"คุณสามารถเรียกเหตุการณ์นี้ได้หลายชื่อ การชำระตัวตน การเติบโต ความเท็จ การทรยศ แต่ฉันขอเรียกมันว่าการศึกษา"
ชื่อหนังสือ : Educated บันทึกศึกษา หลักสูตรเร่ง LIFE
ผู้เขียน : Tara Westover
ผู้แปล : ธนกร นำรับพร
ราคาปก 350 บาท
คำโปรยหลังปก
ทาร่า เวสโอเวอร์ พร้อมสมาชิกในครอบครัวเติบโตขึ้นมาในสภาพแวดล้อมที่เตรียมพร้อมรับวันสิ้นโลกตลอดเวลา ทาร่าถือเป็นบุคคลไร้ตัวตนในสายตาเจ้าหน้าที่รัฐบาล นั่นเพราะเธอไม่เคยมีใบเกิดเป็นของตัวเอง ไม่มีสมุดพก ด้วยไม่เคยย่างเท้าเข้าไปในห้องเรียนใด ๆ มาก่อน ไม่มีประวัติการรักษาพยาบาล เพราะพ่อของเธอเกลียดกลัวโรงพยาบาลเข้าไส้
เมื่อทาร่าเติบโตขึ้น พ่อของเธอก็ยิ่งกลายเป็นสาวกไร้สติแห่งลัทธิมอร์มอน ส่วนพี่ชายนั้นก็กระทำต่อเธออย่างทารุณโหดร้ายขึ้นทุกที ทาร่าสำนึกตนว่าได้เวลาออกจากบ้านแล้ว แต่เมื่อเท้าของเธอย่างพ้นประตูบ้าน ทาร่าจึงได้ตระหนักถึงพลังบางแห่งการศึกษา และเรียนรู้อย่างเจ็บปวดถึงราคาที่เธอต้องจ่ายเพื่อเป็นอิสระจากบ้านของเธอเอง
ความคิดเห็นหลังอ่านจบ (มีการกล่าวถึงเนื้อหาบางส่วน)
ตอนที่เห็นชื่อหนังสือครั้งแรกหลายคนอาจจะคิดว่าหนังสือเล่มนี้เกี่ยวกับการศึกษา ว่ามันเปลี่ยนชีวิตของคนคนหนึ่งอย่างไร หนังสือเล่มนี้อาจจะเป็นแบบนั้น หรืออาจจะไม่ใช่แบบนั้น หลายที่ที่ขายหนังสือเล่มนี้ก็มักจะชูเรื่อง "การศึกษา" มาเป็นจุดเด่นของหนังสือ แต่แน่นอนว่ามันไม่ใช่ทั้งหมดของหนังสือเล่มนี้
เราอยากอ่านเล่มนี้มานานเพราะเห็นเขาโปรโมตเรื่องการศึกษา แถมใน kindle ยังติดชาร์ตขายดีด้วย จนในที่สุดเราก็ได้อ่าน ขอออกตัวก่อนว่าความคิดเห็นที่เขียนลงในนี้ไม่ใช่ความคิดเห็นสดใหม่หลังอ่านจบ แต่เราเอาสิ่งที่เราเคยพิมพ์ลงทวิตเตอร์หลังอ่านหนังสือเล่มนี้จบมาขัดเกลาแล้วลงไว้ที่นี่
Educated โดย Tara Westover หนังสือฉบับแปลไทยเล่มค่อนข้างหนาพอสมควร ประมาณเกือบห้าร้อยหน้า มีทั้งหมด 40 บท โดยแบ่งเป็น 3 ภาค ภาคแรกเป็นเรื่องราวตอนที่ทาร่าใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัว ภาคที่ 2 เป็นช่วงเวลาที่เธอเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย และภาคสุดท้ายอาจจะพูดได้ว่าเป็นเรื่องความขัดแย้งเกี่ยวกับตัวตนและครอบครัวของทาร่า
Educated นำเสนอในรูปแบบบันทึกความทรงจำโดยมีทาร่าเป็นคนเล่า บางคนอาจจะมองว่ามันเป็นเรื่องแต่ง ก็สุดแล้วแต่ความคิด มาในส่วนที่เราอยากพูดถึงกันบ้าง แม้ชื่อหนังสือจะเกี่ยวกับการศึกษา แสดงให้เห็นว่าการศึกษาเปลี่ยนความคิดและชีวิตของผู้เขียนไปยังไง แต่สิ่งที่เรามองเห็นตลอดเวลาที่อ่านคือสถาบันครอบครัวสำคัญมากในการหล่อหลอมตัวตนของคนคนหนึ่ง ผู้เขียนพูดถึงครอบครัวทั้งเล่ม ซึ่งครอบครัวค่อนข้าง toxic และมีความสัมพันธ์แบบ manipulate
