A/B/O-Modern AU
รถสีดำคันนั้นจอดอยู่ที่เดิมมาหลายวันแล้ว
...พอพูดแบบนี้ ทุกอย่างก็ฟังดูเหมือนกับหลุดออกมาจากในหนังชอบกล
เสิ่นจิ่วได้แต่ส่ายศีรษะกับตัวเองเงียบๆ อาคารนี้มีระดับการรักษาความปลอดภัยแน่นหนาสมราคาสูงลิ่ว ไม่ว่ารถคนนั้นมีร้ายหรือไม่ ก็ไม่มีทางจะทำอะไรได้อยู่ดี
หน้าประตูทางเข้ามีแผงตรวจจับคีย์การ์ดอยู่แล้วขั้นหนึ่ง จากนั้นเมื่อเข้ามาถึงล็อบบี้แล้วก็ยังต้องสแกนบัตรซ้ำ โดยที่ลิฟต์จะพาขึ้นไปยังชั้นที่พักอาศัยตามข้อมูลที่ถูกบันทึกไว้โดยอัตโนมัติ เป็นกลไกเพื่อความปลอดภัยและเป็นระเบียบที่รัดกุมอย่างยิ่ง
กระนั้น ลางสังหรณ์ที่ผุดขึ้นในใจก็กลับคล้ายจะสลัดไม่หลุด เสิ่นจิ่วเหลือบมองออกไปยังถนนฝั่งตรงข้ามอีกครั้งก่อนจะก้าวเข้าไปในลิฟต์
ประตูเหล็กมันปลาบเลื่อนปิดลงตัวเลขดิจิตัลจะค่อยๆ เพิ่มขึ้นอย่างไม่ช้าไม่เร็ว เสิ่นจิ่วพรูลมหายใจพลางหลับตาลง ไม่เชิงผ่อนคลายแต่ก็ไม่ใช่จดจ่อรอคอย เป็นเพียงการฉวยโอกาสพักสายตาเล็กน้อยก่อนจะต้องไปทำงานต่อเมื่อถึงห้อง ตามปกติแล้วต้องใช้เวลาเกือบนาทีกว่าจะไปถึง เป็นช่วงเวลาไม่ช้าไม่นานที่ก็บ่งบอกได้ว่าเขาต้องทุ่มกำลังทั้งกายใจไปเท่าไหร่กว่าจะมาถึงจุดนี้
...แต่ถึงแม้ลำดับชั้นจะอยู่สูง มันก็ยังเป็นห้องระดับรอง
แผลสดใหม่ในใจถูกสะกิด เสิ่นจิ่วเผลอหลับตาแน่น หัวคิ้วชักเข้าหากันไปโดยไม่รู้ตัว
รายได้ของเขาตอนนี้ยังไม่มากพอจะมีเพนต์เฮาส์เป็นของตัวเอง
แต่ก็ไม่นานนักหรอก...เสิ่นจิ่วคิด
เป้าหมายของเขาไม่ใช่ง่ายดายอย่างแค่เพียงต้องการอยู่อย่างสุขสบาย...แต่เป็นการได้ ‘เป็นที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้อยู่เหนือพวกอัลฟ่าที่น่าชิงชังเหล่านั้นต่างหาก
ทำไมผู้คนต้องถูกจำกัดและตีค่าด้วยเพศรองที่มีติดตัวมาแต่กำเนิด?
เขานึกถึงเส้นทางอาชีพที่เข้าสู่ทางตันของตัวเองแล้วก็ขบริมฝีปาก ทำไมคนที่พยายามและทุ่มเทจนเลือดตาแทบกระเด็นถึงถูกปิดกั้นได้ง่ายๆ ด้วยเหตุผลเพียงว่า ‘เพราะคุณเป็นเบต้า’?
ทำไมอัลฟ่าที่มีสัญชาตญาณรุนแรงอย่างกับสัตว์ป่าถึงถูกยกให้มีตำแหน่งสูงกว่าคนอื่น?
ทำไมโอเมก้าที่มีดีแค่ปล่อยฟีโรโมนได้ถึงได้รับการยกย่องเชิดชู ได้รับการปฏิบัติเป็นพิเศษเหนือใครๆ?
