“ที่อยู่ใต้โต๊ะของทุกคนตอนนี้คือตารางฝึกพิเศษเพื่อพัฒนาศักยภาพนะ”
สิ้นเสียงของครูปอมส่งผลให้นักเรียนในคลาสกิฟต์ต่างพากันก้มหยิบแผ่นกระดาษใต้โต๊ะของตัวเอง ผมได้แต่มองมันอย่างพินิจพิจารณา
“แผนฝึกพิเศษเพื่อศักยภาพของช่วงปิดเทอมฤดูร้อน...โห ครูครับ ปิดเทอมแล้วก็ยังต้องฝึกเหรอครับ” โอมบ่นอุบอิบพร้อมกับเสียงโห่ของคู่แฝคแจ็คโจจากด้าน หลังของห้อง
“ถูกแล้ว โอม..ไม่ว่าจะปิดหรือเปิดเทอมเนี่ย พวกเธอก็ต้องพัฒนาศักยภาพอยู่ตลอดเวลานะ” ครูปอมยิ้ม
“แต่..ช่วงปิดเทอมเนี่ย ครูไม่ให้พวกเธอฝึกอยู่หอกันเฉยๆหรอกนะ”
คำพูดนั้นทำให้คนทั้งห้องฉงน ต่างคนต่างมองไปที่ครูปอมด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำถาม ผมเองก็แอบคิดไว้แล้วว่าพัฒนาศักยภาพทั้งที่คงไม่ใช่อะไรที่ธรรมดาแน่ๆ
“ปิดเทอมนี่ คลาสกิฟต์ของพวกเราจะได้ไปเข้าค่ายกันที่หัวหิน”
“หูววววววววววววววววววววววววว”
เสียงโห่ร้องหลายสิบชีวิตตะโกนรวมกันโดยมิได้นัดหมาย ทุกคนต่างยิ้มแย้ม
ดีใจ โดยเฉพาะไอ้โอมที่แสดงอาการอย่างออกนอกหน้า
“ใจเย็นๆกันนะ พวกเธอ ครูรู้ว่าพวกเธอดีใจที่จะได้ไปค่าย แต่ก็อย่างที่ครูบอก เราไปฝึกเพื่อพัฒนาศักยภาพ ไม่ได้ไปเที่ยวกันนะ”
“เออ ..ครูปอมคะ? แล้วแม่ของหนูเขา..จะอนุญาตเหรอคะ?”
น้ำตาลถามเสียงสั่น
จริงอย่างที่เธอว่า ถึงสุดท้ายตอนนั้นผมจะขอร้องแม่ของน้ำตาลสำเร็จแต่มันก็เป็นเพราะศักยภาพของผม แต่กรณีนี้มันไม่เหมือนกัน
“ไม่ห่วงน้ำตาล ผอ.คุยกับทางคุณแม่เธอเรียบร้อยแล้ว เพราะทางเราเตรียมครูพยาบาลไปเพื่อฉุกเฉินอยู่แล้ว ถ้าเธอสัญญาว่าจะรักษาสุขภาพให้ดี เข้าใจไหม?”
“ค่ะ!” น้ำตาลตอบรับอย่างดีใจก่อนจะหันทางผมกับโอมด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“ถ้าอย่างนั้น เริ่มเตรียมตัวคืนนี้เลยนะ เพราะพรุ่งนี้เราจะไปกันแล้ว อ้อ อย่าลืมตกลงกันดีๆล่ะว่าในรถ ขาไปขากลับใครจะนั่งตรงไหน ตอนขึ้นรถบัสจะได้ไม่มีปัญหากัน”
หลังจากเสร็จประกาศของครูปอม ภายในห้องก็เริ่มเสวนาด้วยเรื่องที่นั่งทันทีเพราะรถบัสซึ่งมีที่นั่งเป็นคู่หลายๆคนเลยตกลงกันง่ายๆ
ต่างจากพวกผม
“ถ้าพวกแกสองคนนั่งด้วยกัน แล้วเราจะนั่งกับใครอะ”
น้ำตาลเริ่มบ่น เมื่อผมและโอมตกลงจะนั่งด้วยกัน
“อ้าว แกก็ลองไปชวนคนอื่นดิ” ไอ้โอมว่า
“ก็คนอื่นมันมีที่ไหนเล่า เราลองชวนมณแล้ว แต่เขาตกลงนั่งกับกรไปแล้วอะ พวกโจกับแจ็คก็ต้องนั่งด้วยกันอยู่แล้ว ส่วนแคลร์กับปุณณ์ไม่ต้องพูดถึงก็รู้ว่าแคลร์ไม่ยอมแน่ เหลือก็แต่...”
