"กูชอบมึง"
.
.
.
"โอฮุนจี! มึงจะนอนอืดอีกนานมั้ย!?" เสียงโหวกเหวกหน้าห้องนอนทำให้เด็กสาวในวัยยี่สิบเอ็ดปีต้องฝืนสังขารลุกจากเตียงมาเปิดประตู ฮุนจีไม่เข้าใจว่าทำไมต้องมาแหกปากเรียกเธอในวันหยุดปิดเทอมวันแรกด้วย นัยน์ตาตาหวานที่ยังไม่ค่อยตื่นเต็มตาจ้องเขม็งไปยังเพื่อนตัวสูงในชุดเสื้อกล้ามกางเกงกีฬา มีเสื้อฮาวายสวมทับเสื้อกล้ามย้วยๆอีกชั้น
"กูจะนอน จบนะ" ว่าเสร็จก็ปิดประตูเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกรบกวนอีกระลอก แต่ยังไม่ทันได้ล้มตัวนอน ร่างบางกูลอยหวืออยู่ในวงแขนแกร่งของเพื่อนตัวสูง ฮุนจีใจเต้นรัวด้วยความตกใจ มือบางเกาะไหล่กว้างไว้แน่นเพราะกลัวตก
"ไอ่บ้าฮันยอล! ทำเ_ี้ยอะไรของมึงเนี่ย!" เธอแหวลั่น ฮันยอลไม่ตอบ เขาอุ้มเพื่อนตัวเล็กวิ่งลงทะเลในยามเช้า อากาศที่นี่ค่อนข้างดี และเขาเองก็อยากจะเล่นน้ำทะเลใจจะขาด
ตู้ม!
ซ่า!~
"แค่กๆ ไอ่เพื่อนบ้า!" มือเล็กลูบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำทิ้งก่อนจะฟาดมือลงบนอกแกร่งเสียงดังฟังชัด ผิดกับฮันยอลที่ยิ้มแป้นเมื่อร่างกายได้สัมผัสกับน้ำ
"สดชื่น เป็นไง? หายง่วงยัง"
"กูจะตายกับมึงนี่แหละ"
"โอ๋ๆ อย่างงอนพี่เลยนะน้อง" มือหนาบีบจมูกรั้นด้วยความหมั่นไส้ ฮันยอลเอ็นดูเพื่อนตัวเล็กที่สุดแล้ว ขนาดแฟนของเขาเองยังไม่เท่ายัยตัวแสบคนนี้เลย
"ไอ่บ้า" ฮุนจีปัดมือหนาทิ้งก่อนจะพาร่างเปียกๆของตัวเองขึ้นจากน้ำแต่ยังไม่วายโดนดึงกลับลงน้ำอีกครั้ง
ตู้ม!
"คิมฮันยอล! แค่กๆ แค่กๆ" ร่างบางสำลักน้ำจนหน้าแดงกล่ำ ฮันยอลเห็นท่าไม่ดีจีงคอยลูบหลังให้เพื่อนตัวเล็ก เขาเองก็เล่นแรงไปแต่ก็เพราะความหมั่นเขี้ยว เวลาเห็นยัยตัวเล็กทำหน้าบึ้ง แก้มจะพองเป็นซาลาเปาไส้ครีมที่เขาชอบกิน โอฮุนจีน่ารักจะตายไป
"กูขอโทษ มึงโอเคมั้ย?"
"ลองมาสำลักน้ำแบบกูมั้ยหล่ะ แค่กๆ"
"กูหวังดีหรอก"
"จะฆ่ากูก็บอกเหอะ"
"มึงจะเดินโทงๆขึ้นไปก็ได้นะถ้ามึงไม่อายอ่ะ"
"อายอะไร"
"เสื้อมึงอ่ะ" ฮันยอลว่า นิ้วเรียวชี้ต่ำไปยังเสื้อเชิ้ตเนื้อบางที่ตอนนี้แนบไปทั้งตัว เขาไม่ได้ลามกนะและไม่ได้ตั้งใจมองบราสีเทาที่เพื่อนตัวเล็กใส่อยู่ด้วย
"เพราะใครเล่า!" มือเล็กยกมาปิดส่วนที่น่าอายและส่งค้อนวงใหญ่ให้เพื่อนสนิท ฮันยอลวิ่งขึ้นหาดไปยังบังกะโล ผ้าขนหนูผืนใหญ่ถูกกางออกและรับร่างเล็กที่วิ่งขึ้นจากน้ำมา
ฮุนจีตักข้าวต้มเข้าปากหลังจากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ วันนี้เป็นวันแรกหลังจากสอบเสร็จ เธอและฮันยอลเรียนอยู่คณะเดียวกัน มอเดียวกัน พอสอบเสร็จก็พากันมาที่ทะเลโดยรถไฟจากเชียงใหม่มาหัวหิน เธอกับเพื่อนตัวสูงมาด้วยกันทุกปีหลังปิดเทอมใหญ่ของทางมหาวิทยาลัย ตั้งแต่รู้จักกันมาจากคนข้างบ้านก็กลายเป็นเพื่อน จากเพื่อนก็กลายเป็นเพื่อนสนิท ฮุนจีค่อนข้างจะแปลกใจกับความสัมพันธ์ที่ไม่คิดว่าจะมาได้ไกลขนาดนี้ ขนาดเพื่อนที่เรียนมัธยมมาด้วยกันยังไม่ค่อยคุยกันเลย อาจเป็นเพราะเรียนอยู่คณะเดียวกันด้วยจึงทำให้ระหว่างเขากับเธอยังดำเนินคำว่าเพื่อนได้ต่อไป
หญิงสาวไม่ค่อยจะยุ่งย่ามกับชีวิตของเพื่อนสนิท ไม่ว่าเขาจะมีแฟนเป็นใครหรือไปก่อเรื่องอะไรไว้ก็ทำเพียงรับรู้เท่านั้น แน่นอนว่าเธอเคยแอบชอบฮันยอลมาเมื่อตอนอายุสิบห้าแต่มันก็เกิดขึ้นมานานเกินกว่าที่เธอจะต้องบอก เมื่อบางสิ่งถูกโยนลงมหาสมุทรก็ยากที่จะเก็บขึ้นมาได้ ความรู้สึกของฮุนจีก็เป็นแบบนั้น
ส่วนฮันยอลเองก็มีแฟนแล้วเป็นสาวคณะวิทยาศาสตร์ เธอเองไม่เคยได้ยินฮันยอลเล่าถึงสักเท่าไหร่แต่ก็ไม่เคยถามเองสักครั้ง แต่ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีที่แฟนของฮันยอลไม่ได้ระแคะระคายเรื่องของเธอ เพราะฮันยอลเป็นคนที่ชอบยอมเธอทุกอย่างไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตามมาตั้งแต่เด็กแล้ว ตัวเธอเองก็เกรงใจแฟนของเพื่อนอยู่ไม่น้อย
"มึงโทรหาแฟนมึงบ้างป่ะเนี่ย ที่มาเที่ยวเลกับกูมึงบอกเค้ารึยัง"
"ไม่อ่ะ ไม่เห็นจำเป็นเลย"
"แต่อย่างน้อยก็ควรโทรไปบอกเค้า มึงนี่เป็นแฟนประสาอะไรวะ"
"เวลาอยู่กับมึง มึงก็ต้องมาก่อนดิวะ จะให้กูเอาแต่คุยกับแฟนก็ไม่ใช่ป่ะ"
"..."
