากขึ้น โดนตบกระเด็นแน่ งั้นถอยหลัง ใช่ ถอยหลังเข้าตู้ไปเลย แต่ ผมเดินถอยหลังไม่ได้ กลับตัวเหรอ แต่หันหลังให้มนุษย์ ถ้าโดนฟาดขึ้นมาก็มองไม่เห็น หลบไม่ทันสิ

    ระหว่างที่ในหัวกำลังตีกันวุ่นเรื่องหาทางเอาตัวรอด ตาผมก็จ้องมองมนุษย์ไม่กะพริบเพราะตุ๊กแกแบบผมกะพริบตาไม่ได้อยู่แล้วและอีกอย่างเพื่อจับความเคลื่อนไหวมนุษย์ จะได้เผ่นหนีได้ถูกทางเมื่อมนุษย์ขยับตัว

    มนุษย์ยืนนิ่ง เบิกตากว้างจ้องผมตอบอย่างไม่ลดละเช่นกัน พอสังเกตให้ดีถึงเห็นว่าขามนุษย์กำลังสั่นเล็กน้อย คงกำลังตื่นเต้นคิดว่าจะจัดการผมยังไงล่ะสิ

    ตายแน่ ตายแน่ ตายแน่ ตายแน่

    มีแต่ความคิดนี้ระดมผุดขึ้นมาในหัว จู่ ๆ ผมที่นอนแข็งทื่อก็ค่อย ๆ อ้าปากออกมาแล้วดัดมันให้เป็นรอยยิ้มที่ดูน่ารักที่สุด



    ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงทำแบบนั้น แค่รู้สึกว่าทำแล้วมันน่าจะช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้น แต่รู้สึกตาแห้งจัง เริ่มจะแสบแล้วสิ ผมตวัดลิ้นขึ้นเลียดวงตา ลืมไปสนิทว่าการขยับตัวของผมจะเป็นสัญญาณให้มนุษย์เปิดฉากโจมตี และก็จริงเสียด้วย

    “อ๊ากกก!!!”

    เสียงกรีดร้องสั่นประสาทดังขึ้นนำก่อนที่ผมจะรู้สึกถึงกระแสลมพัดผ่านหน้าเนื่องจากมนุษย์พุ่งตัวผ่านผมไปอย่างรวดเร็วโดยไม่คิดจะหันมามองสักนิด ทิ้งให้ผมที่ใจเต้นตึกตักจนหัวใจแทบจะระเบิดออกมานอนยิ้มค้างอยู่อย่างนั้น ความรู้สึกโล่งอกค่อย ๆ ผุดขึ้นตามมา

    อ่า... รอดแล้วเรา


    กว่าจะเป็นงานเขียน...มนุษย์

               หัวข้อที่จับได้คือ “กลัว”

               ก็คิดอยู่สักพักเหมือนกันว่าจะใช้รูปอะไรดีและสุดท้ายก็ใช้รูปตุ๊กแกฉีกยิ้ม เพราะ มันเป็นสัตว์ที่เรากลัวมากที่สุด  เรื่องที่เขียนไปครั้งแรกตั้งชื่อว่า ตุ๊กแก เป็นการเล่าในมุมมองของมนุษย์ (เราเอง) ที่กลัวตุ๊กแก วันนั้นจัดบ้านอยู่ แล้วก็เจอเจ้านี่เกาะอยู่หลังชั้นวางหนังสือ กรี๊ดกันลั่นบ้านเลยจ้า (ฮา) พอเอารูปขึ้นโชว์ในห้องก็มีบางคนบอกว่ารูปนี้ “น่ารัก” ตรงที่มันยิ้ม (รูปที่ใช้โชว์เป็นรูปที่ตุ๊กแกยิ้มได้น่ารักกว่านี้แต่เกรงว่าจะมีปัญหาลิขสิทธิ์ก็เลยต้องเปลี่ยนรูป) เพื่อนบอกว่ารอยยิ้มของสัตว์เป็นรอยยิ้มที่ไม่เสแสร้ง ไม่เหมือนกับมนุษย์ที่บางครั้งแม้จะยิ้มอยู่แต่เราก็ไม่รู้ว่าข้างในเขายิ้มอยู่ไหม ประกอบกับไปหาอ่านกระทู้เกี่ยวกับตุ๊กแกหลาย ๆ กระทู้เพื่อเก็บข้อมูล (เล่นเอาซะหายกลัวรูปตุ๊กแกไปพักหนึ่งเลย 555 แต่ยังไงถ้าเจอตัวเป็น ๆ ก็ยังกลัวอยู่ดี) ก็เจอความเห็นในกระทู้หนึ่งที่พูดทำนองว่าตุ๊กแกต่างหากที่กลัวมนุษย์ ก็เลยกลายมาเป็นเรื่อง มนุษย์ ที่เป็นการเล่าในมุมมองของตุ๊กแกฉะนี้แล


    ต้นฉบับภาพหน้าปก : https://pixabay.com/th/มือ-เงา-รูปร่าง-สยองขวัญ-น่าขนลุก-984170/
    ภาพประกอบ : https://www.flickr.com/photos/myfwc/24458274374


    **ลิขสิทธิ์งานเขียนและภาพถ่ายเป็นของผู้สร้างผลงาน**
    --------------------------

    ติดตามคอลัมน์ "เรื่องเล่า ตัวตน คนอื่น"


เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in