กว่าค่อนชีวิต ผมไม่เคยทำตัวติดใครหรือแม้แต่ให้ใครมาติดพัน นั่นไม่ได้หมายรวมถึงการที่อนุญาตให้ใครสักคนเข้าสู่โซนระวังภัยอย่างบ้านของตนเอง แต่เจสซีกลายเป็นข้อยกเว้น คืบคลานเข้ามาในชีวิตของผมทีละเล็กละน้อยอย่างแนบเนียนด้วยความหวังหนึ่งเดียวที่อาจทำให้ผมหายป่วย
ทาวน์โฮมสองชั้นบรรจุกาย กลิ่นและความใคร่แสนรัญจวนซึ่งวิ่งว่อนอยู่ในละอองอากาศของเราเอาไว้ด้วยกัน ผมไม่รู้ว่าเหตุใดตนเองจึงมาจบที่นี่พอๆ กับไม่รู้ว่าตนเองจะทำสิ่งใดได้อีกต่อไป
เราตระโบมจูบกันตั้งแต่หน้าประตูด้วยฤทธิ์เหล้า เจสซีว่าอย่างนั้น และผมยอมคล้อยตามโดยดุษณีทั้งที่สติสัมปชัญญะอยู่ครบถ้วนกระบวนความมากพอที่จะจำได้ว่าเจสซีไม่ได้ดื่มเหล้า ไม่แม้แต่ไวน์ชั้นดีที่อยู่ในร้านอาหารของเขา หรืออันที่จริง พี่สาวของเขา
เราเร่งรัดเกินไป เขาพูด แต่ผมกลับไม่คิดอย่างนั้น นอกจากขึ้นเทียนบนตัวเขาราวกับผู้ที่ผ่านร้อนหนาวเสียจนประสบการณ์โชกโชน ตัวเขาที่อยู่ใต้ร่างของผมด้วยเหงื่อโซมกายดูเร่าร้อน รวมทั้งฝ่ามือหนาที่ลูบไล้ โลมเลีย และบีบเค้นบั้นท้ายเปลือยเปล่าของผม ยิ่งกว่าอื่นใด เหมือนฝันและดูไกลแสนไกลกับชายหนุ่มที่เมียงมองนักดนตรีในร้านอาหารเมื่อวันวาน และหากแม้นว่าฝันนี้จะหดหายไปในรุ่งสางของวันต่อไป ผมยินยอมตักตวงเพศรสของเขาอย่างยินดี ก่อนเปิดเปลือยกับเขาอย่างหมดเปลือกว่านี่คือครั้งแรกที่ผมมีใครสักคนอยู่ในกาย — แล้วยังเป็นคนที่ตนเองรู้สึกบางอย่างด้วย
"ครั้งแรก?" เขาทวนถาม ดวงหน้าชะงัดงันอย่างประหลาดใจของเจสซีไม่อยู่เหนือความคาดหมายของผมมากนัก "จริงหรือคุณเล็ก ผมนึกว่า..."
"คุณคิด - คิดว่าคนที่แม้แต่ไม่เคยจะจูบ จะสามารถทำอย่างนี้กับใครได้หรือ เจสต์" ผมหอบเป็นพัก ปฏิเสธที่จะถอดแว่นออกเป็นรอบที่สองเมื่อเขาดึงดันว่ามันเป็นอุปสรรคสำหรับการจูบ "อย่าได้ตัดสินอะไรจากสีหน้าของผมโดยเด็ดขาด"
"โอเค ที่รัก คุณมีอะไรให้ผมประหลาดใจอยู่เสมอ"
เจสซีแย้มยิ้ม นัยน์ตาของเขาส่องประกายยิ่งกว่าดวงดารา สัญชาตญาณนักล่าของเขาเสือกไสให้ผมกลับลงสู่เบื้องล่าง โอบรัดแผ่นหลังกว้างของเขาด้วยมือและท่อนขาเปล่าเปลือย ก่อนความกระสันจะแปรผันกลายเป็นหยาดขาว เจิ่งนองไปทั่วหน้าท้องของผมและเขา
"คุณเล็กช่าง - แสนวิเศษสำหรับผม"
