นอกจากครอบครัว เจสซีรักตัวเองมากพอๆ กับไวโอลิน แซกโซโฟนและโซนาต้าหมายเลขสิบสี่ จึงเป็นเหตุผลเดียวที่เขามักใช้เวลาอยู่กับตนเองและดนตรีมากกว่าใคร แม้โจแอนจะพร่ำบอกว่าเขาควรแต่งงานกับแซกโซโฟน ไวโอลินหรือรูปวาดของบีโธเฟนเขาก็ยังปฏิเสธ เนื่องจากหวงความเป็นส่วนตัวเกินกว่าจะทำอย่างนั้น
เจสซีเป็นนักดนตรี เป็นนักประพันธ์ เป็นเจ้าของร้านกาแฟ เป็นโปรดิวเซอร์ซึ่งมีเวลาว่างโผเผจากงานเมื่อไม่มีใครติดต่อ เขาชื่นชอบดนตรี ชื่นชอบของสวยๆ งามๆ และทัศนวิสัยงดงามของแม่น้ำเจ้าพระยาซึ่งสะท้อนแสงอันริบหรี่จากบ้านเรือน ก่อนนี้มีมุมหนึ่งที่เขามักจะมองอยู่เสมอ เป็นที่นั่งวีไอพีที่ราคาแพงเสียจนว่างเว้นตลอดวัน กระทั่งมีใครคนใดคนหนึ่งจับจองมันทุกครั้งที่เขามาถึง เจสซีลอบมองอยู่หลายครา หวังเพียงเห็นมุมโปรดที่เดี๋ยวนี้กลับกลายเป็นร่างของคนๆ หนึ่งแทนที่ แทนที่จะเป็นที่พักสายตาของตัวเอง
เขาคือชายหนุ่มร่างผอมที่เนื้อหนังเล็กเท่าพริกขี้หนู เนื้อตัวสะอาดสะอ้าน สวมแว่นกรอบหนาและไว้ผมยาวปรกหน้าเสียจนไม่เห็นอะไร มักจะหอบโน๊ตบุ๊คเครื่องโตมานั่งจ้องเขาอยู่เป็นนิจราวกับเป็นอวัยวะที่สามสิบสาม ประกอบกิจวัตรเดิมๆ ด้วยการรัวปลายนิ้วลงบนโน๊ตบุ๊คเพื่อนยากอย่างเอาเป็นเอาตายโดยไม่สั่งอะไรนอกจากชาไทยสีส้มเหยือกโตหรือไอศกรีมรสวานิลลาเมื่ออากาศร้อน แต่เจสซีรู้มากกว่านั้นว่ามีสิ่งใดที่หวานหอมยิ่งกว่าวานิลลา คือริมฝีปากของคุณเล็กที่เขาสัมผัสเมื่อวาน
เดี๋ยวนี้คุณเล็กทดลองสั่งอาหาร เป็นแกงเผ็ดเป็ดย่างที่ทำให้ชายหนุ่มร่างเล็กไอโขลกอย่างรุนแรงเสียจนบทเพลงถูกสะดุดหลายครา เจสซีควรรู้สึกโกรธตามปกติหรืออย่างน้อยก็ควรโกรธโสตประสาทของตนเองที่ดียิ่งกว่าบุคคลทั่วไป แม้ว่าบทเพลงจะถูกขัดช่วง แต่สิ่งที่ขัดใจเขาอย่างรุนแรงกลับเป็นริมฝีปากแดงอิ่มที่ถูกแกงเผ็ดสัมผัส หรือใบหน้าแดงซ่านซึ่งเกิดจากรสซาบซ่าของพริกร้อนมากกว่ารสจูบของเขา เจสซีเสียความมั่นใจเสียจนต้องขอพักเบรคชั่วคราวเลยทีเดียว
"คุณนี่ก็แปลก รู้ว่ากินเผ็ดไม่ได้แล้วทำไมยังกินล่ะ" เขาทักทายด้วยประโยคนั้น หลังปรากฏตัวอยู่ฝั่งตรงข้ามของอีกคน เลื่อนเก้าอี้ออกเพื่อทิ้งตัวลงนั่ง ก่อนคนอีกฝั่งจะเงยหน้าจากจานข้าวร้อนๆ เพื่อตอบ
