เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
#แปลแล้วแต่อารมณ์Sprühregen
#1 [แปลสัมภาษณ์] "Sun Dance" อัลบั้มที่ 5 ของ Aimer



  • ONE เป็นจุดเริ่มต้นของ "พระอาทิตย์"

    ---คุณ Aimer จัดทัวร์ตั้งแต่ตุลาคม 2018 จนถึงมกราคม 2019 โดยใช้ชื่อทัวร์เป็นภาษาฝรั่งเศสว่า soleil et pluie หรือก็คือ "พระอาทิตย์กับสายฝน" ใช่ไหมครับ แล้วทัวร์นี้กับอัลบั้มในครั้งนี้ คอนเซปต์ของอันไหนมาก่อนกัน?

    Aimer: จริงๆ อัลบั้มมาก่อนค่ะ เมื่อกุมภาพันธ์ปีที่แล้ว ตอนที่ปล่อยซิงเกิล Ref:rain ออกมาพอดี ฉันก็เริ่มคิดถึงอัลบั้มต่อไป และได้คอนเซปต์ "ตะวันกับสายฝน" พร้อมทั้งชื่ออัลบั้มใหม่ Sun Dance กับ Penny Rain มาแล้ว พอมีคอนเซปต์นี้ก็เลยใช้ชื่อทัวร์เป็นภาษาฝรั่งเศสว่า soleil et pluie ค่ะ

    ---คิดมาค่อนข้างนานทีเดียวเลยนะครับ แถมยังร้องเพลงใหม่ 3min กับ Monochrome Syndrome จาก Sun Dance ให้ทุกคนฟังในทัวร์แล้วด้วย

    Aimer: จริงๆ ฉันร้อง 3min ตั้งแต่ใน fanclub tour เมื่อสิงหาคมของปีที่ผ่านมาแล้วค่ะ เลยกลายเป็นว่าการทำเพลงในอัลบั้ม Sun Dance นั้นจะเริ่มจากเพลง 3min ก่อน แต่อย่างที่คิดไว้เลย พอปล่อยอัลบั้ม daydream (2016) กับ BEST SELECTION (2017) ออกมา และมีคอนเสิร์ตบูโดคังต่อทันที ความสำคัญของการไลฟ์สำหรับฉันก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เลยค่ะ เพื่อให้สร้างซีนที่ฉันจะสามารถครื้นเครงไปกับทุกคนได้มากกว่านี้ ฉันจึงทำดนตรีที่ต่างออกไปจากปกติ หรือก็คือ เพลงจังหวะสนุกๆ ที่เต้นไปด้วยได้ ซึ่งความรู้สึกที่ได้ท้าทายกับเพลงแบบนั้นก็เป็นที่มาของคำว่า "พระอาทิตย์" ค่ะ

    ---เมื่อตอนปล่อยซิงเกิล ONE / Hana no Uta / Rokutousei no Yoru Magic Blue ver. คุณ Aimer ก็เคยให้สัมภาษณ์ไว้ประมาณนี้ด้วยใช่ไหมครับ ที่บอกไว้ว่าแต่งเพลง ONE ขึ้นมาเพื่อให้เป็น "เพลงที่ผ่อนคลายอารมณ์ของทุกคนในไลฟ์และทำให้รู้สึกอยากขยับร่างกายอย่างเป็นธรรมชาติขึ้นมา"

    Aimer: ตามนั้นเลยค่ะ หลังจากแต่งเพลง ONE เสร็จก็เกิดความคิดที่จะทำเพลงแดนซ์ต่ออีก ตรงนั้นแหละค่ะที่เป็นจุดเริ่มต้นของทุกอย่าง ตั้งแต่ zero ไปจนถึง ONE ...ก็คือเป็นก้าวแรกและก้าวใหม่ของฉันด้วย จะบอกว่า ONE เป็นจุดเริ่มต้นของอัลบั้ม "พระอาทิตย์" ก็ได้นะคะ

    ---นั่นถือเป็นการเปลี่ยนแปลงความคิดครั้งใหญ่เลยสินะครับ?

