เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
#แปลแล้วแต่อารมณ์Sprühregen
#2 [แปลสัมภาษณ์] "Penny Rain" รวมบทเพลงแห่งสายฝนของ Aimer



  • วันที่ 10 เมษายน 2019 Aimer ได้ปล่อยอัลบั้มคู่ "Sun Dance & Penny Rain" ออกมา โดยทั้งสองอัลบั้มมีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ฝั่ง "Sun Dance" Aimer ได้ท้าทายตัวเองด้วยการสร้างสรรค์แนวเพลงสนุกสนานที่เธอไม่เคยทำมาก่อน ส่วนฝั่ง Penny Rain เต็มไปด้วยแนวบัลลาดที่มีความเป็น Aimer และเพลงที่มีกลิ่นอายใหม่ๆ จากการร่วมงานกับศิลปินชื่อดังหลายท่าน เช่น Kajiura Yuki, Cocco, TK from Ling tosite sigure และ Sawano Hiroyuki

  • เพราะต้นตอมันค่อนข้างมีความโต้แย้งกัน



    ---จุดเริ่มต้นของ Sun Dance คือ ONE แล้วจุดเริ่มต้นของ Penny Rain คือ…?

     

    Aimer: Ref:rain ค่ะ ถึงฉันจะคิดว่าอยากร้องเพลงแดนซ์สนุกๆ ต่อจาก ONE ให้มากกว่านี้อีก แต่ตอนนั้นในหัวยังไม่เห็นภาพของ “พระอาทิตย์” เลย จนกระทั่งฉันได้มีโอกาสร้องเพลงบัลลาดเกี่ยวกับ “ฝน” เลยคิดว่าถ้าให้เพลงที่เต้นได้เป็น “พระอาทิตย์” ก็บาลานซ์กันดีนี่นา เลยออกมาเป็น “พระอาทิตย์กับสายฝน“ ค่ะ

     

    ---ตั้งแต่ตอนเดบิวต์ คุณ Aimer ก็ให้ความสำคัญกับการสื่อถึง “สิ่งที่ขัดแย้งกัน” กับ “สิ่งที่เป็นขั้วตรงข้าม” มาตลอดเลยนะครับ เช่นเดียวกับที่ปรากฏใน BEST ALBUM “blanc” กับ “noir” หรือก็คือ “ขาวกับดำ” เป็นผลงานที่สอดคล้องกันและเป็นคอนเซ็ปชวลอาร์ต (ศิลปะเน้นแนวคิด) ด้วย

     

    Aimer: เพราะต้นตอมันค่อนข้างมีความโต้แย้งกันน่ะ (หัวเราะ) ในฐานะนักร้องแล้ว ฉันก็ไม่ได้รู้สึกต่อต้านกับการต้องพบเจอความท้าทายหลายๆ อย่างในเรื่องดนตรีหรอกนะ แต่ฉันอยากจะคิดให้ลึกลงไปในส่วนที่ว่ากำลังก้าวไปบนเส้นทางไหนกันแน่ในฐานะศิลปิน

     

    ---แถมซิงเกิลก็เป็นคอนเซ็ปชวลอาร์ตทุกครั้งด้วยสินะครับ สิ่งนั้นเองที่ทำให้ทุกเพลงในซิงเกิล Ref:rain คงความเป็น “ฝน” เอาไว้เหมือนกันหมด

     

    Aimer: นั่นสินะคะ ถึงจะเป็นซิงเกิลแต่ฉันก็อยากให้มันมีสตอรี่อะไรสักอย่างอยู่เสมอ

     

    ---แม้แต่ในอัลบั้มก็ด้วย อย่างอัลบั้มแรก “Sleepless Nights” (ตุลาคม 2012) กับอัลบั้มต่อมา “Midnight Sun” (มิถุนายน 2014) เป็นเพลงเกี่ยวกับตอนกลางคืน ส่วนอัลบั้มที่ 3 “DAWN” (กรกฎาคม 2015) ก็เริ่มเข้าสู่ช่วงเช้า จนถึงอัลบั้มที่ 4 “daydream” (กันยายน 2016) ก็มีสตอรี่ต่อกันหมดเลย

     

    Aimer: อีกนัยหนึ่งคือ มันก็มีความเป็นไปตามธรรมชาติอยู่ด้วย นอกจากนี้ ฉันก็ภูมิใจที่ได้บรรจงสร้างสตอรี่และทำเป็นคอนเซ็ปชวลอาร์ตด้วยค่ะ เพราะฉะนั้นในครั้งนี้ ตอนที่ได้ไอเดียว่าจะทำอัลบั้มที่แบ่งเป็น 2 ฝั่งจากคอนเซ็ปต์ “พระอาทิตย์กับสายฝน” ฉันก็ตื่นเต้นสุดๆ ไปเลย แล้วก็ตั้งใจสร้างสตอรี่ของทั้งคู่มาตลอดเลยค่ะ

  • แตกต่างกับ Sun Dance อย่างมาก ตั้งแต่จุดเริ่มต้นของเรื่องราว




    ---พอฟัง Sun Dance กับ Penny Rain ติดต่อกันแล้ว ผมก็ตกใจกับคอนทราสต์ของทั้งคู่มากเลยครับ

     

    Aimer: ใช่มั้ยคะ (หัวเราะ) อัลบั้ม Penny Rain ก็มีเพลงอินโทรอย่าง “pluie” ที่ได้ชื่อมาจากทัวร์ soleil et pluie รอบฤดูหนาวอยู่ ฉันใส่มันให้เป็นแทร็กแรกเลยในฐานะ overture ซึ่งเพลงนี้ได้คุณคาจิอุระ ยุกิมาประพันธ์ให้ด้วยค่ะ

     

    ---pluie ให้ความรู้สึกว่าจะมีอะไรสักอย่างเกิดขึ้นเลย เช่นเดียวกับ soleil ที่เป็นเพลงแรกของ Sun Dance ด้วยสินะครับ แต่ในส่วนทิศทางของมันนั้น…

     

    Aimer: ตรงกันข้ามเลยล่ะค่ะ pluie นี่ฉันก็บอกไม่ถูกว่ามันเป็นยังไงเหมือนกัน แต่มันให้ความรู้สึกว่ากำลังจะมีอะไรสักอย่างที่ไม่สงบเกิดขึ้น และในระหว่างที่รู้สึกแบบนั้น เพลง I beg you ก็เล่นขึ้นมา ฉันเองยังคิดว่ามันช่างแตกต่างจาก Sun Dance มากจริงๆ ตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นของเรื่องราวมาเลย ซึ่งฉันว่าการเปิดอัลบั้มแบบนั้นมันวิเศษมากเลยค่ะ

     