"ผมอยากลองรสชาติใหม่ๆ ดู ไม่ได้คิดว่าคุณจะสังเกตถึงขั้นนั้น" คุณเล็กว่าอย่างกล้อมแกล้ม "แต่เผ็ด เผ็ดจนไม่รู้รส ลิ้นผมคงพองไปหมด"
ก่อนปลายลิ้นจะถูกเจ้าของของมันส่งออกมาให้เขาดู มันแดงซ่าน เจ่อและบวมอย่างที่คุณเล็กคาด เจสซีเม้มปาก ลอบกลืนน้ำลายเมื่อบางอย่างในกายเจิ่งนองเหมือนกับลูกโป่งที่ถูกเข็มเจาะ แตกซ่านและปริร้าวพอๆ กับความคิดอย่างคุณเล็กอาจจงใจยั่วยวนเขาจนต้องเบือนหน้าหนี หลบหลีกไปพร้อมกับเสียงตึกตักในอก คันยุบยิบในใจจนจั๊กจี้
"คงเผ็ดไปสำหรับคุณ" เจสซีเฉไฉ "เชฟร้านนี้ชอบทำอาหารรสจัดเลยคิดว่าลูกค้าจะชอบเหมือนกัน"
"งั้นเหรอ"
อีกครั้ง ใบหน้าของคนที่เจสซีรู้สึกขัดใจไม่แสดงความรู้สึกใด นิ่งเรียบ ไร้อารมณ์ไม่ต่างจากน้ำเสียงไร้โทนหนักเบา คุณเล็กคงร้องเพลงไม่รอดพอๆ กับตัวเขาที่อาจไม่รอดยิ่งกว่า ตรรกะไม่ข้องเกี่ยวใครนอกจากดนตรีพังทลายลงเมื่อตนเอ่ยปากขอร่วมมื้อค่ำของคนเพิ่งรู้จักได้สองวัน เหมือนกับมีหลุมพรางที่มองไม่เห็นฉุดดึงขาเขาเข้าไปครึ่งก้าว ราวกับแรงโน้มถ่วงของโลกถูกเพิ่มขึ้นจากเก้าจุดแปด อาจเป็นสิบ หรือเป็นร้อยและพร้อมจะกลายเป็นล้านทันทีที่คุณเล็กจะยิ้มให้เขาสักครั้ง เหมือนกับที่ลูกค้าในร้านอาหารของพี่สาวเป็นเมื่อได้ฟังเพลง เหมือนกับคำถามที่ว่าทำไม ทำไมมากมายที่โลดแล่นอยู่ในหัว เจสซีปรารถนาเช่นนั้นเหมือนเมื่อครั้งยังเยาว์วัยที่รอคอยว่าเมื่อไหร่จะได้ทานอาหารกับครอบครัว
โดยหลงลืมไปว่ากว่าค่อนชีวิตเขามักจะทานข้าวคนเดียว จึงไม่เคยรู้ว่าแกงเผ็ดเป็ดย่างจะพิเศษเหมือนผัดกะเพราได้ก็ต่อเมื่อมีใครบางคนอยู่
เขาตระหนักได้ก็ต่อเมื่อมื้อค่ำหมดไปแล้ว ชาไทยในเหยือกของคุณเล็กและเวลาพักเองก็หมดตาม ไหนว่าจะครองตัวโสดตลอดชาติ เสียงโจแอนพร่ำตะโกน เจสซีแค่นยิ้มอย่างสมเพช นี่ก็เป็นแค่การทานอาหารกับเพื่อนใหม่ สหายสักคนที่เขาสามารถจูบอย่างดูดดื่มเช่นนี้ได้
"ให้ผมไปส่งที่บ้านได้ไหมคุณเล็ก?"
และแม้เมื่อคุณเล็กพยักหน้าด้วยท่าทีงุ่มง่าม โจแอนก็ยังคงกรีดร้องอยู่ในหัวของเขาไม่หยุดหย่อน
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in