เสิ่นจิ่วรังเกียจคนเหล่านั้น พวกที่แค่บังเอิญโชคดีก็ได้เดินบนพรมกุหลาบตั้งแต่เกิด ในขณะที่คนอื่น...ในขณะที่เขา...ไม่ว่าจะดิ้นรน กระเสือกกระสนปีนขึ้นจากบ่อโคลนด้วยแรงกำลังเท่าใดก็กลับไม่มีวันได้รับโอกาสเทียบเท่า
คำปฏิเสธของนายจ้างก้องสะท้อนไปมาในความคิด แทบจะทำให้เขายอมรับว่ามันทิ่มแทงหัวใจจนเจ็บระบม
เสียงเอ่ยเลขชั้นพลันดังขึ้น
เขาสะดุ้งเฮือก
จริงอยู่ที่เสียงนั้นยังคงแข็งทื่อ ไร้ทำนองสูงต่ำ และออกเสียงอย่างไม่เป็นธรรมชาติราวเป็นปัญญาประดิษฐ์อยู่เช่นเคย เพราะสิ่งที่ทำให้เลือดในกายจับตัวนั้นก็คือหมายเลขที่ผิดเพี้ยนไปต่างหาก
เขาเงยหน้าขึ้น ได้รับการยืนยันจากตัวเลขไม่คุ้นตาแล้วหัวใจยิ่งหล่นวูบ จู่ๆ สังหรณ์อันหนักอึ้งพลันโถมเข้าใส่ มันเป็นเหมือนกับเกลียวคลื่นที่สูงท่วมศีรษะ ซัดสาดน้ำทะเลเย็นเยียบเข้าใส่ ทำให้ตัวเขาถูกพัดพาจนล้มคว่ำ จมดิ่งลงไปในวังวนของน้ำ อึดอัดทรมานเหลือจะเปรียบ
ลมหายใจคล้ายติดสำลักอยู่ในลำคอ แม้สมองยังไม่รับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่จิตสำนึกก็กลับราวจะได้คำตอบไปแล้ว
บานประตูที่สะท้อนภาพใบหน้าซีดเผือดของเขาเคลื่อนเปิดออก เชื่องช้าประดุจเปิดม่าน ทว่าก็ยังเร็วเกินกว่าที่ตัวเองจะเสแสร้งใดได้ทัน
ชายหนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่ตรงนั้น
ใบหน้าคุ้นตาดูไม่คล้ายเหมือนอย่างเคย แต่กระนั้นก็ยังทำให้เหมือนถูกย้อนเวลากลับไปเมื่อหลายปีก่อนได้อยู่ดี
เค้าลางอ่อนละมุนตรงข้างแก้มหายไปแล้ว ความไร้เดียงสาเมื่อยังอ่อนเยาว์บัดนี้ถูกแทนที่ด้วยเงาอันตราย…
จากความเคยคุ้นหลงเหลือเพียงคนแปลกหน้าคนหนึ่ง
ลั่วปิงเหอยิ้ม
ทั้งเส้นโค้งตรงขอบตาและรอยหยักบนมุมปากล้วนละมุนยิ่ง ดูอ่อนโยนเสียจนแทบได้กลิ่นหวานเลี่ยนแซมมาในอากาศ
"ไม่ได้เจอกันนานเลยนะครับ รุ่นพี่"
เหงื่อเย็นไหลไปตามสันหลัง พานให้รู้สึกสะบัดร้อนสะบัดหนาวขึ้นมาในฉับพลัน
เสิ่นจิ่วเม้มปาก ทำทีเมินเฉย ขณะเดียวกันหัวสมองก็เร่งคิดเร็วรี่
สถานการณ์ของเขาไม่ต่างอะไรไปจากหนูติดจั่น เบื้องหลังคือทางตันอย่างไม่ต้องสงสัย ในขณะที่เบื้องหน้ามีเพียงชายคนหนึ่งและประตูบานคู่หนึ่งชุดเท่านั้น