    ---เนื่องจากเพลง I beg you ก็ได้คุณคาจิอุระมาโปรดิวซ์ให้ด้วย เหมือนที่ฝั่ง Sun Dance ได้คุณโมโมตะ รุอิมาประพันธ์ให้ทั้งในเพลง soleil และ ONE เลย ทั้งแทร็กที่ 1 และ 2 จึงลื่นไหลไร้รอยต่อจริงๆ ครับ แต่การที่เพลงแรกซึ่งเป็นแก่นแท้ของอัลบั้มคือ I beg you เนี่ย มันดุเดือดมากเลย

     

    Aimer: ฉันตั้งใจไว้แล้วค่ะว่า ถ้าจะเอา I beg you ใส่ในอัลบั้ม มันต้องเป็นแทร็กนี้เท่านั้น ตามที่คุณคาจิอุระบอกคือ เนื้อเพลงของ “I beg you” น่ะมีความหมายที่ธรรมดาสามัญ เพียงแค่เขียนความรู้สึกที่ไม่ว่าใครก็มีลงไป พอเป็นแบบนั้นแล้ว เนื้อเพลงตอนแรกที่ร้องว่า “ช่วยเวทนาฉันที” น่ะ แค่ประโยคเดียวก็สะเทือนใจแล้ว ไม่แน่บางทีมันอาจจะเป็นวลีที่เป็นสากลก็ได้นะ ฉันคิดแบบนั้นตอนที่ได้ฟังคุณคาจิอุระบอกค่ะ อันนี้เป็นตัวอย่างที่คุณคาจิอุระยกให้ฟังนะ คือสมมติว่าเรามีคนที่ชอบ แม้จะไม่สมหวังในความรักนั้น แต่ก็ “ไม่ต้องชอบฉันกลับก็ได้ แต่ขอให้ฉันได้อยู่เคียงข้างคุณเถอะ” เป็นความรู้สึกปรารถนาแบบนั้นล่ะค่ะ

     

    ---พอจะเข้าใจอยู่ครับ

     

    Aimer: เนื้อเพลงที่มีความเข้มข้นอยู่ในคำต่อคำแบบนั้น มันให้กลิ่นอายของที่ไหนสักแห่งในตะวันออกกลางเลย ยิ่งไปกว่านั้น เพราะเป็นเพลงที่สามารถเต้นได้นี่แหละ ตอนได้พบเพลงนี้ครั้งแรกก็คิดว่ามันสามารถสื่อความว่า “เป็นโลกที่น่ากลัวจังเลยนะ” ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากเลยนี่นา สำหรับฉันแล้ว อย่างที่เคยให้สัมภาษณ์ไปครั้งก่อนว่า มันเป็นเพลงที่ฉันพอใจอย่างมากด้วยความหมายที่ว่า ในเมโลดี้ไลน์ที่เหนือความคาดหมาย มันดึงเอาการแสดงออกที่ฉันในตอนนี้จะสามารถทำได้ออกมาหมดเลย เพราะฉะนั้นฉันจึงอยากให้ทุกคนได้ฟัง I beg you เป็นเพลงแรกค่ะ


  • เป็นนกที่อาศัยอยู่ในหัวใจของฉันไม่ผิดแน่




    ---ได้รับแรงบันดาลใจแบบไหนมาจากบทภาพยนตร์ครับ? แล้วสิ่งนั้นมีอิทธิพลยังไงต่อส่วนไหนของเพลงบ้าง?

     

    Aimer: ภาพยนตร์เรื่องคาซาเนะได้ให้ข้อคิดฉันไว้ว่า จากเงื่อนไขเดียวว่าสามารถสลับหน้ากันได้ จึงเกิดการเปรียบเทียบกับคนอื่น และในใจของพวกเราก็เกิดปมด้อยหรือความรู้สึกว่าเหนือกว่าขึ้นมาเพียงเพราะเรื่องแค่นั้น “สิ่งที่งดงามหรืออัปลักษณ์จริงๆ มันคืออะไรกัน” “จะสามารถยอมรับตัวตนที่แท้จริงของตัวเองได้อย่างที่คิดไหม” มันตั้งคำถามกับฉันถึงจุดนั้นเลยค่ะ ฉันจึงมีความคิดว่าอยากทำให้มันเป็นเพลงที่เป็นสัญลักษณ์แสดงถึงผลงานแบบนั้นน่ะ ความรู้สึกที่ไม่ว่าในใจของใครก็มี ทั้งความอิจฉาริษยาใครสักคน ทั้งความปรารถนาว่าอยากเป็นผู้ถูกรัก ฉันอุปมามันเป็นนกสีดำแล้วเขียนเนื้อเพลงขึ้นมาค่ะ

     

    ---ชื่อเพลง “Black Bird” เอง ก็เหมือนเป็นสัญลักษณ์ของเพลงนี้เลยนะครับ ทำยังไงคำว่านกสีดำนี้ถึงเกิดขึ้นมาได้?

     

    Aimer: ได้มาจากคำว่า “คาโมเมะ” (นกนางนวล) ที่ปรากฏอยู่ในเรื่อง กับภาพของคาซาเนะที่ซ่อนใบหน้าไว้ใต้เส้นผมสีดำน่ะค่ะ ฉันจึงใช้คำว่า Black Bird ให้เป็นหัวใจสำคัญของเพลง แล้วเอามันมาเป็นชื่อเพลงค่ะ

     

    ---ในเนื้อเพลงก็เหมือนเขียนจากมุมมองของตัวเอกของเรื่องเลยนะครับ มีจุดที่ลำบากหรือจุดที่น่าสนใจบ้างไหม?

     

    Aimer: คาซาเนะกับนีน่า ก็คือใบหน้าที่งดงามกับพรสวรรค์ ซึ่งเป็นตัวตนที่ตรงข้ามกันอย่างแท้จริง ปมด้อยที่แต่ละคนต่างก็แบกรับเอาไว้ในใจให้กันและกันนั้น จริงๆ แล้วทั้งคู่ก็เหมือนกันเลยนี่ ฉันคิดแบบนั้นแล้วเขียนเนื้อเพลงขึ้นมาค่ะ ดูเหมือนจะเป็นความรู้สึกภายในใจของคาซาเนะนะ แต่พออ่านดีๆ แล้วก็มีจุดที่กำลังพูดถึงสถานการณ์ของนีน่าอยู่เหมือนกัน

     

    ---มีจุดที่แตกต่างจากเพลงที่เคยเขียนอย่างอิสระบ้างไหม?

     

    Aimer: “ปมด้อย” ที่มีอยู่ใน theme ของเรื่องและเพลงนี้ เป็นสิ่งที่ฉันเองก็รู้สึกมีส่วนร่วมได้อย่างมากเลยล่ะค่ะ เพราะงั้นฉันจึงถูกชักพาให้ใส่ความรู้สึกในตอนนั้นของตัวเองลงไป แล้วก็สามารถเขียนออกมาได้

     

    ---มีส่วนที่เชื่อมโยงกับตัวเองบ้างไหมครับ? ถ้าสมมติว่ามี แล้วตรงไหน?