"มึงคิดมากไปละ" ว่าแล้วก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายเพื่อนตัวเล็กที่กำลังหม่ำข้าวแก้มตุ่ยลงโซเชียล ฮันยอลไม่ใช่คนคิดมากเหมือนฮุนจี เขาไม่ค่อยแคร์ใครหรอก
คิมฮันยอล » โอฮุนจี
'กินขนาดนี้พี่ก็เลี้ยงไหว'
ฮันยอลยิ้ม ก่อนจะเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋ากางเกง หลังจากเสร็จมื้อเช้า ทั้งคู่ก็ออกเดินเที่ยวไปที่ต่างๆ การมาเที่ยวแบบนี้เป็นสิ่งที่เพื่อนตัวเล็กของเขาชอบมาก เมื่อปีที่แล้วพวกเขาลงใต้ไปกระบี่ ไม่มีครั้งไหนเลยที่จะไปซ้ำๆอยู่ที่เก่า ไปที่ไหนก็ได้ที่มีที่ให้เที่ยว พวกเขาก็พร้อมที่จะไป
สองเพื่อนสนิททอดตัวนั่งริมทะเลหลังจากที่กลับจากการเดินเที่ยวในเมือง ฮุนจีแทบอยากจะปารองเท้าที่อุส่าห์เสียเงินไปหลายร้อยซื้อมาแต่โดนมันทรยศเข้าให้ บริเวณส้นเท้าบวมเป่งจากการที่โดนรองเท้ากัดพลอยให้ฮันยอลต้องไปเดินหาซื้อรองเท้าแตะมาให้ใส่แก้ขัด
เวลาที่พระอาทิตย์ใกล้ตกดินท้องฟ้าจะสวยกว่าทุกวัน แสงแดดรำไรกระทบลงบนผืนน้ำ คลื่นลูกเล็กพัดกระทบฝั่งจนเกิดเสียง หญิงสาวชอบเสียงทะเล เพราะทะเลทำให้เธอได้อยู่กับเพื่อนคนสำคัญ
ฮุนจีทอดสายตามองเพื่อนตัวสูงที่กำลังนั่งขุดหลุมฝังตัวเองอยู่ข้างๆ ฮันยอลจะชอบทำตัวเหมือนสมัยที่เขาและเธอยังเด็ก ช่วงนั้นเป็นครั้งแรกๆที่เพื่อนของเธอได้มาทะเล เพราะที่เชียงใหม่มีแต่ม่อนดอย มีแต่แม่น้ำ แต่ไม่มีทะเล ไม่มีลมที่หอบกลิ่นไอของทะเลขึ้นมาให้พวกเขาได้สัมผัส ฮุนจีจำได้เสมอว่าครั้งแรกที่มากับฮันยอลมันสนุกแค่ไหน
"มึง ช่วยเอาทรายมาถมขากูที กูขยับไม่ได้" ฮันยอลว่าขึ้น มือบางจึงโกยทรายละเอียดเข้าในอุ้งมือเล็กของเธอและโปะมันลงไปบนขาของเพื่อนโดยที่ไม่รู้เลยว่ากำลังโดนแอบถ่ายรูปอยู่
"แค่นี้พอรึยัง กูว่ามันแน่นแล้วนะ"
"อืม แน่นจนขยับขาไม่ได้เลยเนี่ย"
"เหลืออีกปีเดียวแล้วนะที่จะได้มาทะเลด้วยกัน"
"มึงจะดราม่าทำไมเนี่ย"
"กูก็แค่พูดเฉยๆ กูใจหายนะมึง ตั้งแต่เจ็ดแปดขวบก็มาทะเลด้วยกันตลอด กูชินที่ได้มาทะเลกับมึงก็เท่านั้นเอง"
"กูไม่เคยบอกว่าจะไม่มากับมึงอีกหลังเรียนจบ"
"แต่มึงกับกูต้องหางานทำไง หมดเวลาเที่ยวแล้วฮันยอล"
หมดเวลาที่เธอจะได้มีฮันยอลอยู่ข้างๆแบบนี้แล้ว ฮันยอลยังมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ต้องทำรออยู่ข้างหน้า เช่นเดียวกับเธอที่ไม่รู้ว่าจะเจออะไรอีกต่อไป
นัยน์ตาตาหวานหม่นแสงลง ทอดมองผืนทะเลที่ไกลสุดลูกหูลูกตา นี้ก็เย็นมากแล้ว เธอควรจะหาอะไรกินรองท้องเสียก่อนที่โรคกระเพาะจะถามหา
"กูหิวข้าวแล้ว"
"คิดเหมือนกูเลยบีหนึ่ง" ฮันยอลยิ้ม "แต่กูแม่งลุกไม่ได้แล้วว่ะ"
"ไอ่บ้าฮันยอลเอ๊ย!" ไม่พ้นเธอที่จะต้องช่วยดึงในคนที่เอาทรายมากลบขาตัวเองให้ลุกขึ้น ร่างสูงขยับขาให้สามารถขยับได้และมีแรงดึงช่วยให้เขาลุกออกมาจากทราย
