เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Le Botanic Caféชย วิวัฒนาพานิช
Le Botanic Café

  • (I)
    ว่ากันว่าสวน “เซน” ผลงานศิลปะญี่ปุ่นนั้นมีอิทธิพลเป็นอีกหนึ่งแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ผลงานของโมเน่ต์ แต่ถ้าถามไถ่ถึงบุคคลที่มีอิทธพลกับใจไม่ว่าในช่วงไหนก็ล้วนเป็นแรงบันดาลใจสำคัญสำหรับนักเขียนเหมือนกัน 


    อันที่จริง ฉันเขียนไม่ออกมานานแล้ว ต้นฉบับปล่อยร้างไว้ไร้การดำเนินต่อ คิดไม่ออกเขียนต่อไม่ได้จำเป็นต้องเขียนเรื่องใหม่แต่กลับกลายว่าไร้วี่แววว่ามันจะเสร็จสิ้น ความท้อแท้เบื่อหน่ายจนคิดล้มเลิกอยากวางปากกาอยู่เป็นหมื่นเป็นแสนครั้ง สิ่งเหล่านี้เป็นความธรรมดาไม่ต่างกับการได้ทำความรู้จักกับใครสักคนที่ชอบหรอก ระหว่างจะเดินหน้าต่อหรือถดถอยดี แน่นอนว่าฉันควรเลือกอย่างแรก



    ไม่ต่างกันกับคล้อยบ่ายใน Le Botanic Café  ไทม์โซนที่ต่างออกไปบนเส้นแบ่งเขตแดนระหว่างประเทศไกล เท่าไกลภาพที่มีชีวิตสวนดอกไม้หลากพันธุ์หลายสีสันในฤดูใบไม้ร่วง "เมืองจีแวร์นี" 

    บ้านเกิดของ จิตรกรอิมเพรสชันนิสม์ ชื่อดังทิ้งห่างมาทางตะวันตกเฉียงเหนือของปารีสราวแปดสิบกิโลเมตร แต่ไม่เคยคาดคิดว่าจะได้พบเจอเขาที่ว่าปรากฏอยู่ตรงหน้าตัวเป็น ๆ นอกจากพบเห็นบนโลกโซเชียลมีเดีย แน่นอนว่าสบโอกาสบังเอิญได้เจอกันไม่ควรพลาดทักทายเขาก่อนแม้จะเต็มไปด้วยความประหม่า หน้าแดงเล็กน้อยแต่สุดท้ายฉันทำได้เพียงส่งยิ้มให้ซ่อนงำความขวยเขินไว้แต่ไม่ค่อยได้ผล 


    “มาเที่ยวไกลเลยนะครับ” 

    เป็นเขาเองที่เป็นฝ่ายเริ่มต้นบทสนทนา


    “อื้ม ถ้านับจากประเทศสิ้นศรัทธา อยู่ตรงนี้ก็ไกลอยู่”


    “ถ้าตอบตามตรงก็มาใช้เงินเก็บเพื่อเติมแรงบันดาลใจทำงาน”


    “อาา ผมจำได้ว่าพี่เป็นนักเขียน”


    “นักเขียนที่ตายไปจากการออกผลงานไปนานแล้วไม่เรียกว่านักเขียนหรอก”

    ฉันกล่าวทีเล่นทีจริงพร้อมรีบพับหน้าจอแล็ปท๊อปลง


    “มาคนเดียวหรอครับ”


    “ว่าแต่จะรบกวนมั้ยถ้าผมขอนั่งร่วมโต๊ะคุยด้วยระหว่างรอกาแฟมาเสิร์ฟ”


    “อิท-โอ-เค” กล่าวตกลงพร้อมย้ายสัมภาระที่วางอยู่บนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามลง

    ก่อนเขาจะนั่งลงแล้วขยับเข้ามาพูดคุย


    “แล้วทำไมถึงมาเที่ยว…คนเดียว” ฉันถามไปอย่างใคร่รู้


    “พอดีผมจะมาเที่ยวกับพี่สาว”


    “แต่เรื่องตลกคือผมกับเค้าจองสลับเดือนกัน กลายเป็นว่าผมต้องมาทีนี่คนเดียว”


    เขาตอบอย่างร่าเริงดูเป็นกันเองกว่าที่คิดแตกต่างจากภาพบนโซเชียลอย่างสิ้นเชิง


    “ถ้าให้เดาต้องมาเที่ยวบ้านโมเน่ต์”


    “ใช่ครับ ว่าแต่พี่เองชอบผลงานชิ้นไหนของโมเน่ต์เป็นพิเศษ”


    เราพูดคุยหัวเราะกันอย่างสนุกสนานแต่ยังไม่ทันจะตอบคำถาม บทสทนาก็เป็นอันได้จบลงกลางคัน
    เมื่อคนที่นั่งอยู่อีกฝั่งของโต๊ะจับจ้องอยู่กับโทรศัพท์มือถือพิมพ์แชท ยิ้มเยาะหัวเราะราวกับคนมีความรัก