     

    Aimer: คาซาเนะกับนีน่าต่างก็ดิ้นรนให้ได้ยืนบนเวทีและหวังให้ความฝันเป็นจริงด้วยวิธีการที่บิดเบี้ยว ตัวฉันเองก็เคยฝันถึงการ “ร้องเพลง” มาตั้งแต่เด็กๆ เหมือนกัน หลังจากที่ฝันนั้นเป็นจริงแล้ว ก็ยังมีทั้งความกังวลและความสับสนอยู่ แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ยังดิ้นรนพัฒนาตัวเองต่อไปในแต่ละวัน ในสถานการณ์เช่นนั้น Black Bird ก็คือนกที่อาศัยอยู่ในหัวใจของฉันไม่ผิดแน่ ฉันใส่ความรู้สึกในตอนนี้ของตัวเองลงไปในเพลงด้วยค่ะ

  • Sailing ที่มีความหมายตรงข้ามกับ I beg you




    ---บรรยากาศตรงนี้เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงจริงๆ นะครับ Hanabiratachi no March ให้ความรู้สึกเหมือนแสงอาทิตย์เลย แต่ Sailing กลับให้ความประทับใจแบบเพลงบัลลาดตอนกลางคืน

     

    Aimer: ก็จริงอย่างว่านะ ทำนองของแต่ละเพลงในซิงเกิลนี้ (I beg you) มันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงเลยแล้วฉันก็พอใจมากเลยค่ะที่สามารถเข้าถึงแต่ละเพลงที่แตกต่างกันได้ Sailing เป็นเพลงประกอบละครเรื่อง Les Misérables –Owarinaki Tabiji- (การเดินทางอันไร้จุดสิ้นสุด) ซึ่งฉันรู้สึกขอบคุณมากเลยที่ได้มีส่วนร่วมกับละครเรื่องนี้ เมื่อได้อ่านบทก็พบว่า 1 ประเด็นหลักของเรื่องคือ แม้จะถูกโชคชะตาเล่นตลก แต่ก็จะยังมุ่งไปข้างหน้า ซึ่งทัศนะที่มีต่อชีวิตแบบนั้นก็ลงตัวกับคำว่า “การเดินทาง” ที่ปรากฏอยู่ในซับของชื่อเรื่องพอดีเลย แม้จะครอบคลุมแค่เพียงเล็กน้อย แต่ฉันก็อุปมามันเป็น “การเดินเรือข้ามสมุทร” ยิ่งไปกว่านั้น “แม้ในชีวิตจะเคยหลงผิด แต่ก็สามารถกลับไปแก้ไขได้อีกอย่างแน่นอน” ฉันใส่ความรู้สึกแบบนั้นลงไปแล้วเขียนเนื้อเพลงออกมาค่ะ

     

    ---คุณ Aimer ก็เคยบอกไว้ก่อนหน้านี้สินะครับว่า “อยากแสดงถึงสิ่งที่ขัดแย้งกันในเพลง” พอฟัง Sailing แล้ว ผมก็เข้าใจถึงความอ่อนไหวและพลังที่รวมกันอยู่ในเสียงร้องของคุณ Aimer เลย

     

    Aimer: ดีใจจังค่ะ จริงๆ ฉันใส่พวกนั้น (ความอ่อนไหวและความมีพลัง) เข้าไปเต็มที่เลย การเรียบเรียงตัวเพลงเองก็พลิกแพลงไปเรื่อยๆ จนท้ายที่สุด ความกว้างของ Dynamics ใน chorus กับพาร์ทอื่นๆ มันก็ใหญ่ขึ้นมากเลย เพราะฉะนั้นในท่อน A กับท่อน B มันจะเงียบสงบจนคล้ายจะหมดลม แต่ chorus กลับร้องอย่างมีพลังมากๆ ส่วนตัวฉันคิดว่าเพลง Sailing กับ I beg you ในซิงเกิลนี้ก็มีความตรงข้ามกันในอีกแง่หนึ่ง กล่าวคือ ถึงจะ (เป็นเพลงที่) มีพลังเหมือนกัน แต่เสียงของฉันใน Sailing จะทุ้มนิดหน่อย ขณะที่ I beg you ดูจะมีความตึงตังมากกว่า (หัวเราะ)

     

    ---แล้วก็ที่คุณ Aimer เคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่า “ติดใจการร้องที่ได้ยินเสียงร้องชัดเจนที่สุดในตอนที่ไม่มีเสียงดนตรีประกอบ” อันนั้นผมก็พอเข้าใจอยู่ครับ

     

    Aimer: อ่า จริงๆ ด้วยใช่ไหมคะ ในพาร์ทที่เงียบสงบของเพลงนี้น่ะฉันสื่อมันออกมาอย่างเต็มที่เลย โดยเฉพาะในครั้งนี้ที่มีแทร็กที่ 5 เป็น “Polaris” เวอร์ชั่นรีมิกซ์อยู่ด้วย พอเปรียบเทียบกับ Sailing ดูแล้ว ฉันก็คิดอะไรหลายๆ อย่างเลย เพียงแต่เพลงของตัวเองเมื่อสมัยก่อนน่ะมันไม่โอเค ฉันเลยไม่ค่อยชอบ เรียกว่าเกลียดเลยดีกว่า จึงมีความคิดว่าอยากจะร้องใหม่ให้หมด แต่พักหลังๆ มานี้ฉันก็ค่อยๆ รู้สึกว่าอยากจะยอมรับเพลงของตัวเองในสมัยนั้นให้ได้ขึ้นมาทีละนิด เพราะฉะนั้น ตอนที่ฟัง Polaris อีกครั้ง ก็รู้สึกว่าสามารถร้องไห้ออกมาได้เลยล่ะ เหมือนกับว่าได้รับคำพูดต่อตัวเองที่พยายามอย่างเต็มที่แล้วด้วยว่า 'แบบนั้นก็ดีแล้วนะ' เลย

  • เป็นฝน แต่ไม่ใช่ฝนที่หนาวเย็น




    ---ต่อจาก I beg you ก็เป็น Black Bird, Sailing แล้วต่อด้วย Mabayui bakari ที่คุณ Cocco ยกให้ เป็นการเรียงแทร็กที่เข้มข้นมากเลยนะครับ เป็นครั้งแรกเลยที่ผมได้เข้าใจว่าการที่ซิงเกิลก่อนๆ มาเสริมให้อัลบั้มสมบูรณ์มันเป็นยังไง