สองเพื่อนซี้เดินไปยังร้านอาหารของทางบังกะโล ทั้งคู่สั่งอาหารมาคนละสองอย่าง แค่นี้พวกเขาก็ทานไม่หมดแล้ว ปูนึ่งตัวโตที่เพิ่งถูกยกมาเสิร์ฟทำหญิงสาวท้องร้อง มือบางหมายจะแกะปูตัวนั้นแต่ก็โดนเพื่อนสนิทตัดหน้าไปเสียก่อน เธอจึงเบนไปทางอาหารชนิดอื่นแทน ปลาหมึกนึ่งมะนาวที่โคตรหอมทำให้ฮุนจีแทบจะวางช้อนไม่ได้เลยทีเดียว
"แกะให้แล้ว" ปูที่เคยหมายตาไว้เหลือแต่เนื้อสีขาว กระดองสีส้มสดนอนแอ้งแม้งในจานของฮันยอล เขายกทั้งจานให้เธอและเอาจานที่เธอใช้แล้วไปแทน หญิงสาวรีบยื่นจานใหม่ให้เพราะเขาทำท่าจะตักข้าวใส่จานใบนั้นของเธอ
"เอาจานใหม่มาทำไม จะตักข้าวเพิ่มให้ไง"
"กูก็นึกว่ามึง-"
"บ้า กูจะตักข้าวให้มึง กูอุส่าห์แกะปูให้ ไม่กินมีเคืองนะเว้ย"
"กับแฟนมึง มึงทำให้ขนาดนี้ป่ะวะ" ฮุนจีถามขึ้นด้วยความสงสัย
"ไม่อ่ะ อย่างมากก็แค่ช่วยถือกระเป๋าเท่านั้นแหละ"
"แล้วกับเพื่อนอย่างกู มึงต้องทำขนาดนี้เลย?"
"มึงไม่ใช่แค่เพื่อน แต่มึงเป็นคนสำคัญของกู"
'มึงไม่ใช่แค่เพื่อน แต่มึงเป็นคนสำคัญของกู'
ประโยคเรียบๆไร้อารมณ์ของเพื่อนตัวสูงสามารถทำให้ใจดวงเล็กเต้นระส่ำได้รุนแรงขนาดนี้เลยหรือ ฮุนจีปรับสีหน้าให้เป็นปกติราวกับไม่ได้ยินประโยคเมื่อครู่แต่ภายในปั่นป่วนไปหมด ร่างเล็กรีบตักข้าวเข้าปากเพื่อที่จะได้กลับไปห้องสักที เธอเหนื่อยกับการเที่ยวในครั้งนี้มากกว่าครั้งไหนๆ
และไม่เคยมีอะไรได้ดั่งใจเธอ วันนี้ทางเจ้าของบังกะโลจัดปาร์ตี้รอบกองไฟเล็กๆริมหาดเพื่อเป็นของสมนาคุณให้ลูกค้าที่มาเข้าพัก งานจะเริ่มในตอนหนึ่งทุ่มและสิ้นสุดในเวลาเที่ยงคืน เครื่องดื่มและของทานเล่นมีมากมายให้ได้เลือกสรร แน่นอนว่าคิมฮันยอลที่มีมนุษย์สัมพันธ์ดีเลิศจะพลาดได้อย่างไร
"นะๆ ไปนั่งเล่นสักชั่วโมงค่อยกลับก็ได้ ที่นอนไม่หนีมึงหรอก"
"กูเมื่อย กูอยากนอน มึงจะไปก็ไปคนเดียวเหอะ" ฮุนจีตั้งท่าจะเดินกลับแต่โดยคนตัวสูงกว่ารั้งไว้ สายตาเว้าวอนนั้นทำให้เธอใจอ่อนอยู่เสมอ "ก็ได้ๆ แค่ชั่วโมงเดียวนะ"
"เย้! มึงใจดีที่สุดในโลกเลย"
ฮันยอลลากเพื่อนตัวเล็กมารวมกลุ่มกับบรรดานักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติ มีวงดนตรีอะคูสติคคอยขับกล่อมให้เคลิ้มไปกับสายลมที่พัดเอื่อยๆ เบียร์กระป๋องแช่เย็นถูกยื่นให้กับหญิงสาวก่อนที่เขาจะทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ
มองที่มุมเดิมๆ อยู่ตรงที่เดิมๆ
ข่มใจตัวเองเอาไว้ ทั้งรู้ข้างใน หวั่นไหวเมื่อใกล้เธอ
เพียงเอื้อมมือเท่านั้น ก็ไปได้ถึงตัวเธอ
แต่หัวใจยังห่างไกล รักเท่าไร เธอไม่รู้เลย
ฮุนจีไม่เข้าใจว่าทำไมนักร้องต้องร้องเพลงนี้ด้วย มือบางเปิดกระป๋องเบียร์ก่อนจะยกขึ้นดื่ม รอบกายมีแต่คนที่เป็นคู่รักนั่งอิงแอบกัน ยกเว้นเสียแต่เธอกับฮันยอลที่เป็นเพื่อนกัน
เวลาผ่านไปกระป๋องเบียร์ที่มีเพียงกระป๋องเดียวก็เริ่มเพิ่มจำนวนมากขึ้น ฮันยอลไม่รู้ว่ายัยเพื่อนตัวเล็กเก็บกดมาจากไหนถึงได้ซัดเอาๆขนาดนี้ ชายหนุ่มแย่งกระป๋องเบียร์ที่เพิ่งเปิดใหม่จากมือบางมาถือไว้ คนถูกแย่งจ้องเขม็งอย่างเอาเรื่อง ใบหน้าหวานแดงก่ำจากฤทธิ์แอลกอฮอล์ เขาควรจะพายัยนี่ออกไปเดินรับลมก่อนที่จะดื่มไปเยอะมากกว่านี้