    Aimer: นั่นสินะคะ ฉันคิดว่าบางที ถ้าหากไม่มีคนฟัง ฉันก็คงยังร้องเพลงมืดมนต่อไปเรื่อยๆ ซึ่งฉันก็ชอบนะ แล้วเมื่อก่อนก็เคยอยากทำเพลงแนวๆ shoegaze ด้วย

    ---อยากฟังจังเลยครับ

    Aimer: แต่ว่ามีคนที่ฟังเพลงของฉันเพิ่มมากขึ้น และฉันก็ได้ร้องเพลงในคอนใหญ่ๆ มากขึ้นด้วย เลยเกิดความต้องการที่จะร่นระยะห่างระหว่างฉันกับทุกคนด้วยดนตรีขึ้นมา ตอนจะทำเพลง ONE ก็ยังไม่ได้รู้สึกอะไรแบบนั้นหรอก แต่ตอนที่ร้อง ONE ในคอนบูโดคังครั้งแรกแล้วได้เห็นทุกคนลุกขึ้นยืนและปรบมือไปด้วย ฉันก็คิดเลยว่า "โมเมนต์แบบนี้มันดีจังเลย" แล้วมันก็เปลี่ยนไปเมื่อฉันตระหนักได้ว่าทุกคนอาจจะยอมรับตัวฉันในเวอร์ชั่นนี้ด้วยก็ได้นะ





    ทุกเพลงโปรดิวซ์โดย agehasprings นับตั้งแต่อัลบั้มแรก

    ---เพลงของคุณ Aimer ในอัลบั้ม Sun Dance นั้นเริ่มจากเพลง ONE โดยแทร็กก่อนหน้าเป็นเพลงอินโทรแนวแอมเบียนต์อย่าง "soleil" ซึ่งถูกจัดให้อยู่ในตำแหน่งอารัมภบท (prologue)

    Aimer: จริงๆ soleil เป็นเพลงที่ฉันใช้เป็น SE (Sound Effect) ในช่วง opening ของคอนเสิร์ต soleil et pluie เองค่ะ

    ---อย่างนั้นเองเหรอครับ เมื่อธันวาปีที่แล้วผมก็ไปชมการแสดงที่ Tokyo International Forum มาเหมือนกัน แต่ไม่ได้สังเกตเลยครับ

    Aimer: ฉันคิดว่าถ้าเป็นคนที่ไปหลายรอบก็อาจจะสังเกตได้ว่า "เอ๊ะ นี่มัน SE ตอนนั้นนี่นา?" ส่วนตัวฉันเองคิดว่าเพราะ ONE เป็นเซตลิสต์เพลงแรกในทัวร์ด้วย มันเลยต่อเนื่องกันพอดีเลยนะ แล้วฉันก็ใส่ความรู้สึกขี้เล่นแบบนั้นเข้าไปและลองให้มันเป็นบทนำของอัลบั้มดู ตัวเพลงเองก็ดูน่าตื่นเต้น ให้ลางสังหรณ์ว่าจะมีอะไรสักอย่างเริ่มต้นขึ้นด้วย อันนี้ออกจะส่วนตัวนิดหน่อย คือฉันได้ฟังเพลงนี้ขณะกำลังตื่นเต้นอยู่หลังเวทีทุกครั้งน่ะค่ะ ความรู้สึกในตอนนั้นที่ราวกับว่าได้ไปอยู่ตรงนั้นจริงๆ ก็ฟื้นกลับขึ้นมาโดยอัตโนมัติเลย

    ---แม้จะมองว่าเป็นแพคเกจอัลบั้ม แต่สำหรับบทเกริ่นนำแล้วเนี่ยไม่มีที่ติเลยนะครับ

    Aimer: ค่ะ soleil ได้คุณโมโมตะ รุอิ ผู้ประพันธ์เพลง ONE มาประพันธ์ให้ ก็เลยมีส่วนประกอบของ ONE ปนอยู่ด้วย อีกอย่างอัลบั้มนี้ก็ประพันธ์โดยทีม creator ของ agehasprings ทุกเพลงด้วย ซึ่งถือว่าเว้นช่วงมานานมากทีเดียวค่ะ นับตั้งแต่อัลบั้มแรก (Sleepless Nights) เลย ถึงจะว่าแบบนั้น แต่ฉันก็คิดว่ายิ่งทำอย่างอิสระ ก็ยิ่งได้คอนเซ็ปชวลอาร์ตมาหรือเปล่านะ
  • มี ONE กับ 3 แล้ว ก็ทำ Two ด้วยเลย

    ---เริ่มจาก ONE ไปเพลงใหม่ We Two แล้ว ก็ยังมี 3min เป็นเพลงต่อไปด้วยสินะครับ รู้สึกเหมือน 3 เพลงนี้นับเรียงเป็น ONE, Two, 3 ไปตามลำดับเลย

    Aimer: จริงๆ We Two เป็นเพลงที่ทำเป็นเพลงสุดท้ายในอัลบั้ม Sun Dance ค่ะ อย่างที่บอกไปเมื่อครู่ว่าฉันทำ 3 min เป็นเพลงแรก อีกทั้งยังมี ONE อยู่ก่อนแล้ว ก็เลยคิดว่างั้นทำ Two ด้วยเลยแล้วกัน (หัวเราะ)