    Aimer: ขอบคุณค่ะ ตั้งแต่เพลงแรกจนถึง Sailing อาจเรียกได้ว่าต่อเนื่องกันเหมือนฝนที่ตกอย่างหนักหน่วงเลย แล้ว Mabayui bakari ก็มาทำให้มันตกนานขึ้นอีกนิดหน่อย…

     

    ---แทร็กที่ 6 "Stand By You" ก็เป็นเพลงร็อคจังหวะเร็วๆ ที่เน้นเสียงเครื่องสาย ทั้งคำร้อง ทำนอง และเรียบเรียง ประพันธ์โดยคุณ TK (Ling tosite sigure) หมดเลยใช่ไหมครับ

     

    Aimer: ค่ะ ฉันได้เจอกับคุณ TK โดยตรงครั้งแรกตอนทำอัลบั้ม daydream ซึ่งเพื่อนในวงการที่มีอยู่น้อยนิดของฉันก็ได้มาจากการร่วมงานกับศิลปินหลายๆ ท่านในอัลบั้มนี้เองค่ะ

     

    ---น้อยเหรอครับ? ผมว่าก็เยอะอยู่นะ

     

    Aimer: ไม่ค่ะๆๆๆ มีเฉพาะคุณ TK ที่ฉันสนิทเป็นพิเศษ และเคยไปนั่งเล่นที่สตูดิโอของคุณ TK มาบ้าง เมื่อนานมากแล้ว คุณ TK ก็เคยบอกฉันที่นั่นแหละค่ะว่า “ลองร้องเพลงนี้ดูซิ” ซึ่งเพลงนั้นก็คือ Stand By You นั่นเอง ตอนนั้นก็ Pre-production กันไป แต่ทั้งที่ฉันบอกเขาไปว่า “เพลงดีมากๆ อยากจะรักษามันไว้อย่างดีเลย” ก็ดันเลยช่วงปล่อยเพลงมาแล้ว เขาเลยให้ใส่ไว้ในอัลบั้ม “ฝน” ครั้งนี้แทนเพราะคิดว่ามันก็เหมาะกับอัลบั้มนี้ดีน่ะค่ะ


    ---ใน Sun Dance เองก็มีเพลงร็อคอยู่เหมือนกัน แต่เทียบกับเพลงนี้แล้วรู้สึกว่าเสียงมันต่างกันสุดๆ เลย

     

    Aimer: อย่างที่คิดไว้เลยว่าลักษณะเพลงของคุณ TK เนี่ย มันจะดาร์คๆ หน่อย แต่ถึงอย่างนั้น แค่แวบเดียวฉันก็คิดทันทีว่ามันช่างเข้ากับ “ฝน” จังเลยนะ แล้วเนื้อเพลงท่อนนึงที่ว่า “แต่ถึงกระนั้น ในบางคราว แสงสว่างก็สัมผัสกับสายฝน ปรากฏเป็นสายรุ้ง แล้วส่องสว่างไปทั่วร่างของผม” ก็เป็นรีเควสจากฉันเองค่ะ…

     

    ---ประมาณว่า “ใส่คำว่า “ฝน” ลงไปให้ฉันหน่อยค่ะ” งี้?

     

    Aimer: ใช่แล้วค่ะ (หัวเราะ) แต่เพราะคุณ TK เค้าใจดีน่ะ พอถึงวันอัดเสียงจริง เขาก็มาแก้เนื้อเพลงให้ฉันที่สตูดิโอค่ะ

     

    ---ถ้ารวมพาร์ทที่แก้เนื้อร้องแล้วด้วย คุณ Aimer ตีความเนื้อเพลงของคุณ TK ว่ายังไงบ้างครับ?

     

    Aimer: มันต่างออกไปจากเพลง us และ Kowairo ที่คุณ TK เคยเขียนให้เมื่อก่อนนะ ส่วนตัวฉันคิดว่ามันแสดงถึงความรักนิดหน่อยหรือเปล่า ชื่อเพลง Stand By You เองก็ให้อารมณ์แบบว่าเรามีใครสักคนอยู่ แล้วแสดงความรู้สึกส่งตรงไปที่คนคนนั้นอย่างชัดเจน ถึงจะเป็นฝน แต่ก็ไม่ใช่ฝนที่หนาวเย็นเลย

     

    ---ด้านซาวด์เอง ทั้งที่มันปวดแสบและตึงเครียด แต่ท่อนพีคมันก็จับใจมากเลยนะครับ

     

    Aimer: ใช่มั้ยคะ เพราะฉะนั้นตอนที่ฉันร้อง ก็เคยคิดว่าจะร้องให้หนักหน่วงขึ้นอีกนิดดีหรือเปล่านะ แต่พอคุยกับคุณ TK เขาก็บอกว่า “กลั้นไว้สักหน่อยแล้วร้องอย่างนุ่มนวลก็ดีนะ” เราสองคนประพันธ์เพลงนี้ขึ้นมาขณะคิดหาระดับอารมณ์ของมันไปด้วยกันค่ะ

     

    ---ไม่ใช่วิธีการร้องที่ทะลุขีดจำกัดแบบ us เลยสินะครับ

     

    Aimer: เพลง us มันทะลุเกินขีดจำกัดไปแล้วจริงๆ ค่ะ จะว่าฉันกำลังทำให้มันอ่อนโยนกว่านั้นอีกนิดนึงก็ว่าได้ ถึงฉันจะใส่ Stand By You ไว้ในอัลบั้ม “ฝน” แต่ตอนท้ายเพลงมันให้ความรู้สึกเหมือนว่าสายฝนกำลังค่อยๆ ซาลงไปทีละน้อย

     

    ---แล้วอิมเมจนี้ก็ได้ Ref:rain มารับช่วงต่อไปสินะครับ คุณ Aimer เองก็เคยกล่าวถึงเพลงนี้เอาไว้ว่า “เป็นซาวด์ที่จะได้เห็นช่วงฟ้าหลังฝน”

     

    Aimer: ใช่แล้ว อย่างที่บอกไปว่า Ref:rain เป็นจุดเริ่มต้นของอัลบั้มฝน หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ มันอาจจะเป็นเพลงที่เป็นโชคชะตาก็ว่าได้ค่ะ

  • ลองกล้าที่จะร้องด้วยเสียงที่ตัวเองไม่ชอบ



     ---ตอนอัดเสียง Ref:rain เป็นอย่างไรบ้างครับ?

     

    Aimer: ในเพลงนี้มีการลดคีย์ให้ต่ำลงนิดหน่อย ฉันเลยรู้สึกว่าร้องได้อย่างสบายๆ ขึ้นเล็กน้อยหลังจากที่ไม่ได้ร้องแบบนี้มานานแล้ว ซึ่งเพลงนี้ มันมีทั้งส่วนที่ฉันชอบและไม่ชอบเสียงของตัวเอง แต่ฉันก็ลองร้องส่วนที่ไม่ชอบนั้นไปด้วยค่ะ ฉันคิดว่าบางที ถ้าทำแบบนั้นแล้วน่าจะถ่ายทอดอารมณ์ออกมาได้ง่ายกว่าเดิมนะ

     

    ---พอจะบอกส่วนที่ไม่ชอบนั้นให้ฟังหน่อยได้ไหมครับ?