น้ำตาลเหลือบสายตาไปมองคนที่นั่งอยู่หลังสุดของห้อง
“...เวฟ”
ราวกับการเอ่ยชื่อของลอร์ดโวลเดอมอร์ ราวกับเป็นคำต้องห้าม สะกดให้พวกผมสามคนตกอยู่ในความเงียบช่วงขณะหนึ่งไปเลย
“เฮ้ย...แกก็นั่งกับเวฟไปก็ได้ เท่าที่เราดูๆมันก็ไม่ได้เกลียดแกหนิ”
“แต่ว่า...”
น้ำตาลทำหน้าลำบากใจอีกครั้ง ในขณะที่ไอ้โอมอยู่ๆก็ผุดรอยยิ้มชั่วร้ายออกมาจนผมเริ่มใจไม่ดี
เพราะลึกๆผมเดาได้แล้วว่ามันจะทำอะไร
“กุรู้แหละ”
อย่านะมึง...
“ตัวข้าโอมเพี้ยงผู้นี้ จะขอเสียสละตัวเองไปนั่งกับคุณชญานิศ ปราชญ์คริษฐ์เองงงงงงงง”
นั่นไง กุว่าแหละ
“เพื่อเสียสละให้คุณปวเรศคนดีของเราได้ไปนั่งเคียงข้างสุดที่รักอย่างวสุธรคนอ้อนตีน”
“เชี่ยโอม กุไม่ตลกนะเว้ย”
“อ้าว ใครบอกกุตลก นี่กุจริงจังนะ น้ำตาล..สรุปเรานั่งกับเธอนะ”
“โอเค”
น้ำตาลตอบอย่างไว
“ขอโทษนะแปง แต่เรารู้ว่าแกจะผ่านมันไปได้”
เธอเอื้อมมือมาจับบ่าผมเพื่อให้กำลังใจ
ขอบคุณนะ น้ำตาล แต่มันไม่ได้ช่วยอะไรเลยเว้ย
01.
“ทุกคนมากันครบแล้วนะ”
“ครับ/ค่ะ!”
เช้าถัดไปผ่านไปไวเหมือนโกหก สภาพของผมตอนนี้ไม่ต่างจากพวกซอมบี้ในเดอะวอล์กกิงเดด เพราะเมื่อคืนผมนอนไม่หลับเลย แม้จะพยายามข่มตาลงนอนแค่ไหนก็ไม่สำเร็จ พอคิดว่าวันนี้ต้องมาสัมผัสกับความทรมานอันแสนอึดอัดจากการนั่งข้างไอ้เวฟไปตลอดเส้นทางกรุงเทพฯ-หัวหิน ผมก็สงบใจไม่ได้เลย
“ตกลงเลือกที่นั่งกันเรียบร้อยแล้วนะ ส่วนครูจะนั่งหน้าสุด ส่วนครูพยาบาลจะอยู่ชั้นล่างของรถ มีอะไรหรือเกิดอะไรขึ้นมาก็เรียกพวกครูได้นะ อ้าว ขึ้นรถได้แล้ว”
ต่างคนต่างขึ้นรถไปกับคู่ของตัวเอง มีแต่ผมที่รอให้ทุกคนขึ้นไปก่อน ใช้เวลาทำใจพักหนึ่งแล้วจึงขึ้นบัสตามคนอื่นๆไป ส่วนครูปอมก็เดินขึ้นปิดประตูเป็นคนสุดท้าย ผมเดินผ่านไปแต่ละที่นั่งแล้วก็เจอกับที่นั่งว่างเพียงหนึ่งเดียวที่เหลืออยู่
“เออ.. กุนั่งนี่นะ”
อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมาตามเสียงของผม สายตาของเขาดูฉงนเมื่อเห็นผม ดวงตาใต้กรอบแว่นกวาดสายตาซ้ายขวา เมื่อเห็นว่าไม่มีที่นั่งเหลือจริงๆ จึงเอ่ยเสียงเบาๆว่า “แล้วแต่” แล้วจึงหันหน้าไปทางหน้าต่าง
ผมนั่งลงข้างๆอีกคนเมื่อได้รับคำอนุญาต ได้ยินเสียงอีกฝ่ายถอดหายใจแต่ผมก็แสร้งทำเป็นหูทวนลมแล้วหยิบมือถือขึ้นมาเล่นฆ่าเวลา ผมเตรียมชาร์ตพาวเวอร์แบงค์มาพร้อมมากๆเพื่อหนีจากความอัดอือที่ต้องมาเผชิญหน้ากับมัน