    ---ดูเรียบง่ายดีนะครับ (หัวเราะ) ถ้าพูดถึงทำนอง We Two เป็นแดนซ์ร็อคจังหวะ four on the floor แล้วก็ต่อจากเพลง ONE จากนั้นก็เป็น 3min ที่เชื่อมต่อกันได้อย่างสวยงามสินะครับ

    Aimer: ฉันตั้งใจทำให้ ONE, Two และ 3 เป็นไปตามคอนเซปต์ "เพลงป๊อปที่เต้นได้" ถึง We Two ฉันจะเขียนแค่เนื้อเพลง แต่จะบอกว่าเพลงนี้มันกำลังหยอกล้อฉันอยู่ก็ว่าได้…

    ---เป็นเนื้อเพลงดูที่บ้าบิ่นไม่สมกับเป็นคุณ Aimer เลยนะครับเนี่ย

    Aimer: เหมือนที่ฉันบอกไปก่อนหน้า ตั้งแต่ปล่อย daydream ออกมาก็จะ 3 ปีแล้ว และรู้สึกว่าได้ท้าทายอะไรมากมายในไลฟ์มาตลอด โดยเฉพาะในทัวร์ที่ผ่านมานี้ เป็นเพลงเร็วที่ได้สนุกสนานไปกับทุกคนจนไม่สามารถนึกถึงไลฟ์ของ Aimer คนที่เคยร้องเพลงมืดๆ มาตลอดได้แล้ว แต่ตอนที่เรียกเสียงจากทุกคนในคอน (call and response) อะไรแบบนั้น ฉันก็กลุ้มใจทีเดียวว่ามันไม่ใช่ตัวฉันเลยนะ

    ---อย่างนั้นเองเหรอเนี่ย

    Aimer: แต่ฉันก็บอกตัวเองที่กังวลอยู่กับอะไรแบบนั้นให้เขียนเพลงต่อไปซะ "บทพูดนั้นมันไม่ใช่ตัวฉันเลย แต่ช่างเหอะ" (จากเนื้อเพลง We Two) อะไรประมาณนี้ กลับกัน พอได้เขียนเนื้อเพลงแล้วก็เปลี่ยนอารมณ์ทันทีและสามารถร้องได้ ตอนที่ฉันทำแบบนั้นและเปิดเผยความรู้สึกในใจของตัวเองในปัจจุบัน มันก็รู้สึกเหมือนกำลังประชดเสียดสีอยู่นิดหน่อยนะ อีกนัยหนึ่งคือ เพลงนี้เป็นเพลงที่ฉันเขียนไปหยอกล้อไปมากที่สุดในบรรดาเพลงใหม่ทั้งหมด และเป็นเพลงที่เขียนขึ้นหลังทัวร์ soleil et pluie ค่ะ

    ---เขียนเนื้อเพลงได้เหมาะกับเป็นเพลงแดนซ์ดีนะครับ ถึงผมจะพูดถึงในความหมายที่ดีมากๆ แต่กลับเป็นเนื้อเพลงที่ไม่มีอะไรเลยซะนี่

    Aimer: นั่นสินะคะ (หัวเราะ) เหมือนว่าฉันไม่ต้องคิดอะไรแล้ว แค่หัวเราะแบบไม่ถือสาให้ตัวเองที่กำลังลังเลและกังวลไป

    ---ถ้ามัวคิดอะไรจุกจิกก็จะเต้นไม่ได้ด้วย ส่วนวิธีการร้องเนี่ย คุณ Aimer ร้องแบบห้วนๆ ซะส่วนใหญ่หรือเปล่าครับ?

    Aimer: ใช่ค่ะ เพลงนี้ทั้งการออกเสียงแล้วก็น้ำเสียง อาจจะมีจุดที่ไม่เข้าหูสักหน่อย แต่ว่าฉันนึกถึงความหยาบๆ และห้าวๆ แบบนักร้องเพลงร็อคของอเมริกาน่ะค่ะ แล้วก็เพราะ We Two เป็นเพลงง่ายๆ นี่แหละ ฉันเลยห้ามร้องแบบง่ายๆ ถึงจะแค่ลงจังหวะและเมโลดี้ตรงๆ ก็สามารถร้องได้อย่างสบายๆ แล้ว แต่ถ้าทำแบบนั้น มันอาจจะน่าเบื่อและไม่ติดหูก็ว่าได้ เพราะงั้นฉันก็เลยไม่ร้องแบบสบายๆ และจัดการปรับอะไรหลายๆ อย่างในคำลงท้าย ซึ่งลำบากทีเดียวค่ะ กว่าจะได้แบบนั้นฉันก็คิดอะไรจุกจิกหลายอย่างเลย (หัวเราะ)