“ผมเปลี่ยนข้อมูลคีย์การ์ดของรุ่นพี่ไปโดยพลการ ต้องขอโทษด้วยนะครับที่ทำให้ตกใจ” อีกฝ่ายสาวเท้าเข้ามาใกล้ ดูราวไม่สังเกตเห็นสีหน้าของเขาเลยแม้แต่น้อย
“แต่ต่อไปนี้เราจะได้อยู่ด้วยกัน...เหมือนอย่างที่เคยสัญญาไว้แล้วนะครับ”
เสียงทุ้มต่ำยังคงนุ่มนวล ถ้อยคำอ่อนหวานปานเอื้อนเอ่ยกับคนรัก
ทว่าสำหรับเสิ่นจิ่วแล้ว แต่ละพยางค์ล้วนอาบไปด้วยพิษร้าย ต่อให้เพียงได้ยินโดยไม่หลงเชื่อก็ยังสามารถทำให้เจ็บปวด
เสิ่นจิ่วรู้ดีว่าตนกำลังตกอยู่ในสถานะเป็นรอง แต่เหตุผลและอารมณ์ก็ต่างแตกแยก จึงทำให้ไม่อาจหยุดตัวเองไม่ให้แค่นเสียงเสียดสีออกไปได้ว่า “แล้วที่ฉันเคยพูดว่าจะมีลูกให้แกนี่ก็ยังต้องทำด้วยรึไง?”
ฝ่ามือร้อนผ่าวพลันคว้าแขนเขาไว้ แรงที่ฉุดกระชากสวนทางกับน้ำเสียงเรียบเรื่อย ลั่วปิงเหอยังคงยิ้ม เพียงเอียงศีรษะมองเขาพลางตอบว่า
“รุ่นพี่สัญญาอะไรไว้ก็ต้องทำตามนั้นให้หมดสิครับ?”
หัวใจของเสิ่นจิ่วตกวูบ
เขาเซตามแรงดึงออกไปนอกลิฟต์ ความกลัวที่พุ่งวาบขึ้นมาทำให้เอ่ยอะไรไม่ออกไม่ชั่วขณะ จนกระทั่งมองเห็นประตูไม้บานโตใกล้เข้ามาตรงหน้าแล้วก็จึงเริ่มต่อต้านขึ้นอีกครั้ง
“แกเป็นบ้าไปแล้วรึไง?!” เขาตะคอก
ท่าทีของอีกฝ่ายทำให้หวาดหวั่นเสียจนต้องเอ่ยคำที่เกลียดแสนเกลียดออกมาว่า
“ฉันเป็นเบต้า!!”
เบต้าที่แสนจะธรรมดา ไม่มีพละกำลังล้ำเลิศหรือประสาทสัมผัสพิเศษ เป็นเพียงเพศรองที่ถูกมองข้าม ที่ไม่ว่าจะทำอะไรก็จำต้องตกเป็นรองไปโดยไร้เหตุผล...นั่นคือตัวเขาเอง
ไม่คาดว่าอีกฝ่ายเองก็ประหลาดใจที่เขาจะเป็นฝ่ายประกาศเช่นนั้นออกมาด้วยตัวเอง เสิ่นจิ่วฉวยโอกาสบิดแขน อาศัยเสี้ยววินาทีนั้นขืนตัวออกจากการเกาะกุม ร่างกายขับเคลื่อนไปด้วยสัญชาตญาณขั้นพื้นฐานของเหยื่อ
โถงลิฟต์ไม่ได้กว้างขวางจนเกินไป และประตูหนีไฟก็ดูแล้วห่างออกไปเพียงไม่เกินเอื้อม แต่เขาก็กลับคล้ายจะต้องใช้พละกำลังทั้งหมดที่มีเพื่อบังคับตัวเองให้ออกวิ่งไปข้างหน้า
กระนั้น อีกฝ่ายเพียงสาวเท้าไม่กี่ก้าวก็ไล่ตามทันเสียแล้ว
ความตระหนักอันขมปร่าสะท้อนขึ้นมาในทรวงอก
การดิ้นรนที่ไม่ต่างอะไรไปจากการเดิมพันระหว่างความเป็นความตายของเขา...ก็คงจะเป็นเพียงการละเล่นแมวหยอกหนูในสายตาของลั่วปิงเหอเท่านั้น
