ชิงจิ้งเฟิงยังคงงดงาม
ยามสายลมพัดโชย ทิวไผ่ขจีล้วนต่างเอนไหวดูประดุจระลอกคลื่นสีชอุ่ม เกิดเป็นเสียงดักแซ่กซ่า ระคนมากับกลิ่นไผ่สดชวนให้ใจสงบ
ยอดเมฆและม่านหมอกขนัดแน่นราวกับเป็นปฐพีอีกผืนหนึ่ง สีขาวของมันที่ถูกย้อมจางๆ ด้วยแสงทองของตะวันยามคล้อยก็ช่างสะท้อนให้ดวงตาพร่ามัว
“ซือจุน”
คำเรียกคุ้นเคยดังขึ้นมาจากไกลๆ
เขาไม่เคยขาดแคลนน้ำเสียงเปี่ยมความเคารพชื่นชมที่มาพร้อมคำนั้น หากแต่จะมีเพียงผู้เดียวที่เอ่ยอย่างประหนึ่งกำลังเปล่งเสียงด้วยกำลังกายใจทั้งหมดที่มี
เสียงนั้นไม่สูงไม่ต่ำ เป็นเสียงของเด็กชายในวัยที่ยังไม่แตกหนุ่ม น้ำเสียงสดใสดังกังวาน เปี่ยมล้นด้วยพลังชีวิตและความวาดหวัง
ร่างเล็กจ้อยตรงเข้ามาใกล้ และก็ปรากฏว่าเป็นเด็กคนนั้นจริง
ใบหน้าขาวผ่องเปรอะคราบเขม่า หน้าผากโซมเหงื่อ ปอยผมเส้นเล็กๆ แนบติดเต็มขมับและข้างแก้ม ดูสกปรกกระเซอะกระเซิง ทว่าในขณะเดียวกันก็กลับขับเน้นให้แวววามในดวงตายิ่งเปล่งประกาย
เขายืนนิ่ง ราวถูกตรึงไว้กับที่ ไม่อาจเบือนสายตาหนีได้แม้ชั่วขณะเดียว
“ซือจุนขอรับ ศิษย์...”
สายลมพัดกรู พลันบิดให้ภาพตรงหน้าเปลี่ยนแปลงไป
เด็กชายตัวเปรอะเปื้อนล้มลง เขม่าและฝุ่นดินบนใบหน้าถูกแทนที่ด้วยรอยฟกช้ำ เหนือคิ้วข้างหนึ่งปวมเบ่งเสียจนทำให้เปลือกตาปิดลงครึ่งหนึ่ง กระนั้นก็ยังไม่อาจบดบังดาราระยับที่แอบแฝงอยู่ในดวงตา ริมฝีปากแตกซิบสั่นเทา ยังคงเอื้อนเอ่ยคำเดิม ด้วยสำเนียงและทำนองอันราวหยิบยื่นทั้งดวงใจให้เป็นเครื่องบูชา
“ซือจุน...”