  • เพลงที่แต่งขึ้นเพื่อทำ MV 3 นาที

    ---ต่อไปเป็นเพลงที่ทำเสร็จเป็นเพลงแรกเลยอย่าง 3min เพลงนี้รู้สึกได้ถึงกลิ่นอายของ New Wave Funk เลยนะครับ

    Aimer: ในการทำ Sun Dance ฉันได้พูดคุยกับคุณทามาอิ เคนจิ ที่เป็นโปรดิวเซอร์ว่า "อยากทำซาวด์ช่วงยุค 80 ให้เป็นเพลงแดนซ์ที่เป็นป๊อปเพียวๆ แบบยุคปัจจุบัน" โดยเฉพาะใน 3min หรือ Monochrome Syndrome เนี่ยมันอาจจะได้กลิ่นอายแบบนั้นอย่างมากเลยก็ได้ แล้วก็อย่างที่ฉันบอกไปก่อนหน้านี้ว่าฉันร้อง 3min ให้ทุกคนฟังครั้งแรกในแฟนคลับทัวร์เมื่อเดือนสิงหาไปแล้ว แต่เพราะเพลงสนุกๆ ที่เล่นในแฟนคลับทัวร์ยังมีไม่พอ เลยกลายเป็นว่า "ทำอีกเพลงไว้ล่วงหน้ากันเถอะ" (หัวเราะ)

    ---เก็บไว้ใช้ก่อนสินะ (หัวเราะ)

    Aimer: แถม Monochrome Syndrome ก็เป็นเพลงที่ฉันทำไว้ล่วงหน้าด้วยค่ะ เพราะกะแล้วว่าเพลงสนุกๆ ใน soleil et pluie ยังมีไม่พอจริงๆ ซึ่งแน่นอนว่า ไม่ว่าจะเป็นเพลงไหนฉันก็ตั้งใจจะใส่ไว้ในอัลบั้ม Sun Dance อยู่แล้วค่ะ

    ---แล้วในทัวร์ soleil et pluie ก็แสดงทั้งสองเพลงให้ทุกคนได้ชมกันตั้งแต่ต้นเลยใช่ไหมครับ ผมตกใจตั้งแต่ตอนเริ่มเลย แล้วคอนเสิร์ตก็ครึกครื้นมากๆ ด้วย

    Aimer: ดีใจจังค่ะ แล้วก็เพลง 3min เนี่ย แรกเริ่มเดิมทีมันมาจากไอเดียที่ว่าอยากจะทำ MV ใน theme "รอบโลกรอบเดียวใน 3 นาที" ซึ่ง 2018 เป็นปีที่ฉันได้มีโอกาสไปต่างประเทศบ่อยเนื่องจากเอเชียทัวร์บ้าง อีเวนท์บ้าง ไม่ก็มีการถ่ายทำต่างๆ แล้วทุกครั้งที่ไปต่างประเทศ ฉันก็ถ่ายด้านหลังของตัวเองตอนเดินไปรอบๆ กับถ่ายสภาพแวดล้อมของเมืองนั้นๆ แล้วก็เอาที่ถ่ายไว้มาต่อๆ กันพลางคิดว่าถ้าทำเป็น MV 3 นาทีก็น่าสนุกดีนี่ เพราะงั้นก็เลยแต่งเพลงนี้ขึ้นเพื่อที่จะทำ MV ค่ะ (หัวเราะ)

    ---ตรงไปตรงมาดีนะครับ (หัวเราะ)

    Aimer: แต่จริงๆ ตอนนั้นก็ถ่ายแต่วิดีโอไปทั้งที่ยังไม่มีเพลงเนี่ยแหละค่ะ ดังนั้น Sun Dance ก็คือได้สร้างความประทับใจไว้อย่างมาก แถมทีม Aimer ทุกคนก็ค่อนข้างจะตั้งตาคอยกันทีเดียวเลยค่ะ แต่ก็มีจุดที่ฉันรู้สึกเสียดายอยู่นิดหน่อยคือ 3min น่ะ ตัวเพลงมันจบ 3 นาทีพอดีเป๊ะเลยนะคะ แต่สมมติว่าถ้าเปิดฟังใน iPhone อีกรอบแล้วเนี่ย พอนับรวมช่วงต่อของเพลงไปด้วยก็เกินมาหลายวินาทีเลยค่ะ