ท่อนแขนถูกดึงไว้อย่างแรงอีกครั้ง เสิ่นจิ่วตัดสินใจชั่วพริบตาหมุนตัวกลับไปเหวี่ยงหมัดเข้าใส่ ก่อนที่สุดท้ายจะถูกรวบแขนไปทั้งสองข้าง พ่ายแพ้สิ้นท่า
อีกฝ่ายเพียงใช้มือข้างเดียวก็กุมสองข้อมือของเขาตรึงไว้ด้านหลัง จากนั้นจึงผลักให้หันเข้าหากำแพง
ร่างสูงใหญ่ก็พลันขยับเข้ามาแนบชิด ทำให้เสิ่นจิ่วต้องตกอยู่ในสภาวะถูกกักขังไปโดยสิ้นเชิง
เสียงหัวใจเต้นรัวแรงเสียจนสองหูอื้ออึง กระนั้นกับเสียงกระซิบกลั้วหัวเราะข้างหูก็กลับได้ยินชัดเจนทุกคำ
“ประตูหนีไฟเปิดเข้าไปในตัวตึกไม่ได้นะครับ รุ่นพี่คิดจะวิ่งลงบันไดสี่สิบชั้นไปถึงหน้าล็อบบี้จริงๆ เหรอ?”
เขาสูดลมหายใจเข้าลึก ไม่ตอบ ด้วยรู้ดีว่าอีกฝ่ายจงใจใช้น้ำเสียงเช่นนั้นเพื่อยั่วโมโหตน
“รุ่นพี่?”
...แต่ก็น่าเจ็บใจอีกเช่นกันที่อีกฝ่ายรู้ว่าควรทำเช่นไรให้เขาโมโห
ปลายจมูกคลอเคลียอยู่แถวต้นคอ มาพร้อมกันกับจุมพิตที่พรมลงสะเปะสะปะไปทั่วไม่ยอมหยุด
“รุ่นพี่ไม่คิดถึงผมบ้างเลยเหรอครับ?”
เสิ่นจิ่วหลับตาเม้มปากแน่น พยายามขยับศีรษะเบือนหน้าหนีริมฝีปากที่รุกไล่ ทว่าในตำแหน่งที่ถูกทาบทับอยู่นั้นก็ทำให้ไม่อาจหลบเลี่ยงได้เลย
ลั่วปิงเหอยังคงพูดต่อไป สุ้มเสียงอ่อนแผ่วลงเหลือเพียงรำพึง ท่าทางดูราวกำลังตกอยู่ในห้วงภวังค์ของตัวเอง “ผมน่ะ คิดถึงรุ่นพี่จนแทบบ้า”
เบื้องหลังเปลือกตาผุดภาพใบหน้าเปื้อนน้ำตาของเด็กหนุ่มคนหนึ่ง เสียงที่สั่นเทาเอาแต่พร่ำเพียงคำว่า ‘ทำไม ทำไม’
‘ผิดที่แกต่างหากที่โง่เชื่อฉัน’
ประโยคนั้น...เขาเพียงแค่คิด หรือว่าได้พูดออกไปกันแน่นะ?
“รู้ไหมว่าผมจินตนาการวันนี้มาตลอด” ชายหนุ่มฝังจมูกเข้ากับซอกคอของเขา แล้วสูดดม
เสิ่นจิ่วเกร็งตัวขึ้นโดยอัตโนมัติ แต่ยังไม่ทันจะได้ตอบสนอง มืออีกข้างที่ปัดป่ายไปทั่วอยู่เมื่อครู่ก็พลันมีจุดหมาย
สัมผัสที่ลากไล้บนเส้นสันหลังแจ่มชัด เป็นปลายนิ้วที่เคลื่อนผ่านก้นกบ สะโพก และไล่ต่ำลงไปจนกระทั่งกดคลึงที่ช่องทางเบื้องหลัง
แม้จะมีเนื้อผ้ากั้นอยู่ถึงสองชั้น แต่ความรู้สึกคล้ายถูกขืนเข้ารุกล้ำนั่นก็ยังชัดเจนเกินไป
เสิ่นจิ่วสะท้านเฮือก คำรามลั่นว่า
“ลั่วปิงเหอ!!!”