     

    Aimer: ก็อย่างเช่น ตอนเริ่มคอรัสสุดท้ายของเพลง Hana no Uta เสียงของฉันน่ะ… (หรี่เสียงลง) น่าเกลียดมาก…

     

    ---พูดซะเบาเลยนะครับ (หัวเราะ) แต่อันนั้นน่าจะเป็นส่วนที่คนฟังเขาไม่รู้นี่นา

     

    Aimer: อืมมมม… เหมือนว่าอากาศมันเข้ามาในจมูกมากเกินไป ก็เลยออกมาเป็นเสียงแบบนั้นน่ะค่ะ แต่ในระหว่างทัวร์นี้เอง ฉันก็กำลังลองถ่ายทอดการแสดงออกมาในหลายๆ แบบอยู่ ยังไงในไลฟ์ฉันก็ปกปิดเสียงเปล่าๆ ของตัวเองไม่ได้ด้วย ในขณะที่กำลังเผชิญหน้ากับมันอยู่นั้น จะว่าฉันเริ่มมองเห็นปัจจัยที่จะแก้ไขความกังวลที่มีมาตั้งแต่หลังเดบิวต์เมื่อ 7 ปีที่แล้วก็ว่าได้ ในที่สุดฉันก็รู้สึกว่าเริ่มมองเห็นความหวังแล้วค่ะ

     

    ---อย่างนี้นี่เอง

     

    Aimer: เพราะฉะนั้นในซิงเกิลนี้ (Ref:rain) ฉันได้ลองผิดลองถูกซ้ำๆ ในแต่ละเพลง แล้วสร้างสรรค์บทเพลงไปพร้อมกับแก้ไขและพัฒนาเสียงของตัวเองไปด้วย Ref:rain เป็นเพลงที่ฉันเจตนาจะเปล่งเสียงที่เคยอยากปิดซ่อนมันไว้มาตลอด โดยเฉพาะตอนที่ใช้พลังเสียง ถึงฉันจะคิดว่ามัน(เสียงที่ไม่ชอบ)จะแอบโผล่มาให้ได้ยินบ้างหรือเปล่านะก็เถอะ แต่ก็อย่างที่คุณบอกไปว่าคนฟังเค้าคงไม่รู้หรอกนะคะว่ามันคืออะไร (หัวเราะ)

     

    ---ผมว่าไม่มีใครรู้สึกลบๆ หรอกนะครับ (หัวเราะ) ส่วนตัวผมฟังว่าเป็นเสียงร้องที่เด็ดเดี่ยวมากเลย ทั้งที่เป็นแนวบัลลาดแท้ๆ

     

    Aimer: ขอบคุณมากค่ะ ฉันทุ่มพลังเต็มที่ แล้วร้องจุดที่ควรใส่อารมณ์ออกมาอย่างอิสระโดยไม่ลังเลเลย

  • สามารถ “image” ถึงสเตจต่อไปของ “พระอาทิตย์กับสายฝน” ได้



    ---ในแทร็กที่ 8 ก็คือเพลงใหม่ชื่อว่า “i-mage <in/AR>” เนื้อร้อง ทำนอง เรียบเรียงโดยคุณซาวาโนะ ฮิโรยูกิ ตั้งแต่เพลง ninelie ก็ราวๆ กว่า 2 ปี 10 เดือนแล้วใช่ไหมครับที่ได้ร่วมงานกัน

    Aimer: นานทีเดียวค่ะกว่าจะได้อัดเพลงใหม่อีกครั้ง ถึงจะพูดอย่างนั้นก็เถอะ เดิมทีแล้วเพลงนี้อยู่ในอัลบั้ม R∃/MEMBER ของคุณซาวาโนะที่ฉันได้มีส่วนร่วมด้วยในเพลงที่ชื่อว่า i-mage แล้วก็ได้รับความกรุณาให้เรียบเรียงและอัดเสียงใหม่มาใส่ไว้ในอัลบั้ม Penny Rain ของฉันค่ะ เนื้อเพลงบรรทัดนึงที่ว่า “สาดส่องไปด้วยแสงแดดหลังสายฝน” น่ะ มันคล้องจองกับคอนเซปต์ของอัลบั้มนี้มากเลย แต่พอได้ร้องดูแล้ว ปรากฏว่ามันมีอิมแพ็คที่รุนแรงกว่าที่คิดอีก สำหรับฉันแล้ว มันเป็นเพลงที่ทำให้เรามองไปข้างหน้าได้ไกลขึ้น เหมือนกับที่ฉันสามารถ image สเตจต่อไปของ “พระอาทิตย์กับสายฝน” ได้เลยล่ะ พอมาคิดย้อนไปแล้ว ถึงทีแรก เพลง i-mage <in/AR> จะถูกกำหนดให้ใส่ไว้ช่วงต้นๆ ของอัลบั้มแล้วก็ตาม แต่สุดท้ายก็ได้ปรากฏในแทร็กที่ 8 แทนค่ะ


    ---จะว่าไป คำว่า in/AR ใน i-mage <in/AR> เนี่ย เป็นอนาแกรมของคำว่า Rain หรือเปล่าครับ?


    Aimer: ใช่แล้วค่ะ แต่ฉันก็สงสัยว่า “AR” ในที่นี้เอามาจากตัวอักษรแรกและท้ายของคำว่า Aimer หรือเปล่านะ? ถึงฉันจะคิดว่าต้องใช่แน่ๆ แต่ไว้ไปถามซาวาโนะซังให้แน่ใจอีกทีค่ะ (หัวเราะ) 


    ---ตอนบันทึกเสียงคุณซาวาโนะก็อยู่ที่นั่นด้วยมั้ย?