เราเอาใจช่วยเขาทั้งเล่มเลยว่าเมื่อไรจะหลุดออกจากความสัมพันธ์บ้า ๆ ของครอบครัวตัวเองสักที ซึ่งใช้เวลานานมาก เพราะสิ่งต่าง ๆ ที่ครอบครัวสอนมันฝังในจิตสำนึกของเขาไปแล้ว เช่น โดนปลูกฝังว่าผู้หญิงมีจุดมุ่งหมายคือการแต่งงานและมีลูก สวมกระโปรงเลยเข่าก็ไม่ได้ พวกนั้นมันโสเภณี ร่าน เป็นต้น
แม้แต่การปฏิเสธการรักษาจากโรงพยาบาล กว่าเขาจะยอมกินยาจากแพทย์ หรือกว่าเขาหรือพี่ชายที่ออกมาจากครอบครัวเหมือนกันจะยอมฉีดวัคซีน สิ่งที่พ่อสอนเขามันส่งผลกระทบทุกด้าน ทั้งการใช้ชีวิต ความสัมพันธ์ หรือแม้แต่ตอนที่โดนพี่ชายทำร้ายร่างกายแต่สุดท้ายก็บอกว่ารักและขอโทษทุกครั้ง
พ่อแม่ที่ช่วยอะไรไม่ได้ แม่ที่โดนควบคุมจากพ่ออีกที พ่อที่คลั่งศาสนาจัด ๆ ทำงานเก็บเศษเหล็กทำให้เด็กในบ้านเกิดอุบัติเหตุปางตายก็มี หรือแม้แต่ตอนประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ก็ห้ามไม่ให้ไปหาหมอ ทุกอย่างคือพระประสงค์ของพระเจ้า
เรามองว่าไม่ใช่ว่าพ่อแม่ไม่รักทาร่าหรือลูก ๆ คนอื่น แต่ความเชื่อของเขาส่งผลต่อวิธีที่เขาแสดงออกมา และสุดท้ายตอนที่ถ้าจะเลือกตัดลูกหรือศรัทธาของตัวเองเขาก็ต้องเลือกสิ่งที่เขาเชื่ออยู่แล้ว เพราะมันนิยามชีวิตเขา การศึกษาและศาสนาเลยแยกครอบครัวนี้ออกเป็นสองฝั่ง
เรื่องที่ต้องเริ่มเรียนทุกอย่างตอนมหาวิทยาลัยเป็นเรื่องที่เราคิดตามแล้วทรมานตาม คิดภาพว่าคุณต้องเรียนพีชคณิตเพื่อสอบเอง และเข้ามหาวิทยาลัยอาจารย์สั่งให้เขียน essay แต่คุณไม่รู้แม้แต่รูปแบบว่ามันคืออะไร ประวัติศาสตร์ที่ไม่เหมือนที่พ่อคุณเล่าตอนเด็ก ๆ นักปรัชญาอะไรก็ไม่รู้ ศิลปะมันเป็นแบบไหน
มีตอนหนึ่งที่เรารู้สึกแย่ไปกับตัวหนังสือ ปกติเขาก็มีทุนให้เด็กเรียนดีแต่บ้านจน แต่ทาร่าที่พ่อไม่สนับสนุนเรื่องนี้ เรื่องทำเกรดให้ได้ดี ๆ เป็นไปได้ยาก เพราะเพิ่งเริ่มเรียนเหมือนคนอื่นเขาตอนเรียนมหาวิทยาลัย หรือแม้แต่ตอนทาร่าเรียนปริญญาเอกแต่ที่บ้านตัดขาดแล้วเขาสติแตก เป็นความสัมพันธ์ที่ก้าวออกไปยากจัง
ความคิดเห็นของเราต่อหนังสือเล่มนี้ก็คงประมาณนี้ ยิ่งกว่าการศึกษาที่ผู้เขียนเขียนถึง เราโฟกัสไปที่ประเด็นครอบครัว และคนอื่น ๆ ที่หยิบหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาอ่านก็อาจจะสนใจประเด็นที่ต่างจากเราก็ได้ เราขอเน้นย้ำว่านี่เป็นเพียงความคิดเห็นของเรา แค่คนคนหนึ่ง มันไม่สามารถบอกได้ว่าที่จริงแล้วหนังสือเกือบห้าร้อยหน้านี้บอกอะไรเราแบบเป๊ะ ๆ หลายคนอ่านก็คงได้มุมมองที่แตกต่างกัน เราแค่นำเสนอในมุมมองของเรา ทางที่ดีลองหยิบหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาอ่านเอง สุดท้ายที่อยากแนะนำ ถ้าใครถนัดภาษาอังกฤษแนะนำให้อ่านฉบับภาษาอังกฤษ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in