"มึงจาพากูปายหนาย กูจะดื่ม อึก"
"ดื่มอีกเดี๋ยวมึงก็อ้วกกันพอดี"
"กูจาดื่มม น้าาา ฮันยอลล"
"กลับไปนอนเลยมึง เมาแล้วไม่สำนึก"
"อึก กูม่ายมาวๆ" เสียงคางยานขนาดนี้เด็กปอสามยังไม่เชื่อเลย ร่างสูงพาคนเมามานั่งรับลมที่ริมทะเล เขาค่อยๆให้คนเมานั่งก่อนจะนั่งลงตาม มือหนาคอยปัดผมที่ปรกหน้าหวานออกให้
ตอนโอฮุนจีเมา นรกอิสคัมมิ่งชัดๆ
"ร้อนอ่ะ" มือบางทำท่าจะถอดเสื้อยืดที่ใส่อยู่ทิ้งจนเขาห้ามเกือบไม่ทัน แต่ยังไม่ทันจะถึงนาทีโอฮุนจีก็ทำท่าจะวิ่งลงทะเล เขาต้องรีบไปอุ้มมานั่งกับที่
"มึงอย่าไปเมาให้คนอื่นเห็นนะเว้ย โดนจับปล้ำไปกูช้ำใจตายเลย" เขาพูดกับคนเมาเบาๆ ฮุนจีนั่งคอพับหลังจากโดนความง่วงเข้าเล่นงาน หัวทุยๆเอนซบเข้าหาอกแกร่งและหลับไปในที่สุด
ชายหนุ่มมองใบหน้าของเพื่อนสาว กลุ่มผมสีดำยาวประบ่า ขนตายาวเป็นแพ กับริมฝีปากสีแดงธรรมชาติ มือหนาช้อนใบหน้าหวานให้เงยขึ้นก่อนจะประทับรอยจูบบนริมฝีปากเล็กนั้น ไม่กี่อึดใจเขาก็ถอนจูบออกมาพร้อยรอยยิ้มเศร้าๆ
"กูชอบมึง"
โอฮุนจีและคิมฮันยอลเรียนจบแล้ว...
หญิงสาววัยยี่สิบสามปีนั่งทำงานงกๆอยู่ในบริษัทรับก่อสร้างที่ค่อนข้างดังในระดับหนึ่ง มือเรียดจรดปากกากรอกเอกสารในขณะที่หูฟังเสียงของสิ่งรบกวนรอบข้าง ไม่ว่าจะเป็นเสียงพูดคุยของพนักงานในบริษัท เสียงการจราจรด้านล่างตึก แม้กระทั่งเสียงปากกาที่เธอกำลังใช้อยู่ มันรบกวนจิตใจเธอนิดหน่อย
Rrrr
เครื่องมือสื่อสารยี่ห้อดังสั่นรัว เธอเหลือบสายตามองคนโทร.มาก่อนจะกดรับสาย
"หวัดดีค่ะแม่ โทร.มามีอะไรหรอคะ?"
(แม่แค่จะโทร.มาถามว่าสงกรานต์ปีนี้ ลูกจะกลับบ้านมั้ย)
"แป๊บนะคะ หนูขอวันก่อน" ฮุนจีคว้าปฏิทินตั้งโต๊ะใกล้ๆขึ้นมาดู โชคดีที่ไม่มีงานในสัปดาห์ของการเล่นน้ำ "กลับค่ะแม่ น่าจะกลับวันวันคารนะคะ"
(แม่ดีใจจริงๆที่ปีนี้หนูกลับบ้าน จริงสิ! ลูกอย่าลืมหาชุดเดรสสวยๆติดมาด้วยนะ)
"เดรส? เอาไปทำไมคะ"
(ก็.. งานแต่งคนที่แม่รู้จักน่ะ)
"อ๋อค่ะ แม่คะ..ไว้ค่อยคุยกันนะ ตอนนี้หนูทำงานอยู่ ฝากบอกป๊าด้วยนะคะว่าหนูคิดถึง"
(จ่ะ งั้นแม่ไม่กวนแล้วนะ)
"ค่ะ รักแม่นะ สวัสดีค่ะ" เธอกดวางสาย นาฬิกาบอกเวลาว่าตอนนี้ได้เวลาเลิกงานแล้ว ฮุนจีเก็บของใส่กระเป๋าก่อนจะออกจากห้องไป
ร่างบางหยุดรอรถไฟที่จะมาขอดเทียบชานชาลาในไม่กี่อึดใจ เวลาสองทุ่มแบบนี้คนไม่ค่อยมาก หญิงสาวมองหาที่ว่างก่อนจะนั่งลง สายตาจับจ้องไปยังโทรศัพท์ที่เปิดแชททิ้งไว้ แชทของคิมฮันยอลที่ไม่ได้คุยกันอีกเลยตั้งแต่เรียนจบ มันถูกหยุดเอาไว้จนเวลาล่วงเลยมาเกือบสองปีได้ นิ้วเรียงพิมพ์อักขระลงไปแต่ลบทิ้งแล้วพิมพ์ใหม่อยู่หลายครั้ง ทะเลที่เคยสัญญาว่าจะไปเที่ยวด้วยกันอีกก็ไม่เป็นอย่างที่คิดเอาไว้ เธอติดงาน ส่วนเขา... ฮุนจีไม่รู้ว่าคิมฮันยอลหายไปจากวงจรชีวิตของเธอตั้งแต่ตอนไหน