    ---อ้อ ในเครื่องเล่น CD ของผมก็เป็น 3:03 น.เหมือนกันครับ แต่เพลงง่ายๆ ที่จบลงอย่างรวดเร็วใน
    เวลา 3 นาทีเนี่ย ไม่เคยปรากฏในผลงานของคุณ Aimer มาก่อนเลยใช่ไหมครับ

    Aimer: นั่นสินะคะ เพลงของฉันจะเกิน 5 นาทีเป็นปกติอยู่แล้ว ก็เลยคิดว่าเพลงเร็วสนุกๆ ที่จบใน 3 นาทีนี่มันเหมาะจะร้องในไลฟ์จริงๆ นะ แม้แต่ตอนอัดเสียงก็รู้สึกว่าเพลงนี้ไม่ได้ทำให้ฉันกังวลมากขนาดนั้นนะ ถ้าเทียบกับ We Two ที่เล่าไปก็ตรงกันข้ามเลยล่ะ แต่ถึงจะร้อง 3min อย่างสบายๆ แต่จะว่ามันก็เข้ากับฉันอยู่ได้มั้ยนะ อธิบายออกมาเป็นคำพูดไม่ถูก แต่ตอนแต่งทำนองมันก็เป็นแบบนั้นเหมือนกัน สมมติว่าให้ฉันร้องคำลงท้ายให้เป็นแนวบลูส์ (bluesy) นิดหน่อย คือก็ไม่ได้รู้สึกว่าประชดแดกดันอะไร แค่มันเข้ากับเพลงพอดีก็เลยร้องง่ายน่ะค่ะ

    ---มันเหมาะกับ Black Music ดีใช่ไหม?

    Aimer: อา อาจจะนะ เพราะงั้นอาจจะร้องง่ายน่ะ เมื่อก่อนฉันก็ฟังเพลงบลูส์บ่อยๆ อยู่แล้วด้วย



  • เพลงรักที่เป็น Guitar Pop แบบ KATAOMOI

    ---ตั้งแต่เพลง KOIWAZURAI ที่เป็นเพลงต่อไป บรรยากาศก็เปลี่ยนไปเลยนะครับ

    Aimer: KOIWAZURAI นั้นเป็นเพลงที่ฉันเริ่มเขียนหลังจากได้ตกลงร่วมงานทำเพลงประกอบรายการเรียลลิตี้เกี่ยวกับความรัก 白雪とオオカミくんには騙されない♥ ค่ะ ทุกคนคงจะเดาความหมายกันได้จากชื่อเพลงอยู่แล้วนะคะ เพลงนี้เป็นเพลงที่ฉันแต่งขึ้นมาเพราะนึกถึง KATAOMOI จากอัลบั้ม daydream แต่แทนที่จะพูดอย่างนั้น จริงๆ ก่อนจะตกลงทำเพลงนี้ ฉันก็มีความคิดจะทำเพลงกีตาร์ป๊อปที่ต่อจาก KATAOMOI อยู่แล้ว แต่รู้สึกว่าเดโมที่ลองอัดไปแล้วนิดหน่อยมันยังไม่โอเคเท่าไหร่ ก็เลยค้างไว้ก่อน จนได้มาคุยกับโอกามิคุงก็คิดว่ามันเหมาะเจาะพอดีเลยนะ

    ---คือหมายความว่า?

    Aimer: ทั้งที่ KATAOMOI เป็นเพลงจากในอัลบั้ม แต่ก็มีคนที่มาฟังไม่ก็ cover กันมากมายเลย แถมยังได้รับความประทับใจโดยเฉพาะในหมู่เด็กวัยรุ่นที่ให้การสนับสนุนกันอย่างล้นหลาม ซึ่งมันก็พอดีกับการวัดเรตติ้งผู้ชมของโอกามิคุงเลยนี่นา เพราะงั้นฉันเลยเอาเนื้อหาของเพลงที่เป็นตีมเกี่ยวกับความรักไว้หน้าสุด มุ่งไปที่ประเด็นเดียวเลย