เขาจ้องตอบดวงตาคู่นั้น ในอกว่างเปล่า ต่อให้บังเกิดอารมณ์ใดก็ไม่อาจรับรู้ได้
เงาร่างตรงหน้าบิดเบี้ยวไปอีกครั้ง
รอบด้านมืดมิดลง อุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้น ลมที่ระใบหน้าเจือมาด้วยความร้อนระอุที่ทำให้ดวงตาแห้งผาก ในขณะที่ไกลๆ แว่วเสียงโหยหวนครวญคราง
ร่างคุดคู้ค่อยๆ ยันตัวขึ้น ร่างกายพร่าเบือนไปมาราวภาพสะท้อนของเงาน้ำ
เด็กหนุ่มยืดแผ่นหลังขึ้นทีละน้อยจนกระทั่งยืนอย่างเต็มความสูง ก่อนจะเงยหน้าขึ้น สายตายังจับจ้องตรงมาไม่เคลื่อนคลา ลมหวีดหวิวตีขึ้นจากห้วงเหวเบื้องหลัง พัดให้เส้นผมสีหน้าอ้างว้างเดียวดาย
ในลูกตาดำคล้ายมีบางอย่างลุกโชน โหมกระพือและแผดเผาราวเป็นหนึ่งเดียวกันกับเปลวไฟเบื้องหลัง
เสียงทุ้มเอ่ยช้าชัด แต่ละคำแต่ละพยางค์อัดแน่นไปด้วยความหมายที่ส่งมาไม่ถึง
“ซือจุน”
เขารู้ดีว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป
มือที่เอื้อมออกมาหาชะงักค้าง พลันถูกแรงที่มองไม่เห็นผลักให้ถอยหลัง ทั้งร่างหายลับลงไปพร้อมเสียงหวีดหวิวในสายลม
ตรงหน้ามีเพียงเศษดาบที่แตกกระจาย สะท้อนแสงไฟเป็นประกายพร่างประดุจดวงดาว แต่นอกเหนือจากนั้นแล้วก็ไม่หลงเหลืออะไรอีก
คนไม่อยู่แล้ว กระนั้นความว่างเปล่าก็กลับคล้ายจะทิ้งร่องรอยไว้ลึกล้ำกว่ายามคงอยู่
เด็กชายที่ทั้งดื้อรั้นและเชื่องเชื่อ เด็กหนุ่มที่เปี่ยมล้นพรสวรรค์เหนือใคร บุคคลผู้มีอนาคตทอดยาวไม่สิ้นสุด เจ้าของดวงตาที่ไม่เคยสูญเสียประกาย
มันคือแววตาอันน่าชิงชัง...
แววตาที่ตัวเขาเองไม่สามารถคงรักษาเอาไว้ได้ แต่สามารถทำลายที่สถิตอยู่ในดวงตาคู่อื่นได้
แสงสะท้อนบนพื้นเหล่านั้นทิ่มแทงนัยน์ตาราวกับยังไม่เสียคม
ทว่าเพียงชั่วฉับพลันถัดมาประกายนั้นก็ดับวูบ รอบกายกลับคืนเป็นชิงจิ้งเฟิงอันงดงามอีกครั้ง
เขาหันหลังให้กับทิวทัศน์อันคุ้นตา เผชิญหน้ากับเจ้าของภาพฝัน
“นี่คือวิธีทรมานแบบใหม่ของเจ้าหรือ”
ชายหนุ่มกลับไม่ตอบ เพียงกอดอกสบตาตอบอย่างเงียบๆ ดูราวกับกำลังตกอยู่ในห้วงความฝันของตัวเองด้วยเช่นกัน
ความเงียบทอดกายลงเชื่องช้า ท่ามกลางลมระเรื่อยของชิงจิ้งเฟิงในอดีต ลั่วปิงเหอสาวเท้าเข้ามาใกล้
“ท่าน...” ในระยะที่ร่นลง ใบหน้ายามที่ก้มลงเพื่อสบสายตากับเขาถูกบดบังด้วยเงาและมุมย้อนแสง เปลี่ยนให้สีหน้านั้นกลายเป็นปริศนาหนึ่ง
แต่ละคำเอ่ยอย่างเชื่องช้า ราวจงใจทิ้งโอกาสให้เขาพิจารณาถ้วนถี่
“เคยรู้สึกอะไรกับสิ่งที่ทำลงไปหรือไม่”
ไม่ใช่ ‘เสียใจหรือไม่’ หากแต่เป็น ‘รู้สึกอะไรหรือไม่’
เขาประสานสายตาตอบโดยไม่หลบเลี่ยง ทว่าริมฝีปากเม้มเป็นเส้นตรง
ชายหนุ่มกระชากแขนของเขา สัมผัสของอวัยวะที่สูญเสียไปเนิ่นนานแล้วในโลกความเป็นจริงทำให้เขาพลั้งผงะ กระทั่งแรงบีบที่ควรทำให้รู้สึกเจ็บก็ยังคล้ายจะไม่มีอยู่จริง
“ซือจุน ตอบคำถามข้า”
เขาเงยหน้าขึ้น เมื่อถูกรั้งให้เข้าใกล้ไปใต้เงาของอีกฝ่ายแล้วก็จึงมองเห็นดวงตาและเรียวปากได้ชัดเจนอีกครั้ง
เขาชิงชังดวงตาที่เปี่ยมไปด้วยดวงดาราคู่นั้น
กระนั้น ไฉนจึงไม่อาจรู้สึกยินดีกับดวงตาไร้ก้นบึ้งตรงหน้านี้ได้เลย?