หอบเครือ เสียงของผมแผ่วแว่วหวานอยู่ในลำคอเมื่อเขากัด ฝังเขี้ยวให้เจ็บแสบจนเลือดซิบ เจสซีอาจไม่รู้ว่าผมเจ็บ เขายังคงตั้งหน้าสร้างรอยกัดไปทั้งตัวของผมราวกับเป็นศิลปินที่ละเลงแปรงสีลงบนผืนผ้าใบ กระทั่งทุกอย่างพรั่งพรู รีดเค้นออกจากกายเสียจนกลายเป็นสีใส หลายชั่วยามที่เขาตั้งมั่นว่าจะถอดแว่นผมออกให้ได้เหมือนกับตอนเปลื้องผ้า กระนั้นแล้ว คนที่เป็นฝ่ายพ่ายอย่างแท้จริงจนม่อยหลับกลับเป็นเขาเสียเอง
ทุกอย่างจบลง แว่นสายตาหนาเตอะยังอยู่บนใบหน้า ผมไม่อาจข่มตาหลับได้แม้เพียงนิด โมงยามผันเปลี่ยนไปรุ่งสาง บรรณาธิการซึ่งเป็นจอมรีบเร่งบอกกับผมว่าควรจะเข้าออฟฟิศในตอนบ่าย เป็นเหตุผลที่ผมผุดตัวลุกขึ้นแต่งตัว แทนที่จะดื่มด่ำกับกลิ่นกายไอดินของเจสซีเพื่อรวบรวมเอกสารและหนีบมันด้วยแม็กซ์ อาจจะด้วยอารามรีบเร่งเกินเหตุ ผมทำพลาดถึงสองครั้งจนต้องงัดแม็กซ์ออก ด้วยมือเปล่า สันปลายแหลมแทงเข้าปลายนิ้วมือจนเลือดซึมไหลสู่ต้นฉบับ ก่อนคนที่คิดว่าหลับสนิทจะฉวยปลายนิ้วของผมไปต่อหน้า และก้มดูดดึงเอารสสนิมของเลือดอย่างคุ้นชิน ผมได้แต่นิ่งงัน มองเขาที่เปลือยท่อนบนโดยมีผ้านวมผืนโตปิดท่อนล่างไว้ชวนขัดเขิน
"ระวังหน่อยสิ" เจสซีผละออกเมื่อเลือดของผมหยุดไหล หรือไม่เขาก็ดูดมันแทนเม็ดเลือดขาวจนหมด "ผมขอโทษที่ทำให้คุณมีรอย เมื่อคืน ผมคุมตัวเองไม่ได้สักนิด"
"ไม่เป็นไร"
"ถ้าคุณเล็กไม่ได้เป็นพวกชอบความเจ็บปวดก็ควรร้องเสียหน่อย"
อา นั่นล่ะปัญหาใหญ่ ผมส่ายหน้า บอกกับเขาเสียงเบาเพื่อย้ำคำเดิม "อย่าได้ตัดสินอะไรจากสีหน้าของผมเลย"
"โอเค" เขายิ้มบาง ไม่เอ่ยคำใดต่อนอกจากนั้น กระทั่งผมเป็นฝ่ายเบือนหน้าหนีจากเขาอย่างคนขลาดเขลาที่กริ่งกลัวว่าครั้งแรกจะกลายเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อพึมพำคำสำคัญอย่าง "แล้วเจอกัน"
"เจอกัน"
เจสซีตอบรับ และผมเดินจากมาโดยไม่ลืมบอกว่าถ้าหากพักผ่อนจนพอใจแล้วต้องไม่ลืมวางกุญแจไว้ใต้กระถางยิปโซหน้าบ้าน เขาพยักหน้า ก่อนผมจะเสือกไสตัวเองออกจากทาวโฮมส์ ขึ้นรถโดยสารใกล้แหล่งอาศัย เพ่งพินิจมองต้นฉบับซึ่งเปรอะเลอะเลือดเป็นด่างดวงจากปลายนิ้วตัวเองไปตลอดทาง มันยังคงเจ็บแปล็บชวนให้นึกถึงผู้รักษาเฉพาะกิจ ผมรู้สึกเขินอาย แต่คนข้างเคียงหรือฝั่งตรงข้ามไม่มีทางจับได้ เหมือนก้บตอนเป็นเด็ก ตัวเล็กกว่านี้ที่ไม่อาจยิ้มหรือร้องไห้ ไม่ว่าเสียใจหรือมีความสุข
และถ้าชีวิตนี้จะมีสิ่งที่แน่นอนยิ่งกว่าโรคไม่แสดงความรู้สึกทางสีหน้าของผมซึ่งรักษาไม่หาย มันคงเป็นลวดแหลมที่เย็บกระดาษไว้ไม่แนบแน่นเท่ากับตอนที่เขานาบติดกับตัวผมเมื่อคืน
ทีนี้ช่วยปลุกผมที ถ้าผมกำลังฝันอยู่
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in