    ราวรอบกลายเป็นเพียงวัตถุล่องหนพร่าเบลอจนเขาไม่ทันสังเกตว่ากาแฟแก้วนั้นถูกนำมาวางไว้

    จนหายร้อนแล้วก่อนเผลอปัดไปโดนมันตอนเขาผุดลุกขึ้นไปอย่างกระทันหันคล้ายรีบออกไปที่ไหนสักแห่งจนมันหกราดรดแล็ปท๊อปของฉัน ผลงานที่อยู่ระหว่างการประกอบสร้างขึ้นตัวอักษรเลือนลางหายไปทีละตัว เป็นฝันร้ายชวนผวาตื่นมีเพียงหน้าจอมือถือที่เต็มไปด้วยบทสทนาหนักขวาที่ถูกพิมพ์ส่งไปโดยฉันนับสิบเปิดค้างไว้โดยที่ไม่รู้ตัวว่าเผลอหลับไปตอนไหน การตื่นบนเตียงหาใช่นั่งอยู่ในคาเฟ่  

    ไม่มีเขา  ไม่มีบทสนทนาอื่นใดอยู่ที่นั่น 



    เคยสิ...เชื่อว่าคุณเองก็ต้องเคยความรู้สึกเกลียดตัวเองตอนนั่งจ้องโทรศัพท์เพื่อรอคอยการตอบกลับจากอีกคนพิสูจน์ว่าเรานั้นไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวในจักรวาลนี้แต่ท้ายสุดปลายทางไม่เป็นอย่างนั้นเมื่อเงียบงันว่างเปล่าไร้การโต้ตอบคาดเดาและเข้าใจได้เองว่าถ้าเขาต้องการคุณก็คงต้องทำอะไรบางอย่างแต่คุณก็รู้ดีว่า...ความเงียบงันไม่ใยดีนั้นก็เป็นคำตอบรูปแบบหนึ่ง


    __________________


    (II)

    ในก่อนหน้านี้เราคุยค้างไว้ถึงตรงไหนนะ
    แต่รู้สึกทำใจลำบากหากฉันหวนกลับไปกดขุดคุ้ยดูมันในช่องแชท

    คลับคล้ายคลับคลาพอจะจดจำได้เลือนลางว่าเป็นเรื่องสุขภาพของคุณแต่ก็นั่นแหละ การทักแชทส่งไปหนักขวาข้างเดียวอาจไม่ควรเรียกสิ่งนั้นว่าเป็นบทสนทนา การเลือกสตอรี่เป็นส่วนตัว  การปิดกั้นการส่งข้อความในอินสตาแกรมของคุณได้เพิ่มความน้อยเนื้อต่ำใจทบเท่าทวีทำให้ฉันยกเลิกติดตามคุณ ลดความหวังดี ถอยห่างอย่างจำใจตั้งแต่ตอนนั้น คุณควรจะได้รู้ว่าทุกเกมการแข่งขัน เมื่อลงสนามเราต่างวาดหวังว่าเราจะเป็นผู้ชนะ แต่สำหรับรักข้างเดียวแล้วอีกฝายไม่ยินดีรักตอบ อย่างน้อยก็มีความเสียใจพอหลงเหลือให้ครอบครองยึดถือแต่ช่างมันเถอะผ่านมาเนิ่นนานแล้วหวังว่าคุณจะมีโอกาสพบเจอกับคนที่จริงใจสักคนในสักวัน  – ข้อความนี้ฉันบรรจงเขียนลงกระดาษแผ่นที่เขียนด้วยลายมือยืดยาว 

    ตั้งใจแนบไปกับหนังสือของขวัญวันเกิดที่ตั้งใจส่งให้เขาเป็นชิ้นแรก 

    และชิ้นสุดท้ายเมื่อปีกลาย แต่ตัดสินใจพับเก็บไว้ เลือกเขียนอีกข้อความในกระดาษอีกใบเป็นความอวยพรแทน นึกคิดกลับไปกลับเป็นเรื่องน่าขันสำหรับฉันในตอนนี้ แม้แต่การหยุดมองภาพเขียน “สะพานข้ามสระบัว” (Bridge over a Pool of Water Lilies) ก็ยังหยุดคิดถึงเขาไม่ได้



    ความรู้สึกดีที่ได้สูดดมกลิ่นไม้บ้านเก่าแต่หนหลังของโมเน่ต์ ได้เห็นภาพวาดของเจ้าของบ้านตามผนังบันไดและโถงทางเดินคือสิ่งที่ทำให้ฉันรู้สึกสงบใจอย่างบอกไม่ถูก แต่ยังมีเรื่องน่าละอายที่ฉันยังคงแบกความหวังลม ๆ แล้ง ๆ วาดฝันไว้ว่าจะมีโอกาสได้พบเจอเขาในเมืองนี้อีกครั้ง ทุกสวนที่ไปนั่งดู ทุกตรอกซอยที่เช่าจักรยานปั่นไป มันมีเขาอยู่เต็มไปหมดราวภาพลวงตาหลอนหลอกสสารที่ไม่มีวันสลาย 