    Aimer: อยู่ค่ะ ตอน rearrange ก็ยกให้เป็นหน้าที่ของคุณซาวาโนะด้วย อย่างที่คิดไว้เลยว่าที่ฉันมีทุกวันนี้ได้ก็เพราะเพลง RE:I AM ที่คุณซาวาโนะเคยเขียนให้จริงๆ ฉันคิดว่าเพลงนี้แหละคือจุดเริ่มต้นของ “ความทรงพลัง” ของ Aimer เพราะฉะนั้น ทั้งช่วงจังหวะที่อัลบั้มของคุณซาวาโนะคนนั้นกับอัลบั้มของฉันเองได้ปล่อยพร้อมกัน ทั้งการที่เราได้ร่วมงานกันในเพลงใหม่อีกครั้ง ฉันรู้สึกดีใจมากๆ เลยค่ะ


    ---i-mage <in/AR> ประพันธ์ทำนองโดยคุณซาวาโนะอย่างไม่ต้องสงสัยเลย แต่กับเพลงแนว Heavy Rock Ballad แบบ RE:I AM หรือ StarRingChild นี่ให้บรรยากาศที่ต่างออกไปเลยนะครับ


    Aimer: ถ้าเทียบกับเพลงก่อนๆ ของคุณซาวาโนะแล้ว การที่ฉันได้ร้องเพลงที่เปิดกว้างทั้งในด้านทำนองและเนื้อเพลงมาจนถึงตอนนี้เนี่ย น่าจะเป็นครั้งแรกเลยนะคะ เพลง i-mage <in/AR> มีแมสเสจที่เป็นบวกจริงๆ แถมดนตรียังให้ความรู้สึกเหมือนว่ามีแสงสว่างสาดส่องเข้ามาอย่างรวดเร็วด้วย เพราะฉะนั้น พอได้ร้องดูแล้วก็รู้สึกว่ามันเป็นเพลงที่สดใหม่ทีเดียว อีกทั้งความรู้สึกในเสียงของฉันยังเพิ่มขึ้นมานิดนึงอย่างเป็นธรรมชาติด้วย เป็นเพลงใหม่ๆ ที่คุ้มค่าที่ได้ร่วมงานกันจริงๆ ค่ะ


    ---โดยเฉพาะในคอรัสแรก แทบจะไม่มี “แรงกดดัน” ที่เป็นเอกลักษณ์ของคุณซาวาโนะเลยนะครับ มันสดใสมากเลย


    Aimer: ใช่เลยค่ะ i-mage <in/AR> ในฐานะที่เป็นเวอร์ชั่นเรียบเรียงใหม่ ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงจากต้นฉบับมากมายนัก คุณซาวาโนะช่วยทำให้มันใกล้เคียงกับ "ฝน" มากขึ้น ในคอรัสแรกเขาลดจำนวนพยางค์ลง และให้ความรู้สึกที่บางเบากว่าต้นฉบับ ในส่วนของตัวเพลง อย่างที่คุณบอกเลยค่ะว่าเป็นเพลงของคุณซาวาโนะอย่างไม่ต้องสงสัยเลย เพราะฉะนั้น ฉันคงมีความสุขมากเลยค่ะหากคนที่รู้จักฉันจากอัลบั้มของคุณซาวาโนะก็ชอบเวอร์ชั่น <in/AR> ด้วย ในทางกลับกัน คนที่รู้จักคุณซาวาโนะจากเวอร์ชั่นนี้ก็ด้วยนะ ตัวฉันเองน่ะ อย่างที่พูดไปแล้วว่า การได้ร่วมงานกับคุณซาวาโนะอีกครั้งในช่วงจังหวะเวลาเช่นนี้ ฉันดีใจมากเลยค่ะ และรู้สึกได้เลยว่าเพลงนี้มันต้องกลายเป็นแรงบันดาลใจมากมายให้ฉันอีกครั้งอย่างแน่นอน

  • ไม่สามารถลืมเลือนวินาทีที่ได้ฟังเดโมของ Hana no Uta ได้เลย


     

    ---ต่อมาเป็น "Hana no Uta" เพลงประกอบภาพยนตร์อนิเมชั่น Fate/Stay night Heaven's Feel : Presage Flower ที่ประพันธ์และเรียบเรียงโดยคุณคาจิอุระ ยุกิ

     

    Aimer: ฉันชอบฟังเพลงของคุณคาจิอุระมาฝ่ายเดียวตั้งแต่เมื่อก่อนแล้ว และก็ได้มีโอกาสไปร่วมร้องเพลงในคอนเสิร์ตของคุณ Kalafina ด้วย ฉันชื่นชมเค้ามากเลยค่ะ เพราะฉะนั้นในเพลงนี้ ฉันจึงถือว่าสมความปรารถนาเลยล่ะ พอฉันคิดว่า “มันจะออกมาเป็นเพลงแบบไหนกันนะ” วันหนึ่ง คุณคาจิอุระก็ส่งไฟล์เดโมมาพร้อมกับเนื้อเพลง ครั้งแรกที่ฉันได้ฟังเพลงนี้มันเป็นอะไรที่ลืมไม่ลงเลยค่ะ อารมณ์แบบ “ว้าววว!” ออกมาเลย

     

    ---“ว้าววว!” เลยนะครับ

     

    Aimer: เมโลดี้ไลน์ก็น่าตะลึงมาก ในอีกความหมายหนึ่งคือ มันสมกับเป็นคุณคาจิอุระมากๆ เลยค่ะ ยิ่งวิ่งตามเนื้อเพลงไปเท่าไหร่ก็เหมือนว่าโลกมันยิ่งแผ่ขยายออกไปมากขึ้นเท่านั้น ในท้ายที่สุดฉันก็เข้าใจแล้วว่า “มันเป็นอย่างนี้นี่เอง!” ต่อด้วยความรู้สึกว่า “ขอบคุณมากจริงๆ ค่ะสำหรับเพลงที่แสนวิเศษขนาดนี้” และตอนที่ได้เจอ(คุณคาจิอุระ)ตัวจริงครั้งแรกตอน pre-production ฉันก็บอกเค้าไปแบบนั้นก่อนอันดับแรกเลย

     

    ---ตอนอัดเสียงคุณคาจิอุระก็อยู่ที่นั่นด้วยหรือเปล่าครับ?

     

    Aimer: ใช่ค่ะ แต่ถึงจะว่าแบบนั้น ในตอน pre-production เค้าก็บอกฉันว่า “Hana no Uta น่ะเป็นเพลงของคุณ Aimer นะ เพราะฉะนั้นขอให้ร้องไปอย่างอิสระเถอะ” คือปกติฉันก็เลือกกำหนดวิธีการร้องอยู่เสมอใช่มั้ยล่ะคะ ระดับอารมณ์ของเพลงอย่าง จะร้องแบบดุดันหรือจะร้องแบบสงบดี หรือ เป็นเพลงของคนหนุ่มสาวหรือเป็นเพลงของคนมีอายุกัน ไม่ก็ เป็นเพลงของผู้ชายหรือผู้หญิงนะ ฉันทำให้มันชัดเจนไว้ล่วงหน้าในระดับนึงแล้วค่อยร้องน่ะค่ะ อันนี้ตัวอย่างแค่ในตอนที่เรากำหนดรูปแบบเพลงกันนะ เช่น ฉันเสนอไปประมาณว่า “มีช่วงเข้าท่อน A กับช่วงเข้าท่อน B ค่ะ” คุณคาจิอุระก็ให้ความเห็นกลับมาว่า “ชอบ B มากกว่า” พอทำอย่างนั้นและกำหนดได้ลงตัวแล้ว ฉันก็แบบว่า “อ้าว จบแค่นี้เหรอ?”