ยิ่งนึกถึงก็ยิ่งทำให้น้ำตาไหลออกมา เธอเป็นคนที่เข้มแข็งแต่กลับอ่อนไหวกับเรื่องของความรู้สึก มือเล็กปาดน้ำสีใสที่ไหลอาบบนแก้มออก เพื่อนคนนั้นคนเดียว.. ทำไมถึงมีผลต่อจิตใจของเธอแบบนี้นะ
วันรุ่งขึ้น โอฮุนจีเก็บกระเป๋าเสื้อผ้าก่อนจะแบกมันขึ้นสะพาย พร้อมตั๋วรถ สองเท้าออกเดินไปยังคิวรถที่อยู่ไม่ไกลจากหอพักของตนมากนัก เธอคิดถึงทุกคนที่บ้าน คิดถึงป๊า คิดถึงแม่ คิดถึงน้องจอมแก่นเซี้ยวที่ตอนนี้เรียนอยู่หมา'ลัยแล้ว คิดถึงเจ้าบลู สุนัขพันธุ์ทางสีน้ำตาลที่ป๊าไปขอมาจากหลวงตาวัดใกล้บ้าน ป่านนี้คงจะจำเธอไม่ได้เสียแล้วกระมัง
ร่างบางเป็นผู้โดยสารคนแรกๆ เธอมองหาที่นั่งตามที่ตั๋วระบุ ที่ริมหน้าต่างที่ที่นั่งที่เธอโปรดปราน ฮุนจีชอบมองทิวทัศน์ด้านยอกและไม่ค่อยจะหลับเวลานั่งรถ เพราะมันมีเรื่องน่าตื่นเต้นอยู่ทุกๆที
ใช้เวลาไปหลายชั่วโมงกับการนั่งรถทัวร์จากกรุงเทพมาเชียงใหม่แล้วไหนจะยังต้องต่อรถขึ้นมายังอำเภอเล็กๆในม่อนดอย ถึงแม้ว่าจะนั่งๆนอนๆมาตลอดทางแต่มันก็เหนื่อยสำหรับฮุนจี
"ขอบคุณมากค่ะ" เธอยื่นเงินให้จำนวนหนึ่งให้ลุงคนขับ บ้านที่เธออยู่มาตลอดยี่สิบปีเปลี่ยนแปลงไปนิดหน่อย จากสวนดอกไม้ของแม่กลายเป็นแปลงผักสวนครัวไปเป็นที่เรียบร้อย มีบ้านไม้หลังเล็กตรงมุมสวนด้วย คงจะเป็นของเจ้าบลูที่โดนป๊าเนรเทศออกมาเป็นแน่
คิดถึงได้ไม่ถึงนาที เจ้าสุนัขพันธุ์ทางสีน้ำตาลก็วิ่งโร่ออกมาเธอทั้งๆที่ตัวยังชุ่มไปด้วยน้ำ เจ้าบลูใช้สองขาหน้าตะกายประตูลวดอย่างเอาเป็นเอาตายเพราะดีใจที่เจ้านายกลับมาหา
"ไง เจ้าบลู อ้วนขึ้นเป็นกองเลยนะ"
"ไอ่อ้วน! กลับมาอาบน้ำต่อเลยนะ! ...ฮุนจี"
"แทฮัน!" สองพี่น้องปรี่เข้ามากอดกันด้วยความคิดถึง นานๆทีที่พวกเขาะจะได้กลับมาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตา คนเป็นน้องรีบเปิดประตูและช่วยพี่สาวของตนถือของเข้าบ้าน
"แกกลับมาเมื่อไหร่" ฮุนจีถามขึ้นพลางนั่งลงบนโซฟาตัวยาว
"ผมมาเมื่อวานเย็น ตอนแรกก็กะว่าจะไม่มา งานยังไม่เสร็จเลย" น้องชายตะโกนตอบออกมาจากครัว แทฮันเดินออกมาพร้อมน้ำเปล่าในมือสองแก้วและมอบแก้วหนึ่งในพี่สาว
"อ้าว แล้วทำไมถึงกลับมาหล่ะ?"
"ก็แม่อ่ะ บอกว่าพี่ฮันยอลจะแต่งงาน ผมก็เลยมา"
"แต่งงาน? แต่งงานกับใคร"
"เห็นว่าชื่อโบยองนะ นี่พี่ไม่รู้หรอ? ผมนึกว่าพี่ฮันยอลบอกพี่แล้วซะอีก"
"..."
"เป็นอะไรรึเปล่า สีหน้าพี่ไม่โอเคเลยนะ"
"ม..ไม่ ไม่เป็นไร พี่โอเคดี" ฮุนจีเฉไฉ
"คนโอเคที่ไหนทำหน้าเหมือนคนจะร้องไห้แบบนี้" แทฮันยกน้ำขึ้นดื่ม "เห้ยๆ! พี่ร้องไห้ทำไม!?"
คนอายุน้อยไปไม่เป็นเมื่อเห็นพี่สาวของตนกำลังร้องไห้ เขาไม่เคยเห็นฮุนจีต้องเสียน้ำตาไม่ว่าจะเรื่องอะไร ตอนเด็กที่ถูกป๊าตีพี่เขายังไม่ร้องสักแอะ มือเรียวรวบพี่สาวเข้าสู่อ้อมอก คนที่เข้มแข็งในสายตาของเขามาตลอดร้องไห้เพราะใคร ใครที่มีผลต่อฮุนจีขนาดนี้
"พี่.."
"ฮึก"
"พี่เป็นอะไร บอกผมมานะ"
"..."
