'ฉันเป็นครู'
วันไหว้ครูสมัยเด็กๆได้มีโอกาสถือพานบ้างตามโอกาส เนื่องจากไม่ใช่เด็กสวยๆที่ครูเลือกเลยอยู่สายนั่งในแถวมากกว่า จนตอนม.ปลายเป็นหัวหน้าห้องเลยโดนถีบไปถือพาน (โดยมติทั้งห้อง) วันไหว้ครูเป็นอะไรที่ดีเพราะไม่มีเรียนไง แต่ตอนทำพานนี่เหนื่อย + ลุ้นมาก
วันไหว้ครูปีที่แล้ว (2558) ต้องไปนั่งบนเวทีในฐานะ "ครู" ผลคือน้ำตาไหล ไม่ใช่เพราะซึ้งใจอันใดกับพิธีหรือพรีเซนต์หรอก แต่เกิดจากการที่คิดถึง "ครู" ที่หล่อหลอมเรามา อาชีพครูอาจไม่ใช่สิ่งที่ใครหลายคนคิดอยากเป็น แต่สำหรับเรา เราอยากเป็น "ครู" จริงๆก็ไม่ใช่ฝันอะไรแบบเด็กๆ แต่เพราะเราอยากนำสิ่งที่ครูดีๆที่สอนสั่งเรามาถ่ายทอดแก่เด็กรุ่นถัดไป จนได้โอกาสสอนในมหาวิทยาลัย เราจึงพบว่านี่คืออาชีพที่เรารอคอย
ความท้าทายของการสอนระดับมหาวิทยาลัย คือการสอนคนที่โตแล้ว และอ่อนกว่าเราแค่ 10 ปี ระดับความรู้ต้องลึก ต้องแน่น และไม่ใช่การที่เราสั่งซ้ายหัน ขวาหันได้ดั่งสอนเด็กเล็ก ที่สำคัญ นอกจากอาจารย์สายครุศาสตร์หรือศึกษาศาสตร์ จะไม่ได้มีการเรียนการสอนเลย ต้องหาวิธีเอาเอง กว่าจะเปิดคอร์สสอนก็นานๆจะมี ดังนั้นครูรุ่นพี่คือแหล่งข้อมูลชั้นดีที่เราต้องไปขอความรู้ หรือเปิดหาเอาทางเน็ตว่าสอนกันอย่างไร จริงๆมีคนทำคู่มือขายนะ แต่ก็ดูห่างไกลมาก เพราะที่เราสอนคือ "หลักสูตรนานาชาติ" ดังนั้น ลืมการท่องจำ ลืมการฟังครูหงึกๆไปได้เลย มาตรฐานการสอนสูงค่ะ ยิ่งเป็นวิทยาลัยใหม่ที่ต้องพิสูจน์ตัวเองอย่างมาก ยิ่งต้องทำให้ดียิ่งขึ้นจนกว่าคนจะเห็นและอยากมาเรียน
โชคดีที่เราเรียนมาในหลักสูตรนานาชาติในระดับมหาวิทยาลัย เราจึงชิน...แต่ลูกศิษย์ที่ส่วนใหญ่มาจากโรงเรียนไทยนั้นไม่ชิน งานจึงงอกมาก กว่าจะสอนรู้เรื่อง กว่าจะปรับตัวกันทั้งครู ทั้งลูกศิษย์
เมื่อเป็น "ครู" จึงได้รู้ความเหนื่อยยากในการเตรียมสอน มันต้องเตรียมทุกขั้น ทุกตอน อ่านมากกว่าคนเรียนหลายเท่า คิด เขียน ผลิตเอกสาร แผนการสอน ประเมิน วิจัย ฯลฯ เอาจริงๆ พอมาทำแล้วรู้สึกเคารพครูมากขึ้นจากเดิมที่รู้สึกว่าครูก็เก่งอยู่แล้ว แถมดูจะไม่เหนื่อยกันเลย พอทำเองก็สงสัยนะว่าครูทำได้อย่างไร?
มันคือการมองมุมกลับครั้งใหญ่ อะไรที่เคยคิดว่า "ทำไมต้องห้าม" "ทำไมต้องบ่น" "ทำไมทำงั้นงี้ไม่ได้" มันลอยมาเต็มๆ เราว่าเราเห็นเบื้องหลังงานสอนตั้งแต่ตอนเป็นผู้ช่วยอาจารย์แล้วนะ พอเป็นเต็มตัวนี่คนละเรื่อง......หนังคนละม้วน เหมือนคนอยากเป็นดาราเพราะคิดว่าสวยๆ ง่ายๆ รวยไว พอทำจริง โฮก กว่าจะได้เป็นตัวเอกยาวนานค้างฟ้า ค้างปี ต้องเรียนการแสดง ต้องฝึก รักษาภาพลักษณ์ ท่องบท ฯลฯ
เหนื่อยกว่าที่คิด.....แต่คุ้มค่ามาก ตอนที่นักศึกษาบอกว่า "ได้ใช้วิชา" ตอนนี้ก็เหลือแต่จะได้เห็นพวกเขาออกไปทำงานจริงๆ ตั้งใจว่าจะเอารูปติดฝาผนังโตๆเลยทีเดียว
สอนๆไป จับพลัดจับผลูต้องมาทำงานบริหารควบด้วย คราวนี้สนุกล่ะ เพราะต้องวางแผนชีวิตดีๆ ต้องรักษาสุขภาพ รักษาคอ การแต่งตัว แต่งหน้า ดูแลตัวเองให้ดูดีไม่ให้โทรมจนลูกศิษย์รู้สึกว่า "ครู" หรือ "ซอมบี้" วันไหนสอน 2 คาบติด (ก็ทุกทีล่ะนะ) สภาพนี่แบบซอมบี้มาก ไม่หือ ไม่อือใดๆในโลก
อีกสองอาทิตย์มีไหว้ครูอีกแล้ว เราเป็นครูมาครบสามปีแล้วเหรอ...
ทิ้งท้าย
เพิ่งจะเปิดเทอมได้ครบสัปดาห์ ตอนนี้ยังโดนถามบ่อยมาก "ปิดเทอมไปเที่ยวไหนมา"
คำตอบคือ
(สายตาว่างเปล่า และรอยยิ้มอ่อนแต้มที่ริมปาก)
"ปิดเทอมครูก็ทำงาน"
"จริงดิ! ไม่ใช่ว่าปิดเทอมก็ไม่ต้องทำงานเหรอคะ / ครับ"
"ถ้าไม่ทำงานเขาจะจ่ายเงินเดือนเหรอ?"
สิ่งที่เคยสงสัยว่าปิดเทอมครูทำอะไร ได้เฉลยแล้ว...
ป.ล. ชื่อUser มาจากภาษาเยอรมันแปลว่า "ครูผู้หญิง" (ภาษานี้มีเพศ สับสนจนต้องพักเรียนไว้)
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in