บรรยากาศภายในตัวรถค่อนข้างครึกครื้นทีเดียว ทุกคนดูตื่นเต้นกันมากเพราะเป็นครั้งแรกที่ห้องกิฟต์ได้มาเข้าค่ายเป็นครั้งแรก แต่เหมือนคนที่ไม่สนุกจะมีอยู่คนเดียวและไม่ต้องถามว่าเป็นใคร เวฟใช้เวลาในรถไปกับไอแพคของตัวเอง ตั้งแต่ขึ้นรถเราแทบไม่พูดอะไรกันเลย มีแค่ความเงียบระหว่างเราสองคน ผมคิดในใจว่าอยากพูดอะไรสักอย่างเพื่อทำลายความเงียบนี้ลง แต่อีกใจก็รู้สึกว่าแบบนี้ก็ดีแล้ว อย่างน้อยมันก็ไม่หาเรื่องผม เงียบใส่กันแบบนี้ไปจนถึงหัวหินอาจจะดีกว่าก็ได้
พอเวลาผ่านไป คนอื่นที่นั่งอยู่ในรถก็ต่างพากันหลับไปหมด บรรยากาศมาคุเริ่มปกคลุมพื้นที่ภายในมีแต่ความเงียบที่หนักอึ้งยิ่งกว่าเดิม แล้วที่แย่คือดันมีแต่ผมกับไอ้เวฟที่ยังไม่หลับซะงั้น เวฟที่เหมือนจะเริ่มเบื่อจากไอแพคก็หันออกไปมองวิวทิวทัศน์ที่อยู่ด้านนอกหน้าต่างแทน
“มึง... เคยมาเที่ยวปะ? หัวหินอะ?”
ไม่รู้อะไรดลใจให้ผมพูดทำลายความเงียบ อีกฝ่ายหันมาพร้อมขมวดคิ้วด้วยสีหน้าท่าทางกวนประสาทตามสูตร
“อยู่ๆก็อยากเสือกงี้?”
“เฮ้ย ..กุถามดีๆ มึงก็ตอบกุดีๆไม่ได้บ้างเหรอว่ะ”
“…”
เวฟเงียบไป เป็นปฏิกิริยาที่ผมไม่ได้คาดคิดว่าจะเกิดขึ้นเลยสักนิด สิ่งคิดไว้ก็ประมาณ “ทำไมต้องกุต้องพูดดีกับมึงด้วย” หรือ “ไม่เสร่อดิ” อะไรทำนองนี้ แต่ความเงียบเป็นสิ่งที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นกับคนอย่างเวฟ คนต่อปากต่อคำเก่งอย่างมันไม่น่าจบบทสนทนาด้วยความเงียบแน่ๆ
“ถ้ามึงไม่อยากให้กุยุ่งกับมึง กุจะไม่ยุ่ง..”
“...ไม่เคย”
ผมแทบไม่เชื่อหูตัวเอง
อีกฝ่ายตอบกลับคำถามของผมเสียงเบาโดยที่ยังคงหันมองไปทางหน้าต่างเหมือนไม่ใส่ใจ
น่าแปลกที่มันทำให้ผมดีใจอย่างประหลาด เหมือนกับว่าพวกเราเข้าใกล้กันอีกก้าว ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าจะดีใจไปทำไม แต่ก็แอบรู้สึกดีนิดๆที่ไม่ต้องทนกับความเงียบอีกแล้ว
บทสนทนาแรกของพวกเรามีแค่นั้น แต่บรรยากาศระหว่างเราก็ผ่อนคลายขึ้นจนน่าตกใจ
รถบัสแล่นผ่านวิวทิวทัศน์มากมาย มันสะท้อนเข้ามาผ่านดวงตาของผม
ภาพของเวฟก็เช่นกัน
02.
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in