"พี่ฮันยอลใช่มั้ย? พี่น้อยใจพี่ฮันยอลใช่มั้ยที่ไม่ยอมบอกพี่เรื่องที่จะแต่งงาน เดี๋ยวผมจะไปลากตัวมาง้อพี่ให้เลย พี่ฮันยอลเค้าอยู่บ้าน"
"ไม่ ฮึก พี่แค่..แค่ดีใจที่เขาแต่งงานน่ะ" ฮุนจีฝืนยิ้ม "ไปอาบน้ำเจ้าบลูต่อเถอะ ฮึก"
"จริงด้วย! ผมไปจับไอ่อ้วนก่อน พี่โอเคนะ"
"อืม พี่โอเค" มือเล็กปาดน้ำตาก่อนจะส่งยิ้มให้น้องชายหายห่วง
ห้องนอนห้องเดิมของเธอยังสะอาดเสมอเพราะแม่และป๊าจะสลับกันมาทำความสะอาดให้ กระเป๋าเสื้อผ้าถูกวางลงบนพื้นข้างๆเตียง มือเล็กเลิกผ้าคลุมเตียงออก เปิดม่านให้อากาศด้านในถ่ายเท ฮุนจีไม่ได้ทอดตัวลงนอนบนเตียงแล้วร้องไห้ออกมาแต่อย่างใด เธอเลือกที่จะอาบน้ำและลืมเรื่องราวที่เพิ่งรับมาให้หายไป ทั้งๆที่รู้ว่าทำไม่ได้
ซ่า~
เจ้าบลูตัวอ้วนกำลังเผชิญหน้ากับแทฮัน ตาต่อตา ฟันต่อฟัน มันวิ่งหนีสุดชีวิตเพื่อที่จะหลีกหนีการอาบน้ำและชายหนุ่มไม่ยอมให้มันเป็นแบบนั้น เขาถูกแม่สั่งไว้ว่าให้จับเจ้าอ้วนอาบน้ำแลกกับเงินค่าขนมเล็กๆน้อยๆ เขาเลยจำเป็นต้องพาเจ้าบลูที่เกลียดการอาบน้ำมาอาบน้ำให้ได้
กว่าจะอาบน้ำเสร็จก็กินเวลาไปเกือบครึ่งชั่วโมง แทฮันเช็ดตัวให้เจ้าอ้วนให้แห้งก่อนจะปล่อยมันให้เป็นอิสระในพื้นที่ชานบ้าน เขาจะไม่ยอมให้มันลงไปคลุกกับดินทั้งๆที่เพิ่งจะสะอาดเด็ดขาด
"แทฮัน แม่พี่ให้เอาขนมจีนมาให้นะ เปิดประตูให้ที" เสียงตะโกนจากพี่ชายข้างบ้านอย่างคิมฮันยอลดังขึ้น คนที่กำลังหายเหนื่อยจากการจับเจ้าบลูอาบน้ำก็ต้องวิ่งไปเปิดประตูรั้วให้พี่ชายคนสนิทเข้ามา
"หู้ย ขนมจีนน้ำยาของคุณป้าหอมขนาดนี้ผมต้องกินจนพุงกางแน่"
"หมดที่บ้านก็มีอีก ว่าแต่เห็นเมื่อตอนเย็นมีคนมาหา"
"อ๋อ พี่ฮุนจีครับพี่ อยู่บนห้องนู้น" คนอายุน้อยตอบ "แล้วนี่พี่จะแต่งงาน ทำไมไม่บอกพี่สาวผมด้วยครับ เมื่อกี้ก็ร้องไห้ ไม่รู้ว่าดีใจหรือเสียใจกันแน่"
"ร้องไห้เลยหรอ?"
"ครับ ตอนนี้นอนอยู่บนบ้าน พี่จะเข้าบ้านก่อนมั้ย เดี๋ยวผมขึ้นไปเรียกพี่ฮุนจีให้"
"ไม่เป็นไรหรอก เผื่อยัยนั่นนอน"
"เย็นๆแบบนี้ พี่เค้าไม่หลับหรอกครับ เดี๋ยวผมไปตามให้" การพูดบังคับกลายๆทำให้ฮันยอลต้องยอมเดินเข้าไปในบ้านที่เขามาอาศัยกินข้าวที่นี่ สายตาคมเหลือบไปเห็นกรอบรูปบนตู้โชว์ซึ่งเป็นรูปเขาและฮุนจีตั้งแต่เด็กจนเรียนจบมหาวิทยาลัย มันมีเยอะเสียกว่ารูปที่เพื่อนของเขาถ่ายกับน้องชายแท้ๆเสียอีก
เสียงฝีเท้าเดินลงมาจากบันไดทำให้ชายหนุ่มต้องละสายตาไปมอง โอฮุนจีเปลี่ยนไปมากตั้งแต่ที่เธอย้ายไปอยู่ที่กรุงเทพฯ ผมสีดำเข้มที่เคยสั้นประบ่ายาวขึ้นขับให้ใบหน้าหวานยิ่งหวานขึ้น ผิดกับดวงตาที่เคยสดใสกลับหม่นลงและมีแต่ความเสียใจอยู่ในแววตาคู่นั้น ทั้งคู่สบสายตากันก่อนที่จะเป็นฮุนจีที่หลบสายตาจากเขา
"ไง" หญิงสาวเป็นฝ่ายทักขึ้นหลังจากเงียบมาสักพัก ฮันยอลไม่ได้ตอบไป เขายิ้มน้อยให้แทน
"จะแต่งงานแล้วไม่บอกเพื่อนบอกฝูง มึงมันเลว"
"ก็กูคิดว่ามึงอาจจะติดงานอยู่ที่กรุงเทพฯ ก็เลยไม่ได้บอก กูขอโทษ"
"อือ แต่งเมื่อไหร่ล่ะ"
"มะรืนนี้ กูตื่นเต้นโคตร" ฮันยอลยิ้มแป้น ผิดกับฮุนจีที่ยิ้มฝืนๆ เธอไม่น่ากลับมาที่นี่จะได้ไม่ต้องเจอเรื่องที่ทำให้ตัวเธอเองต้องเจ็บปวดแบบนี้
"กูปวดหัว ขอตัวก่อนนะ" และเธอเองก็ไม่สามารถกลั้นน้ำตาที่กำลังจะไหลลงมาได้อีก ร่างเล็กลุกขึ้นและกลับเข้าสู่โลกที่สร้างขึ้นมาปิดกั้นโลกภายนอก ใบหน้าเล็กซุกลงบนหมอนใบโตก่อนจะปล่อยโอออกมา เธอทั้งดีใจและเสียใจ มันปนเปกันไปหมดจนไม่รู้ว่าที่ตัวเองกำลังร้องไห้เพราะความรู้สึกไหนกันแน่
ฮุนจีดีใจที่เห็นเพื่อนของตัวเองได้คนดีๆเข้ามาในชีวิต
ฮุนจีเสียใจที่เธอไม่สามารถบอกกับเขาไปได้ว่าเธอชอบเขามากแค่ไหน คำว่าเพื่อนมันค้ำระหว่างเธอและฮันยอล
หญิงสาวรู้มาเสมอว่าป๊าและแม่ของเธอก็เป็นเพื่อนกันมาก่อน ทั้งคู่รักกันได้โดยมีคำว่าเพื่อนค้ำคอไว้เช่นเดียวกันกับเธอ แต่เธอไม่กล้าพอที่จะก้าวผ่านคำๆนั้นไปได้ เธอกลัวว่าเพื่อนคนเดียวของเธอจะหายไปเพราะความรู้สึกที่เรียกว่าชอบของเธอ