     

    ---ก็คืออยากร้องต่ออีกนิดหน่อย?

     

    Aimer: ใช่ค่ะ (หัวเราะ) ฉันก็บอกไปอย่างกระตือรือร้นว่า “จะให้ร้องอีกกี่ครั้งก็ได้นะคะ!” แต่เค้าก็บอก “ไม่เป็นไรแล้วค่ะ” ในฐานะ vocalist แล้ว เป็นการอัดเสียงอันเสร็จสมบูรณ์ที่เต็มไปด้วยความสุขมากๆ เลยค่ะ

  • จบลงด้วยสายฝนที่นุ่มนวล



    ---ต่อจาก Hana no Uta ที่โปรดิวซ์โดยคุณคาจิอุระ ก็ปิดม่านอัลบั้ม “ฝน” ด้วยเพลงใหม่ “April Showers” ผมว่าเป็นการปิดอัลบั้มด้วยเพลงบัลลาดที่สมกับเป็นคุณ Aimer เอามากๆ เลยครับ


    Aimer: จะว่าไปก็ตามนั้นเลยค่ะ เพลงแนวนั้นล่ะคือระยะแรกในอาชีพของฉัน ยังเหมือนช่วงที่เคยร้องเพลงตอนกลางคืนอยู่ มันก็มีความเป็นไปได้ที่ฉันจะเลือกจบด้วยเพลงที่มีพลังอย่าง zero ใน BEST ALBUM "noir" นะ แต่จริงๆ แล้วในอัลบั้มนี้ยังไม่มีเพลงบัลลาดแท้ๆ ที่มีความ authentic มากขนาดนั้น แน่นอนว่าก็มีเพลงอย่าง Ref:rain กับ Sailing อยู่แล้วแหละ แต่ฉันคิดว่าถ้าจบด้วยเพลงบัลลาดที่นุ่มนวลกว่านี้ก็คงดีนะ


    ---เหมือนเพลงช่วงแรกๆ ของคุณ Aimer ที่มักจะมีเสียงของเปียโนและเครื่องสาย (strings) เลยนะครับ


    Aimer: ใช่แล้วค่ะ ตอนนั้นเพลงที่ปราศจากเสียงกีตาร์ก็เยอะด้วย ถึงจะไม่ได้เป็นแบบนั้นเสมอไปก็เถอะ แล้วเพลงนี้ก็ใช่ว่าจะทุ่มใส่แต่เสียงเครื่องสาย แต่ฉันอยากให้มันเต็มไปด้วยความบริสุทธิ์ อื้ม ฉันอยากให้มันจบลงด้วยสายฝนที่นุ่มนวลจริงๆ นั่นแหละ แต่จะว่าไป วันที่ถ่ายปกอัลบั้ม Penny Rain น่ะ ฝนตกหนักมาก ทุกคนเปียกโชกกันไปหมดเลยค่ะ (หัวเราะ)


    ---(หัวเราะ) สำหรับคุณ Aimer แล้ว “April Showers” หรือก็คือ “ฝนเดือนเมษา” เป็นเพลงแบบไหนหรือครับ?


    Aimer: มันมาจากสุภาษิตว่า “April showers bring May flowers” หรือก็คือ “สายฝนเดือนเมษานำมาซึ่งดอกไม้เดือนพฤษภา” น่ะ ฉันยกสุภาษิตนั้นมาเป็นแรงจูงใจในการเขียนเนื้อเพลงค่ะ มันเป็นอัลบั้มที่วางจำหน่ายเดือนเมษา มีคอนเซ็ปต์ว่า "ฝน" ยิ่งไปกว่านั้น ยังสามารถ image ถึงสิ่งที่จะมาเยือนต่อจากนั้นได้อีกด้วย


    ---จะว่าไปในเนื้อเพลงมีคำว่า “นกกระจาบฝน” ที่เนื้อตัวเปียกปอนเพราะ “ฝนเดือนเมษา” แต่ถึงอย่างนั้น สุดท้ายแล้วก็กระพือปีกบิน “ไปสู่เดือนพฤษภาที่ดอกไม้เบ่งบาน” สินะครับ ถึงภาพความสดใสจะต่างกันอย่างสิ้นเชิง แต่ก็มีส่วนที่พ้องกับเพลง SUN DANCE อยู่ด้วย


    Aimer: อย่างที่คิดไว้เลย ตอนนี้ฉันรู้สึกพอใจที่ได้ทำอัลบั้มนี้จริงๆ ค่ะ เรียกว่าต้องคำนึงถึงสิ่งที่จะทำต่อจากนี้อีกครั้งแล้ว เพราะมันยังไม่ใช่จุดจบยังไงล่ะ ตามที่คุณบอกเลย ว่ามันเหมือนเนื้อเพลงของ SUN DANCE ที่ร้องว่า "It's starting over" ซึ่งใน April Showers เองก็มีคำว่า "กางปีกออกไป" ด้วย เป็นความรู้สึกว่าต้องก้าวต่อไปข้างหน้านั่นเองค่ะ

  • ถ้าไม่มีทุกคน ฉันก็สร้างมันขึ้นมาไม่ได้



    ---จากสัมภาษณ์ครั้งก่อน คุณ Aimer เคยบอกไว้ว่า ไม่ว่าจะเป็นซิงเกิลหรืออัลบั้ม ตัวเองก็ฟังไฟล์เสียงที่เสร็จสมบูรณ์แล้วซ้ำไปซ้ำมาเลยใช่ไหมครับ อัลบั้มนี้ก็ด้วยไหม?

    Aimer: ค่ะ พอฟังมากไปอีกแล้ว ฉันก็รู้สึกไม่เข้าใจตัวเองขึ้นมาเหมือนกัน (หัวเราะ) ก่อนอัลบั้มจะเสร็จสมบูรณ์ หรือก็คือก่อนจะ Mastering น่ะ ฉันก็ฟังไฟล์เสียงวนไปตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว โดยเฉพาะเพลงที่มาจากซิงเกิล ฉันฟังมันซะเต็มที่ตั้งแต่ตอนที่ยังเป็นซิงเกิลอยู่เลย ฉันยังจำตอนที่เรียงแทร็กครั้งแรกแล้วฟังมันไปด้วยได้ดี ตอนนั้นน่ะ แม้แต่ฉันเองก็ยังตื่นเต้นเลยค่ะ โดยเฉพาะอัลบั้ม Sun Dance ที่จะเน้นไปที่เพลงป๊อปสนุกสนานที่ฉันได้ท้าทายเป็นครั้งแรก ฉันเลยดีใจมากที่มันออกมามีความเป็น conceptual อย่างดี


    ---แล้ว Penny Rain ล่ะ?


