ในที่สุดเราก็ได้ฤกษ์เดินทางจากปูซานไปโซล โดยที่เราไม่ได้ต้องหนีซอมบี้ซึ่งไม่น่าเสียดาย แต่น่าเสียดายที่ไม่มีอปป้ากงยูมาดูแลเรานี่เอง ซึ่งถ้าเราไม่มี KTX (Korea Train Express) เพื่อการโดยสาร เราอาจต้องใช้เวลาประมาณ 6 ชั่วโมงด้วยรถไฟไปโซล แต่เพราะ KTX เดินทางได้ด้วยความเร็วมากสุดถึง 305 km per hour เราเลยเดินทางถึงโซลได้ภายในไม่เกิน 3 ชั่วโมง
สิ่งที่สร้างความประหลาดใจให้ฉันในตอนได้สัมผัสรถไฟด่วนของเกาหลี ก็คือที่วางกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ๆนั้นน้อยมากจนน่าแปลกใจ (อันนี้จากประสบการณ์ที่เจอในรถไฟที่ขึ้นมา) เพราะถ้าคิดว่าเป็นขนส่งสาธารณะที่ทำมาเพื่อการเดินทางระหว่างเมือง ก็น่าจะเผื่อกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ให้เยอะกว่าที่เห็นเป็นช่องไม่ใหญ่ไม่โต แถมมีสองชั้น แต่ใครจะยกกระเป๋าตัวเองขึ้นช่องนั้นไหวล่ะ
อันนั้นคือความประหลาดใจ ซึ่งก็ทำความลำบากให้เราประมาณหนึ่งเพราะสามสาวสามกระเป๋าที่ใบไม่เล็ก กว่าจะจัดการหาที่วางกระเป๋าได้ ก็มึนอยู่เหมือนกัน แต่พอทำได้ ก็นั่งสวยๆไปเรื่อยๆจนถึงปลายทางของพวกเรา กรุงโซลลลลลลลลลล
รูปถ่ายภาคบังคับ ก็ไม่รู้ว่ามาเที่ยวโซลเกาหลีนะจ๊ะพี่น้อง เมื่อถึงปลายทาง แน่นอนว่าเราก็ต้องหาที่ฝากกระเป๋าเดินทางของพวกเรา เพราะ AirBNB ที่เราจองมาเขาเปิดให้เข้าตอนบ่ายสาม แผนเราตอนแรกคือจะไปหาล็อคเกอร์ฝากกระเป๋าที่สถานีรถไฟใต้ดินฮงอิกยูนิเวอซิตี้ เพื่อไปย่านฮงแดที่เราพักนั่นแหละ แล้วก็เจอความซะไพรซ์อีกคือล็อกเกอร์ฝากกระเป๋าตรงทางออก 1 และ 2 ที่เราจะออกเพื่อไปที่พักนั้น มีล็อกเกอร์อยู่ไม่เยอะ แถมตู้ใหญ่สุดก็มีแค่ 3-4 ตู้ที่เต็มแล้ว คราวนี้ทำอย่างไรล่ะ สุดท้ายเลยลองขึ้นไปด้านบนดูก็เจอร้านโดนัทอยู่ใต้ตึกของห้องพักเรา เลยถือโอกาสหาไรกินแล้วนั่งรอเวลาบ่ายสามซึ่งจริงๆก็ไม่นานเท่าไรประมาณ 1 ชั่วโมง
หลังจากเอากระเป๋าขึ้นห้องเรียบร้อย เราก็เดินทางไปดูตึกรูปทรงที่ติดตาเราเวลาเห็นรูปถ่ายจากคนมาเที่ยวเกาหลี แถมมีเป้าอีกอย่างคือจะไปดูทุ่งดอกไม้ LED แถวนั้นด้วย ตึกที่ว่าก็คือ Dongdaemun Design Plaza ซึ่งถือว่าเป็นศูนย์กลางแฟชั่นของเกาหลีใต้ ตัวสิ่งก่อสร้างนั้นออกแบบโดยนักออกแบบนาม Zaha Hadid โดยถือว่าที่นี่เป็นเหมือนศูนย์กลางข้อมูลทางแฟชั่น มีห้องสัมมนาและโถงการเลคเชอร์ นอกจากนี้ก็มีพวก Hall ต่างเพื่อจัดงานต่างๆ
ความเจ๋งคือเราอยากจะไปทุ่งดอกไม้ LED ที่สมควรจะอยู่ตรงที่ที่ติดกับที่นี่ แต่พอเราถามพนักงานใน ร้าน Kakao Freinds เขาก็บอกข่าวร้ายกับเราว่า มันหมดไปแล้วนะที่จัดแสดงน่ะ อ่าว แป่ว แล้วพอเราลงค้นใน Internet ก็ยิ่งตอกย้ำว่ามันจริงงงงงงงงงงงง
เมื่อไม่มีอะไรให้รอดูแล้ว เราหนีความอกหักไปหาของกินที่ย่านฮงแด ซึ่งแอรี่ผู้วางแผนการเที่ยวครั้งนี้่ก็บอกว่าเราต้องไปกิน ขาหมูของเกาหลี ที่เรียกว่า จกบัล ให้จงได้ โดยร้านที่เราต้องไปกินคือร้านชื่อ Myth อยู่ในย่านฮงแดนี้แล และตอนเราไปถึงก็มีคนนั่งเข้าคิวกันอยู่แล้ว และพอเอาไปรับคิว พร้อมมองดูหน้าจอที่แสดงคิวก็พบว่าอีกตั้ง 20 กว่าคิวกว่าจะถึงเรา พวกเราเลยไปเดินดูของแถวๆนั้นก่อน เพื่อพบว่าเมื่อเรากลับมา คิวจะรันข้ามเราไปแล้วอย่างชวนงง เพราะเราไม่ได้หายไปนานถ้าเทียบกับจำนวนคิวก่อนหน้าเรา
พวกเราเลยเดินไปหาคุณป้าคนแจกคิว เพื่อยื่นใบคิวให้ดู คุณป้าหน้านิ่งดุเราว่าไปไหนมา เราก็สำนึกผิดแล้วถามว่าจะต้องกดใหม่ไหม คุณป้าที่ดูดุๆ ก็บอกว่าไม่ต้อง ไปยืนตรงโน้นไป เดี๋ยวจะเรียกนะ แล้วก็ทำท่าเหมือนจะหาโต๊ะให้เรา รอไม่นาน คุณป้าก็เรียกเราไปโต๊ะ แบบทำให้ค้นพบว่าคนเกาหลีถึงจะหน้านิ่งๆ ไม่ได้ยิ้มอะไร แต่เอาเข้าจริงๆใจดีเหมือนกันเฮะ
ขาหมูอร่อยนะ บอกเลย แต่ที่สุดๆกลายเป็นสลัดที่เสิร์ฟมาด้วยคือ ถ้าเราสั่งจกบัล เราจะได้สลัดมาด้วย ซึ่งขอบอกว่า อร่อยมากกกกกกกกกกกกกกก น้ำสลัดดีงาม และต้องเสิร์ฟมาคู่กันแหละ เพราะสลัดช่วยเบรคความเลี่ยนของจกบัลได้ดี อ่อ ที่ร้านนี้เราได้เจอพนักงานเสิร์ฟเป็นน้องคนไทยด้วย เลยได้ถามถึงน้ำจิ้มแต่ละอันว่ากินอย่างไร แต่ขอโทษที่ฉันจำอะไรไม่ได้นอกจากความอร่อยของสลัดค่ะ แฮ่
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in