ไม่นานนัก พิธีแต่งงานก็ถูกจัดขึ้น มีเพื่อนบ้านข้างเคียงคอยให้ความช่วยเหลือภายในงาน ลานกว้างบ้านข้างๆถูกนำเสื่อมาปูและมีขันโตกวางตามจำนวนแขกที่เชิญมา มีเวทีเล็กๆสำหรับวงดนตรีที่ฝ่ายเจ้าสาวเป็นคนจัดจ้างมาคอยขับกล่อมแขกในงาน
แม่และป๊าไปร่วมงานก่อนแล้ว เหลือเพียงสองพี่น้องที่ยังแต่งตัวอยู่ในบ้าน ฮุนจีแต่งตัวเสร็จแล้วแต่ยังนั่งนิ่งมองตัวเองในกระจกบานใหญ่ ชุดเดรสสีขาวบนร่างเล็กคือชุดที่แม่เตรียมไว้ให้โดยไม่ได้สนใจชุดที่เธออุส่าห์หอบหิ้วมาจากเมืองใหญ่เลยสักนิด จู่ๆเธอก็ไม่อยากไปทั้งๆที่เมื่อคืนเธอเตรียมใจไว้แล้ว
"พี่ เสร็จยัง?" เสียงห้าวๆของน้องชายดังขึ้น ดึงให้คนที่ติดอยู่ในภวังค์กลับสู่โลกความเป็นจริง ฮุนจีไม่ได้ตอบกลับไป เธอลุกจากโต๊ะเครื่องแป้งและเดินออกจากห้องไป ทิ้งความรู้สึกทั้งหมดไว้ที่นี่
สองพี่น้องเดินเข้ามาในงาน เห็นบ่าวสาวยืนรอต้อนรับอยู่หน้างาน ใจดวงน้อยก็กระตุกวูบ ร่างเล็กอยากจะหมุนตัวกลับบ้านและอ้างว่าไม่สบายก็คงดี ดีกว่าต้องมาเห็นภาพอะไรแบบนี้
แทฮันดันพี่สาวมายืนข้างๆพี่ชายคนสนิทก่อนที่เขาจะไปยืนทางฝั่งเจ้าสาว ช่างภาพบอกให้ยิ้ม แต่ฮุนจียิ้มไม่ออก เธอต้องฝืนยิ้มซ้ำๆเพื่อทำให้ตัวเองดูเหมือนไม่ได้เป็นอะไร เพื่อให้คนรอบข้างสบายใจ และไม่มีใครรู้เลยว่าข้างในที่กำลังเต้นตึกตักตอนนี้มันเจ็บปวดแค่ไหน
"กูดีใจนะที่มึงมา"
"อือ กูยินดีกับมึงด้วยนะเว้ย" ฮุนจีเอ่ย
"มึงเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของกูเลย" ฮันยอลคว้าร่างเล็กของเพื่อนมากอด ฮุนจีนิ่งงันราวกับถูกกระชากวิญญาณออกจากร่าง มือเล็กค่อยๆเลื่อนขึ้นมากอดคนตัวสูง และเปลี่ยนเป็นกอดแน่นให้สมกับความคิดถึงและการที่จะต้องจากลากันไป ดวงตาสวยคลอไปด้วยน้ำสีใส มันทำให้การมองเห็นของเธอพล่ามัว
"กูขอคุยกับเจ้าสาวของมึงหน่อยได้มั้ย" หญิงสาวผละกอดจากร่างสูง ฮันยอลยิ้มและพยักหน้าเป็นคำตอบ ฮุนจีเดินมาหาเจ้าสาวที่ยืนอยู่ข้างๆ เธอยิ้มให้และกล่าวทักทายด้วยความสุภาพ
"สวัสดีค่ะคุณฮุนจี"
"รู้จักฉันได้ไงคะ"
"ฮันยอลเล่าให้ฟังน่ะค่ะ น่ารักสมที่กับเขาโม้ไว้จริงๆ"
"ไม่ขนาดนั้นหรอค่ะ" ฮุนจีปฏิเสธ "คุณโบยองคะ"
"คะ?"
"ฉันดีใจด้วยนะคะ คุณเป็นคนที่โชคดีมากที่ได้มาเจอกับเพื่อนของฉัน ฉันมั่นใจว่าเขาจะไม่ทำให้คุณต้องร้องไห้ ช่วยดูแลเขาดีๆด้วยนะคะ รักเขาให้มากๆ ฉันยินดีด้วยจริงๆค่ะ" ฮุนจียิ้มทั้งๆที่น้ำตากำลังจะไหลออกมา
ผู้หญิงที่ชื่อ โอฮุนจี คือโลกทั้งใบสำหรับเขา
ฮันยอลเป็นเพื่อนกับผู้หญิงหน้าตาน่ารักถักเปียสองข้างมาตั้งแต่ที่ตัวเขาเองจำความได้ ฮุนจีมีเรื่องให้เขาแปลกใจได้ทุกวัน บางวันก็ขึ้นไปอยู่บนต้นมะม่วงจนโดนคุณน้าลู่หานดุ บางวันก็ชวนเขาและน้องชายของตัวเองออกไปเล่นใกล้ๆแม่น้ำจนถูกคุณน้าเซฮุนตีเพราะเป็นหัวโจกนำเพื่อน
และที่เขาแปลกใจที่สุดก็คือ โอฮุนจีตัดผมสั้นมาโรงเรียนในวันเปิดภาคเรียนของชั้นม.สี่วันแรก
เธอเป็นคนที่เข้ากับใครไม่ค่อยเก่ง ทั้งห้องก็มีเพื่อนสนิทแค่เขาคนเดียว สมัยนั้นเพื่อนตัวเล็กของเขาคล้ายกับพวกทอมบอยไม่มีผิด นิสัยลุยๆ กล้าได้กล้าเสีย ไหนยังจะปากปีจอ จนพ่อแม่ของเธอกลุ้มใจจนต้องฝากให้เขาช่วยดูแลเธออีกที ซึ่งชายหนุ่มก็เต็มใจที่จะทำให้ในฐานะเพื่อน
เวลาล่วงเลยไปจนถึงวันที่เขาและเธอต้องลาจากกันในการใช้ชีวิตเด็กมัธยมปลายปีสุดท้ายและเริ่มกันใหม่กับชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัย เขาและฮุนจีสอบติดคณะเดียวกันโดยมีน้าเซฮุนเป็นคนคอยสอนคอยติวให้ ผ่านพ้นความยากลำบากในการสอบเข้ามหาวิทยาลัยมาได้แล้ว หัวใจของฮันยอลก็เริ่มเต้นผิดจังหวะกับเพื่อนสนิท
เขารู้ตัวเองดีว่าเขากำลังชอบฮุนจี ชอบในความสดใส ความจริงใจ ความเป็นกันเอง และชอบในรอยยิ้มของเธอ การที่จะสานสัมพันธ์ไม่ใช่เรื่องยากหากไม่ติดตรงที่ว่า เขาและเธอเป็นแค่เพื่อนกัน
ฮันยอลเก็บความรู้สึกชอบเอาไว้ในใจ เขาเลือกที่จะมองหาใครสักคนมาทำให้ตัวเองสามารถเบนเข็มจากเพื่อนตัวเล็กได้ และเขาก็เจอผู้หญิงคนหนึ่งที่สามารถคุยกันได้ทุกเรื่อง เขาไม่ได้ชอบและคบกันไปเพื่อที่จะลบความรู้สึกนั้นออกไป แต่ไม่ได้ผล...