    ---ประพันธ์โดยคุณโทบินาอิ มาซาฮิโระที่เรารู้จักกันดี เช่นเดียวกับเพลง 3min

    Aimer: KOIWAZURAI เนี่ยเหมือนเป็นเอกลักษณ์ของคุณโทบินาอิเลยนะ โครงสร้างของเพลงก็น่าสนใจด้วย ตัวอย่างเช่น ในท่อนพีคจะมีประโยคเดิมซ้ำไปมา เพราะเป็นโครงสร้างแบบนั้นแหละค่ะ คำที่อยากจะสื่อก็เลยติดหูได้ง่าย ตอนที่ฉันเขียนเนื้อเพลงเสร็จ ก็มีรีแอคว่า "อื้ม ดีเลยนะเนี่ย" ขณะเดียวกัน ฉันก็กังวลกับเพลงนิดหน่อย พอปรึกษาคุณทามาอิ เค้าก็บอกว่า "เพราะมุ่งประเด็นไปที่ความรักนี่แหละ Aimer น่ะปล่อยใจให้สบาย แล้วร้องไปโดยปราศจากความคิดเห็นส่วนตัวอีกนิดนะ" หรือก็คือ เพราะจะให้ใกล้เคียงกับเนื้อเพลงมากที่สุด ฉันก็เลยเผลอร้องอย่างเข้าถึงอารมณ์มากเกินไป ทำให้ฝืนร้องในคีย์ที่ต่ำกว่าปกติค่ะ

    ---ตั้งแต่ KOIWAZURAI เพลงนี้ ต่อด้วย Hanabira no March แล้วก็ Omoide wa Kirei de เนี่ย เรียงแทร็กได้อย่างสวยงามเลยนะครับ

    Aimer: ขอบคุณค่ะ 3 เพลงนี้มีเวลาที่แต่งแตกต่างกันไป แต่ว่าทั้งหมดนี้ฉันก็คิดไว้ในใจแล้วว่าจะใส่ไว้ในอัลบั้ม "พระอาทิตย์" ให้หมดอยู่แล้ว ก็เลยคิดว่าถึงจะให้เนื้อเพลงจบลงอย่างเรียบง่าย แต่มันก็คงออกมาในทิศทางเดียวกันอยู่ดี ถึงจะร้องเพลงเกี่ยวกับการจากลา แต่ก็เป็นการจากลาที่ก้าวไปข้างหน้า หรือไม่ก็เป็นความรู้สึกอย่างคำขอบคุณมากกว่าความเศร้าต่อการจากลา ฉันคำนึงถึง message ในแง่บวกแล้วเขียนมันออกมาค่ะ

    ---ไม่เห็นบอกในสัมภาษณ์ Hanabira no March เลยนะครับ

    Aimer: จนกว่าอัลบั้มจะเสร็จ ฉันก็เก็บเงียบมาตลอดเลย (หัวเราะ)



  • หลุดออกจากโลกสีขาวดำ

    ---เพลงที่ 8 Monochrome Syndrome ก็กลับมาเป็นเพลงแดนซ์อีกครั้งสินะครับ เป็นอีกเพลงที่ประพันธ์โดยคุณโทบินาอิ ส่วนตัวผมว่าเพลงนี้มันโดนใจสุดๆ เลย

    Aimer: จริงเหรอคะ?

    ---จริงครับ พูดสั้นๆ คือเพลงนี้เป็นแนว Disco สินะ

    Aimer: ใช่ค่ะ เพลงนี้ก็อย่างที่บอกไปว่าเพราะเพลงเร็วที่ใช้ร้องในทัวร์ soleil et pluie ยังไม่พอ ก็เลยทำเพลงนี้ขึ้นมาอีก แต่จะมีบรรยากาศแบบผู้ใหญ่ขึ้นมาหน่อย ยิ่งไปกว่านั้น ระดับเสียงตลอดทั้งเพลงก็ค่อนข้างจะต่ำ เลยจำได้ว่าฉันร้องไปพลางคิดว่าได้ใช้จุดเด่นของเสียงตัวเองได้เต็มที่เลยแฮะ

    ---เนื้อเพลงก็วิเศษไปเลยนะครับ เหมือนกับกำลังร้องเกี่ยวกับตัวคุณ Aimer เองหลังจากเพลง ONE เลย

    Aimer: ดีใจจังค่ะ ใช่แล้ว หลังจาก BEST ALBUM จนถึงตอนที่ทำเพลง ONE ฉันก็คิดว่าเพลงนี้ไม่น่าจะเหมาะกับทั้งสีขาวและสีดำหรือเปล่า ก็เลยทำให้มันให้ความรู้สึกคัลเลอร์ฟูลมากขึ้นค่ะ พูดอีกอย่างคือ ไม่ใช่ขาวดำ แต่เป็นเพลงที่มีสีสัน ดังนั้น พอมันเริ่มไม่ชัดเจน ก็รู้สึกว่าตัวเองในตอนนี้กำลังก้าวไปข้างหน้าจากจุดที่เรียกว่า “ขาวกับดำ” สินะ

    ---อย่างเพลง Rokutousei no Yoru Magic Blue ver. หรือ After Rain –Scarlet ver.- (จากซิงเกิล Ref:rain) เนี่ย ชื่อเพลง Self Cover ในซิงเกิลหลังจาก ONE ก็ใส่แต่ละสีเรียงไปตามนั้นเลยสินะครับ