เขาผลักความคิดใดอื่นให้จมลงไปกับความหนักอึ้งในทรวงอก และเพียงยิ้ม กดมุมปากให้หยักโค้งไปอย่างชืดชา
“หากตอบแล้วเจ้าจะคืนแขนขาให้ข้าอย่างนั้นหรือ”
เขาก้าวเข้าไปใกล้ สองเงาร่างสอดประสาน ผสานกันกลายเป็นเนื้อเดียว
เขาจดจ้องแต่ในแววตาของอีกฝ่าย เป็นครั้งแรกที่เป็นฝ่ายรุกไล่ ทั้งน้ำเสียงและรอยเหยียดยิ้มล้วนมุ่งมาดจะฉีกกระชาก ทำลายทุกอย่างให้ปลาสนาการสิ้นไป
"หากตอบแล้ว...เจ้าจะคืนสำนักชางฉยงซาน คืนชีวิตศิษย์พี่ศิษย์น้องของข้ามาหรือไม่"
ลั่วปิงเหอชะงักงัน ในเสี้ยวขณะของริ้วอารมณ์นั้น ชิงจิ้งเฟิงพลันปะทุขึ้นเป็นทะเลเพลิง
นี่คือชิงจิ้งเฟิงที่เขาเห็นเป็นครั้งสุดท้าย…
สีแดงฉานที่กลืนกินไปทั้งครรลอง ไล่จรดปลายฟ้าและลากละเลงไปตลอดเส้นผืนดิน ไม่อาจแยกแยะได้อีกต่อไปว่าสิ่งใดคือเปลวไฟ สิ่งใดคือโลหิต
สูญสิ้นเสียหมดแล้ว...ทั้งสถานที่ที่จะให้หวนกลับ ทั้งผู้คนที่จะให้คะนึงหา
เสียงกรีดร้องดังก้อง เสียงตะโกนเรียกหาอันนับไม่ถ้วนถูกควันไฟม้วนตลบ กลืนกลายให้เป็นหนึ่งเดียวกันกับเสียงไฟโหม
เสิ่นชิงชิวมองดูสีหน้านั้นผันแปรไปตามเงาของเปลวเพลิงที่โลดเต้น จับจ้องดวงตาที่ดูไม่คล้ายคั่งแค้น ไม่คล้ายผิดหวัง ทำให้ตนได้แต่รำพึงโดยไร้อาวรณ์
กระทั่งเข่นฆ่าเผาทำลายไปถึงเพียงนั้น แต่กลับยังจะคาดหวังคำตอบลมๆ แล้งๆ ราวยังไร้เดียงสา
เขาอยากจะแค่นหัวเราะ ทว่าไม่อาจแม้กระทั่งสูดลมหายใจ โลกทั้งใบหมุนคว้างและปั่นป่วนเมื่อเจ้าของความฝันสูญเสียการควบคุม
ความมืดหม่นคืบคลานเข้ามาอย่างเชื่องช้า เว้นไว้เสียแต่ดวงตาสะท้อนแสงไฟจนจัดจ้า ซื่อตรงและทิ่มแทงไม่ต่างอะไรไปจากคมดาบ
...‘รู้สึกอะไร’ น่ะหรือ?...
คำพูดเหล่านั้น เขาพูดเองทั้งหมด
การกระทำเหล่านั้น ตนก็เป็นผู้ลงมือทั้งสิ้น
เช่นนี้แล้วจะยังหลงเหลือสิ่งใดให้เอ่ยได้อีก?
_____________________________________________________________________________________________________
เสิ่นจิ่วดูเป็นคนประเภทที่ต่อให้รู้ว่าตัวเองทำผิดพลาดก็จะยังถือทิฐิ ไม่ขอโทษ ไม่แก้ตัว แล้วก็ไม่พยายามทำให้อะไรดีขึ้นเลยด้วย(...)
Writing Playlist
These Streets - Bastille
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in