    Aimer: กลับกัน Penny Rain นี่ฉันแทบจะไม่เป็นกังวลเลยค่ะ เพราะเพลงจากซิงเกิลก็เยอะ พอดูจาก BEST ALBUM แล้ว ฉันคิดว่าทุกคนน่าจะชอบ Aimer เวอร์ชั่นนี้กันอยู่แล้วนะ เพราะฉะนั้น ฉันก็อยากให้คนที่ชอบฝั่ง “ฝน” มาฟังฝั่ง “พระอาทิตย์” ด้วย และตรงข้ามกัน คนที่มาจากฝั่ง “พระอาทิตย์” เองก็… จะมีคนที่ชอบฝั่งนั้นบ้างมั้ยเนี่ย?


    ---ต้องมีสิครับ (หัวเราะ) ก็เพลง ONE ที่เป็นต้นกำเนิดของอัลบั้ม “พระอาทิตย์” น่ะเป็นตัวทำให้ไลฟ์ครื้นเครงมากๆ เลยนี่นา แถม Koiwazurai ยังเป็นเพลงต่อของเพลงยอดฮิตอย่าง Kataomoi ด้วย


    Aimer: อย่างนั้นเองเหรอ งั้นฉันรออยู่นะคะ หลังจากนี้ฉันอาจจะเปลี่ยนไปก็ได้ ขึ้นอยู่กับกระแสตอบรับของอัลบั้มนี้ ถ้าหากว่า Sun Dance ไม่ปังเลยสักนิด ฉันก็คง “พอแล้วล่ะ ฉันกลับไปโลกของฝนละกัน”


    ---เอ๋--


    Aimer: แน่นอนว่ามันจะไม่เกิดขึ้นหรอกค่ะ (หัวเราะ) แต่จากข้อสมมุติฐานหลัก ฉันก็จะยังร้องเพลงที่อยากร้องต่อไปนั่นแหละ ฉันเป็นพวกตั้งใจฟังเสียงของคนที่ฟังเพลงของฉันนะ เพราะอย่างนี้ตอนที่ทำอัลบั้ม "พระอาทิตย์" ก็เลยมีความย้อนแย้งในตัวเองอยู่ด้วย เป็นความกังวลประมาณว่า "อาจจะไม่ใช่ The Aimer ที่ทุกคนคาดหวังกัน จะโอเคมั้ยนะ?" แต่ฉันก็ก้าวข้ามมันมาได้ แล้วก็อย่างที่เคยบอกไปแล้วว่า Sun Dance เป็นอัลบั้มที่ประพันธ์ทำนองโดย agehasprings ทุกเพลง ซึ่งฉันก็ได้รับ feedback ว่า เราสามารถสร้างสิ่งที่น่าสนใจในฐานะดนตรีป๊อปในปัจจุบันได้แล้ว 


    ---ถ้า Sun Dance โปรดิวซ์ด้วย agehasprings ทุกเพลง ทางด้าน Penny Rain ก็เป็นเพลงที่ได้รับการสนับสนุนเสียส่วนใหญ่สินะครับ ทั้งคุณคาจิอุระที่ประพันธ์ทั้งหมด 3 เพลง (รวม overture อย่าง pluie ไปด้วย) แล้วก็คุณ Cocco, คุณ TK และ คุณซาวาโนะ ต่างก็ประพันธ์กันคนละเพลง


    Aimer: ค่ะ ลวดลายของแต่ละเพลงเลยต่างกัน หากมีสายฝนที่หนักหน่วง ก็ย่อมมีสายฝนที่เบาบาง เม็ดฝนเองยังมีหลายขนาด ถึงจะว่าแบบนั้น แต่ตอนที่ได้ฟังมันติดต่อกัน ก็ถือเป็นขั้นตอนอันเสร็จสมบูรณ์ที่ให้ความรู้สึกเหมือนถูกพาให้ย้อนกลับไปยังสถานที่เก่าๆ เลย ฉันรู้สึกขอบคุณทุกคนที่ให้ความกรุณามาร่วมงานกับฉันมากค่ะ และเหนือสิ่งอื่นใด ถ้าไม่มีแฟนๆ ทุกคน ฉันก็คงไม่คิดจะทำอัลบั้มนี้ขึ้นมา ฉันจึงอยากให้อัลบั้มนี้ส่งไปถึงทุกคนจังเลยนะ


    ---หลังจากที่ปล่อยอัลบั้ม Sun Dance กับ Penny Rain แล้ว คุณ Aimer ก็เริ่มเอเชียทัวร์ตั้งแต่เดือนมิถุนายนเลยใช่ไหมครับ แต่ว่าทัวร์ในประเทศอย่าง “soleil et pluie” ก็ดันจัดก่อนอัลบั้มจะออกล่วงหน้าไปแล้ว


    Aimer: ใช่แล้วค่ะ ปกติเค้าต้องทำตรงข้ามกันเนอะ ปล่อยอัลบั้มมาก่อนแล้วค่อยทัวร์ เพราะงั้นฉันเลยสงสัยว่าไฟนอลทัวร์ที่โตเกียวมันจะเป็นแบบไหนกันนะ ตอนนี้ก็ยังคิดอยู่เลยค่ะ (หัวเราะ)


    ---ทัวร์ soleil et pluie สนุกมากๆ เลยครับ


    Aimer: ดีใจจัง จริงๆ ตอนจัดทัวร์นั้นฉันก็กังวลไม่ใช่น้อยเลยค่ะ แต่พอได้ลองลงมือทำแล้ว ทุกคนกลับดีใจกันมากๆ ตรงนั้นเองที่ฉันสามารถสื่อถึงความ “อยากจะก้าวไปข้างหน้าโดยที่ยังรักษาจุดเริ่มต้นของตัวเองเอาไว้” ออกมาได้อย่างดี หลังจากนี้ ฉันก็จะร้องเพลงต่อไปโดยจะไม่มีวันลืม “จุดเริ่มต้นและความท้าทาย” นั้นเด็ดขาดเลย


    [Aimer] แปลสัมภาษณ์อัลบั้ม Sun Dance


    ข้อมูลจาก

    https://natalie.mu/music/pp/aimer18

    https://natalie.mu/music/pp/aimer16/page/2

    http://kansai.pia.co.jp/interview/music/2018-09/aimer

    https://natalie.mu/music/pp/aimer14/page/2

    https://natalie.mu/music/pp/aimer13/page/3


    แปลโดย: patto @Aimer - エメ de Thaïlande

    Thai Fanpage: Aimer - エメ de Thaïlande

    Twitter: @aimerthailover

    Official Twitter: @Aimer_and_staff

    Website: http://www.aimer-web.jp/

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in