    Aimer: ตามนั้นเลยค่ะ เพราะงั้นก็เลยคิดว่าอยากใช้วิธีแบ่งใหม่ๆ แทน "ขาวกับดำ" ถึงจะว่าแบบนั้น "พระอาทิตย์กับสายฝน" ที่เป็นคอนเซปต์ของอัลบั้มนี้ก็ได้มาแบบเหมาะเจาะมากเลย เพลง Monochrome Syndrome ได้หลุดออกจากโลกขาวดำอย่างแท้จริง ถ้าตอนนี้ฉันสามารถพูดได้เต็มปากว่ากำลังร้องเพลงที่สดใสอยู่ได้ก็ดีนะ แต่ฉันก็กลุ้มใจกับตัวเนื้อเพลงทีเดียวค่ะ อยากให้ตัวฉันสมัยที่ยังเป็นสีขาวดำกับตัวฉันในตอนนี้มันเกี่ยวข้องอะไรกันสักอย่าง

    ---สตอรี่ของเนื้อเพลงเนี่ย ให้ความรู้สึกประทับใจแบบหนังวัยรุ่นแสบๆ เลยนะครับ

    Aimer: อ๊ะ นั่นก็อาจจะถูกนะคะ จริงๆ มันมีหนังขาวดำเรื่อง Boy Meets Girl ของผู้กำกับ Leos Carax อยู่ ซึ่งฉันเองก็ได้มีโอกาสดูหนังเรื่องนั้นเหมือนกัน พอนึกถึงเรื่องนั้นขึ้นมาได้ แม้จะไม่ถึงขนาดเพลง KOIWAZURAI แต่ฉันก็ลองใส่ส่วนประกอบของความรักเข้าไปด้วย อยากจะลองมีความรักแบบที่ไม่ยึดติดอยู่ในกรอบ แล้วแต้มสีสันให้โลกใบสีขาวดำนี้จังเลยนะ

    ---อย่างนี้นี่เอง นอกจากนี้ 4 สีที่คุณ Aimer ใส่ไว้ในเพลงเนี่ยยังลึกล้ำสุดๆ ไปเลย

    Aimer: (หัวเราะ) นั่นสินะคะ มันมีความหมายว่าต่อจากนี้ฉันก็ตั้งใจไว้ว่าจะร้องต่ออีกหลายสีเลยล่ะ



  • เพลงที่สว่างที่สุดในอัลบั้ม “พระอาทิตย์”

    ---ต่อไปเป็นเพลง SUN DANCE ที่ประพันธ์โดยคุณโมโมตะ รุอิ เป็นเพลงร็อคจังหวะกลางๆ ที่ชวนให้นึกถึง West Coast sound เลยครับ

    Aimer: ตอนคิดว่าจะปิดอัลบั้มยังไงดี ฉันก็คิดว่าถ้ามีเพลงที่ครอบคลุมถึงชื่ออัลบั้มด้วยก็เข้าท่าดีนะ แล้วก็นึกถึงเพลงนี้ขึ้นมา คือตัวเดโมมันมีมาตั้งแต่ก่อนจะทำอัลบั้มนี้แล้วค่ะ คำว่า SUN DANCE ก็เข้ากันกับท่อน Bridge พอดีด้วย เพราะงั้นฉันก็เลยชอบมาก แถมมันก็ไม่มีที่ติเลย

    ---พอพูดถึง SUN DANCE มันมีเทศกาลหนัง Sundance อยู่ด้วยใช่มั้ยครับ เป็นเทศกาลประจำปีของอเมริกาที่ฉายหนังอินดี้น่ะ

    Aimer: ใช่ๆ! ใช่เลยค่ะ ทั้ง Sun Dance แล้วก็ Penny Rain ฉันตั้งชื่อตามสถานที่แต่แรกอยู่แล้ว เพียงแต่ Penny Rain ฉันดัดแปลงมาจากคำว่า Penny Lane ซึ่งอยู่ที่เมือง Liverpool ประเทศอังกฤษ ที่เรารู้จักกันดีจากวง The Beatles น่ะค่ะ ขณะเดียวกัน นอกจาก Sun Dance จะมาจากเทศกาลหนังในรัฐยูทาห์ของอเมริกาที่โด่งดังอย่างที่คุยกันไปเมื่อครู่แล้ว มันยังมีอีกที่นึงที่มีชื่อสถานที่ว่า Sundance เหมือนกัน อยู่ที่รัฐไวโอมิง แล้วพอลองเสิร์ชดู ก็พบว่าคำว่าซันแดนซ์น่ะ ก็เป็นชื่อพิธีที่ชนพื้นเมืองอเมริกันจัดขึ้นเพื่อติดต่อพูดคุยกับธรรมชาติด้วย เพราะงั้นฉันเองคิดว่า คำนี้เป็นสัญลักษณ์ของสิ่งที่เป็น Positive มากๆ เลย ซึ่งสิ่งนั้นก็ปรากฏในเนื้อเพลง SUN DANCE ด้วยนะคะ