ทั้งแรงกำรอบข้อมือและไอร้อนที่นาบอยู่กับแผ่นหลังพลันผละออกไปพร้อมกัน นั่นคืออิสระในหนึ่งห้วงสั้น และขณะเดียวกันก็เป็นคำเชื้อเชิญให้เข้าสู่กับดัก
เสิ่นจิ่วหมุนตัวหันหลังกลับไปทันที อีกทั้งยังดื้อดึงต่อยออกไปหมัดหนึ่ง ซึ่งก็ถูกคว้าไว้โดยง่ายดายอีกครั้ง
ที่ทำเช่นนี้ใช่ว่าเพราะไม่รู้จักจำหรือโง่งม ตรงข้ามเสียด้วยซ้ำ เขาต่างหากที่รู้ดียิ่งกว่าใครถึงความแตกต่างระหว่างอัลฟ่าและเบต้า
เขารู้ว่าต่อให้พยายามต่อสู้หรือขัดขืนอย่างสุดชีวิต ก็ไม่อาจเอาชนะกำลังของอีกฝ่ายที่ใช้เพียงมือข้างเดียวได้เลยด้วยซ้ำ
แต่ถึงอย่างนั้น...
ถึงอย่างนั้น เสิ่นจิ่วก็ยังหันไปเผชิญหน้า แม้จะรู้ทั้งรู้อยู่เต็มอกว่ากำลังเล่นไปตามเกมของอีกฝ่าย
นั่นก็เป็นเพราะศักดิ์ศรีของเขาไม่มีวันยอมให้ตนเองถูกสัมผัสอย่างน่าละอาย หรือถูกปฏิบัติราวกับตัวเองเป็นโอเมก้าจริงๆ เสียอย่างนั้นได้
เขาไม่ใช่พวกที่มีดีแค่ที่กำลังกับสัญชาตญาณ และเขาก็ไม่ใช่พวกที่ได้รับการสรรเสริญเพียงเพราะนอนอ้าขาเก่งหรือสามารถท้องได้
เขามั่นใจว่าตัวเองดีกว่านั้น เหนือกว่านั้น เป็นมากกว่านั้น
และลั่วปิงเหอเองก็รู้ดี
ไอ้หมาพันธุ์ทางนั่น แน่นอนมันต้องรู้ดี โดยเฉพาะด้วยรอยยิ้มและแววตาพรายแบบนั้น
เสิ่นจิ่วกัดฟันกรอด โทสะลุกโพลงอัดแน่นอยู่เต็มอก ทว่าก็ไม่อาจทำอะไรได้เมื่ออยู่ต่อหน้าท่าทีไร้ยี่หระเช่นนั้น
ชายหนุ่มใช้มืออีกข้างหนึ่งกำรอบลำคอเขา ปลายนิ้วโป้งกดคลึงอยู่บนลูกกระเดือก บ้างแรงบ้างเบา ทำให้ยากจะคาดเดาได้ว่าแท้จริงมีเจตนาใดกันแน่
ลั่วปิงเหอนิ่งเงียบ พิจารณาไปทั่วใบหน้าของเขาด้วยดวงตาที่อ่านอารมณ์ไม่ออก ดูกึ่งหนึ่งคล้ายกำลังดื่มด่ำความทรงจำในอดีต ในขณะที่อีกกึ่งหนึ่งคล้ายนักล่าที่กำลังมองดูเหยื่อในอุ้งมือดิ้นรนหายใจเฮือกสุดท้าย…
เสิ่นจิ่วคาดเดาเหตุการณ์ถัดไปไว้มากมาย แต่ไม่คาดคิดแม้สักนิดว่าอีกฝ่ายจะคลี่ยิ้มอย่างอ่อนโยน
แม้กระทั่งเสียงกระซิบที่ริมหูก็ยังละมุนละไมประดุจว่าทุกอย่างยังคงเป็นเหมือนเมื่อห้าปีก่อน เสมือนไม่เคยมีความวาดหวัง ไม่เคยเกิดการทรยศ และหัวใจของใครบางคนไม่ได้เคยถูกเหยียบย่ำทำลาย
มันคือแวววามของความเชื่อใจที่บ้าคลั่ง