เขายังคงใช้ชีวิตที่มีฮุนจีอยู่ในวงจรของตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ เขาใส่ใจเธอยิ่งกว่าผู้หญิงที่เรียกว่าแฟนเสียอีก จนเขาและแฟนทะเลาะกันยกใหญ่แต่ฮุนจีไม่เคยได้รู้ความจริงในข้อนี้
ในตอนที่พวกเขาไปทะเลด้วยกันตอนอยู่ปีสาม เขาเผลอจูบเพื่อนตัวเองไป นั้นคือจูบแรกของเขา เขาจะมอบมันไว้ให้กับฮุนจี เพื่อนที่เขาคิดไม่ซื่อ
หลังจากเรียนจบ เขาค่อยๆแยกตัวออกมาจากเพื่อนตัวเล็กทีละนิด แชทที่ไม่เคยปล่อยให้ว่างเกินสองวันเริ่มยาวไปเป็นปี เขาตั้งใจทำงานและกลับมาอยู่ที่บ้าน จนกระทั่งเพื่อนของแม่พาลูกสาวของท่านมาแนะนำให้เขารู้จักและก็ตกลงที่จะแต่งงานกัน
เขาไม่คิดที่จะบอกฮุนจีเรื่องนี้ เธอกำลังมีความสุขกับงานที่เธอทำ เธอกำลังมีความสุขดีในเมืองหลวง เผลอๆอาจจะหาแฟนได้แล้วด้วยซ้ำ
เธอเป็นเพื่อนที่ดีจนเขาไม่อยากจะทำให้เธอเสียใจ
งานแต่งงานผ่านพ้นไปแล้วและเขาไม่เห็นฮุนจีอีกเลยตั้งแต่วันนั้น เขาไปถามจาดคุณน้าทั้งสอง พวกท่านก็ตอบมาว่า ฮุนจีกลับกรุงเทพฯไปแล้วและยังฝากกล่องไม้เก่าๆไว้ให้เขา ชายหนุ่มไม่ได้กลับมายังบ้าน เขาเลือกที่จะไปร้านกาแฟในย่านตลาด ร้านกาแฟโบราณของเพื่อนของเขาที่เพิ่งเปิดขึ้นเมื่อปีที่แล้ว ฮันยอลหามุมเงียบๆในร้านก่อนจะนั่งและเปิดกล่องไม้ที่ฮุนจีทิ้งไว้ให้
ภายในกล่องมีโปสการ์ด รูปถ่าย ของเล่นเก่าๆ และจดหมาย มือหนาจับกล่องแล้วเทสิ่งที่อยู่ด้านในออกมา ส่วนใหญ่เป็นของเล่นและเศษเหรียญ เขาลองนับดูแล้วมีเงิน1020บาท ซึ่งมันเท่ากับวันที่เขาและฮุนจีห่างกันไป ฮันยอลเก็บเงินทั้งหมดใส่กล่องและเปิดอ่านจดหมายเป็นลำดับต่อไป
'หวัดดีฮันยอล ฉันยินดีด้วยนะที่นายแต่งงานแล้ว ขอโทษด้วยที่กลับไปแบบกระทันหัน ไม่ได้ร่ำลานายเลย ฉันรู้ว่านายคงเข้าใจ ในกล่องในนี้ มีความทรงจำดีๆมากมายของเราตั้งแต่เป็นเพื่อนกันมา ฉันอยากให้นายเก็บมันไว้ เผื่อว่านายอาจจะคิดถึงเพื่อนคนนี้ขึ้นมา
ฉันมีความลับจะบอกให้นายรู้เอาไว้ ฉันชอบนายนะ ฉันคิดว่าฉันไม่ควรจะบอกนายแต่ก็เอาเถอะ บอกผ่านจดหมายแล้วรู้สึกโล่งใจยังไงไม่รู้ นายคงอยากรู้สินะว่าทำไมฉันถึงเพิ่งมาบอกเอาตอนนี้ เพราะฉันกลัวว่านายจะหายไปถ้าฉันบอก ก็อย่างที่บอกนะ ระหว่างความรักกับมิตรภาพน่ะ สำหรับคนที่เป็นเพื่อนกันมันก็ต้องเลือกอย่างหลังอยู่แล้ว แต่สำหรับบางคนก็เลือกอย่างแรกแบบที่ฉันกำลังทำอยู่ตอนนี้ นายรู้มั้ยว่าพ่อกับแม่ของฉัน พวกท่านก็เป็นเพื่อนกันมาก่อนแล้วก็ได้รักกัน ฉันอิจฉาสุดๆไปเลยหล่ะ แต่มันก็ขึ้นอยู่กับโชคชะตาด้วยใช่มั้ยหล่ะ?
ไม่รู้จะเขียนอะไรแล้ว ฉันคงต้องขอจบจดหมายฉบับแรกและฉบับเดียวนี้ไว้กับนายแล้ว มีความสุขกับชีวิตแต่งงานนะ
ฮุนจี'
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in