    ---เป็นการแสดงถึงความหวัง ว่าไม่มีอะไรที่แสงแดดส่องไม่ถึงเช่นเดียวกับปกอัลบั้ม

    Aimer: SUN DANCE เป็นเพลงที่สว่างไสวที่สุดในอัลบั้มจริงๆ ค่ะ มันมีนัยว่าต่อจากนี้จะก้าวไปข้างหน้าให้ไกลกว่าเดิม เป็นการแสดงถึงการตัดสินใจอย่างแน่วแน่อีกอย่างหนึ่งด้วย ... ถ้าได้ฟังเพลงของฉันเมื่อก่อนคงจะตกใจกันแน่ๆ เลยนะคะ แต่ว่าการทำอัลบั้มนี้ฉันได้เรียนรู้อะไรมากมายเลย แล้วก็เพื่อพัฒนาความสามารถของตัวเองต่อจากนี้ การทำอัลบั้มนี้ก็จำเป็นสำหรับฉันด้วยค่ะ ซึ่งความเป็นจริงแล้ว ในฐานะคนเขียนเนื้อเพลง พอได้ลองหันหน้าเข้าหาการเป็นนักร้องเพลงป๊อปแดนซ์ก็สนุกมากเลยค่ะ ความรู้สึกของฉันที่ว่าอยากร้องเพลงแนวนี้มากขึ้นอีก มันกลายเป็นสิ่งที่ฉันมั่นใจยิ่งกว่าการทำอัลบั้มนี้ไปแล้วค่ะ และการที่ฉันไปถึงจุดนั้นได้ ก็เพราะว่ามีทุกคนอยู่นะ
  • เริ่มด้วย ONE ก็อยากจบด้วย ONE

    ---ONE -epilogue- ไม่ใช่แค่เรียบเรียงใหม่ให้ต่างจากเวอร์ชั่นเดิมเท่านั้น แต่เสียงร้องก็อัดใหม่ด้วย?

    Aimer: ค่ะ ฉันเคยคิดว่าจะให้อัลบั้มนี้จบด้วย SUN DANCE ซึ่งถ้าปิดอัลบั้มแบบนั้นก็ดีอยู่แล้ว แต่ว่าเพลง ONE เนี่ยมันมีความรู้สึกผูกพันอยู่มากจริงๆ ค่ะ อย่างที่เคยบอกไปว่ามันเป็นทั้งจุดเริ่มต้นของอัลบั้มพระอาทิตย์ และเป็นก้าวที่ต่อจากเพลง zero ด้วย เพราะฉะนั้น เรื่องราวของพระอาทิตย์ที่เรียกว่า Sun Dance ฉันอยากให้มันเริ่มต้นด้วย ONE แล้วก็จบด้วย ONE ก็เลยทำเวอร์ชั่น epilogue ขึ้นมาค่ะ

    ---มีการตัดเนื้อเพลงออกไปส่วนหนึ่ง แถมยังเอาส่วนที่เป็นแนวแดนซ์ของเวอร์ชั่นเดิมออกด้วยสินะครับ

    Aimer: ใช่แล้วค่ะ เพื่อไม่ให้มันโหวกเหวกเกินไปสำหรับ epilogue (บทส่งท้าย) ฉันเลยทำให้มันเรียบง่ายกว่าเวอร์ชั่นเก่าค่ะ ตอนเรียบเรียงก็ลำบากนิดหน่อย แต่ฉันก็อยากให้มีความรู้สึกว่าทุกคนกำลังร้องมันไปด้วยกัน คงเรียกได้ว่าในตอนท้ายฉันอยากจะจบมันอย่างนุ่มนวลจริงๆ ให้เป็นบรรยากาศแบบว่า รู้สึกเหงาขึ้นมาเลยนะที่เรื่องราวพวกนี้จะจบลงแล้ว




    ข้อมูลจาก https://natalie.mu/music/pp/aimer17
    *มีการตัดเนื้อหาบางส่วนออก

    แปลโดย: patto @Aimer - エメ de Thaïlande
    Twitter: @aimerthailover

    Official Twitter: @Aimer_and_staff

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in