เหมือนกับคลื่นทะเลที่พร้อมจะโหมกลืนทุกสรรพสิ่งในท้องน้ำให้สิ้น ลั่วปิงเหอมองดูเขาด้วยแรงหักหาญของครรลองธรรมชาติ เด็ดขาดและสัมบูรณ์อย่าที่ไม่มีสิ่งใดจะโต้แย้งได้
กลับกลายว่าคำโกหกในอดีตของเขาเสียอีกที่ถูกตีความหมายใหม่
จากเรื่องหลอกหลวงถูกเบือนให้เป็นคำร้องขอหนึ่ง...ที่คนรักผู้แสนดีอย่างลั่วปิงเหอยินดีจะทำให้เป็นจริง
เสียงกระซิบและลมหายใจร้อนคลออยู่ริมหู ก่อนที่ข้างลำคอจะเจ็บแปลบ กลิ่นสนิมคาวเจือขึ้นในอากาศ
“ถ้ารุ่นพี่อยากเป็นโอเมก้ามากนัก ผมก็จะช่วยให้สมหวังเอง”
_____________________________________________________________________________________________________
? Happy(?) Belated Valentine's ?
- สรุปก็คือรถสีดำคันนั้นไม่ได้เกี่ยวอะไรด้วยเลย555
- เขียนไปได้ครึ่งทางแล้วค่อยนึกขึ้นได้ว่าคนอ่านไม่ได้มารู้แบ็คสตอรี่ที่เราคิดเอาไว้ด้วยนี่หว่า... เลยต้องมาพยายามแทรกเข้าไปทีหลัง 55
- พล็อตมาจากที่เคยคิดเล่นๆ ไว้ (ข้างล่างนี้ก๊อปแปะจากทวิต) ว่า
> ปิงจิ่ว ABO ในโลกที่อัลฟ่ากับโอเมก้าเป็นคนพิเศษ เสิ่นจิ่วเป็นเบต้า มี inferiority complex ตามประสา สมัยวัยเรียนเจอปิงเกออัลฟ่ารูปหล่อพ่อรวยแสนฉลาดก็หมั่นไส้ แถมบังเอิญโดนเข้าใจผิดว่าเป็นโอเมก้าเลยฉวยโอกาส ใช้กลิ่นปลอมแกล้งว่าเป็นจริงๆ จนมาได้เป็นแฟนกัน ปิงเกอก็รักมากก ติดกลิ่นเสิ่นจิ่วมากๆ
> ปิงเกอดอกบัวขาว 50% วาดหวังไว้เยอะมาก มีแพลนว่าอนาคตจะทำนั่นทำนี่ (ตรงนี้ทั้งคู่อาจจะใกล้ชิดจนเกือบ bond กันไปแล้วก็ได้) จนตอนเรียนจบเสิ่นจิ่วบอกเลิก เฉลยว่าตัวเองเป็นเบต้า ทุกอย่างพังครืน แต่เสิ่นจิ่วก็ไม่คิดว่ากลิ่นปลอมจะมีผลข้างเคียงทำให้ปิงเกอกึ่งๆเสพติด (ประมาณติดคาเฟอีน)
> ปิงเกอดอกบัวขาว 30% ก็โวยวายรุนแรง โกรธด้วยเสียใจด้วยแต่ยังไงก็ไม่ยอมเลิก เสิ่นจิ่วตกใจกับปฏิกิริยาเลยหนีหายไปเลย
> หลายปีผ่านไป ปิงเกอเทิร์นดาร์คเต็มขั้น กลับมาหาเสิ่นจิ่วอีกครั้ง พูดว่า ถ้าอยากเป็นโอเมก้าเดี๋ยวก็จะช่วยให้เป็นเอง →เข้าวังวนกักขังหน่วงเหนี่ยว
- อาจจะมีต่อ หรืออาจจะไม่มี ขึ้นอยู่กับวาระ โอกาส และไอเดีย ถถถถ
Writing Playlist
Just One Yesterday - Fall Out Boy
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in