    หากได้พบกันอีกฉันต้องแกล้งเก็บอาการความรู้สึกดีภายใต้ความนิ่งเฉยเย็นชาอย่างมิดชิด


    __________________


    (III)

    มันช่างดูคล้ายเป็นเรื่องบังเอิญราวกับหมากบนกระดานเกมจงใจถูกวางไว้โดยใครสักคนหนึ่ง

    ซึ่งคนนั้นไม่ใช่ฉัน แม้จะไม่ยุ่งย่ามวุ่นวายแต่ยังแอบเผลอคิดถึงเขาอยู่บ่อยครั้ง  

    ความสัมพันธ์ระนาบที่ไม่มีสิ่งใดซับซ้อนไปกว่าการแอบรักข้างเดียว เขาเป็นทุกข์ หรือกำลังมีสุขอยู่กับใคร เป็นเดือดเป็นร้อน มีชีวิตตามที่วาดฝันหวังไว้ หรือใช้ชีวิตสำราญใจกับผองเพื่อนแห่งหนไหน สิ่งเหล่านี้ผุดเกิดหกคะเมนตีลังกาปั่นป่วนรบกวนฉันเป็นหกส่วนสิบของความคิดคำนึงเกือบทุกคืนวัน แหละมีบ้างเป็นบางครั้งที่มองเห็นคนแปลกหน้าที่มีลักษณะดูละม้ายคล้ายเขา ตามแถวชำระเงินในซุปเปอร์มาร์เก็ต บ้างก็ในรถไฟฟ้าใต้ดินยามเลิกงานแล้วแอบทึกทักว่าเป็นเขา กลมกลืนผสานเกิดดับอยู่ในการดำเนินชีวิตประจำวัน แม้จะสาบดสาบานตนว่าได้ตัดใจจากเขามูฟออนได้อย่างร้อยเปอร์เซ็นต์แล้วก็ตาม 



    ด้วยความบังเอิญไม่ทันหยุดคิดวนเวียนถึงเขา Le Botanic Café ร้านเดิมเหมือนที่เคยฝันถึง 

    ภาพเสมือนจริงแตกต่างตรงที่มาพร้อมกับเด็กสาวร่างบอบบางดูอ่อนเยาว์กว่าฉัน 

    แต่งหน้าน้อยแทบดูเหมือนไม่ได้แต่งเหมือนฉันแต่ผมยาวกว่า ก้าวเข้ามาราวกับหลุดมาจากความนึกคิดเมื่อสิ้นเสียงกระดิ่งแขวนประตูบานไม้ จนต้องละวางสายตาจากต้นฉบับที่เขียนค้างไว้ในแล็ปท๊อป 

    แล้วพะยักพะเยิดลุกขึ้นยืนโบกมือทักทาย แต่การเก็บอาการไม่ให้ดูผิดปกติมันกลับไม่ง่ายดายอย่างนั้น เมื่อพวกเราสองสามคนต่างเผชิญหน้ากันอย่างจัง นอกเหนือเธอคนนั้นระหว่างฉันกับเขา 

    เราต่างฝ่ายต่างเก็บอาการความรู้สึกว่าดีใจไว้อย่างไม่แนบเนียน 

    “เป็นยังไงสบายดีไหม” / “สบายดี”


    “ยังชอบมานั่งทำงานคาเฟ่คนเดียวอยู่เหมือนเดิมเลยนะ” / “ใช่ ถ้ายังไม่เจอร้านที่คนไม่เบียดเสียดพลุกพล่าน ไม่เปิดเพลงรบกวนสมาธิเกินไป บรรยากาศดีพอจะหลบลมหนาวจากข้างนอกได้ กาแฟอร่อย และโต๊ะด้านในสุดของร้านยังว่างอยู่สำหรับที่ห่างไกลแบบนี้แน่นอนว่ามันยังเป็นร้านเดิม”  
    แม้อยากถามไถ่ว่าได้ข่าวว่าเปลี่ยนงานใหม่ ทุกอย่างราบรื่นดีไหม สารภาพว่าเอาเรื่องของเขามาใช้ในการเขียนงาน

    - - แต่ทั้งหมดฉันกลับเลือกตอบเขาผ่านรอบยิ้มจางไปแบบนั้น  



    การแนะนำตัวว่าเป็นเพื่อนรุ่นพี่คณะเดียวกับเขาคงไม่มีข้อสงสัยเคลือบแคลงใจอื่นใดของเจ้าของกระโปรงลายสก๊อตสีน้ำตาลตัวยาวคนนั้น 


    “นี่พี่ตาบูครับนุ่น” 


    “นี่น้องนุ่นครับพี่ตาบู” 


    เขาเลือกเอ่ยปากแนะนำให้รู้จักก่อนฉันปริปากถามโดยไม่สนใคร่รู้ถึงสถานะของพวกเขาแต่ก็พอจะคาดเดาได้ มีความรู้สึกผุดขึ้นท่วมท้นเต็มไปหมด ความตกใจ ประหลาดใจ ปะปนกับความรู้สึกดีใจที่ได้พบเจอ ความยินดี สลับกับความรู้สึกอิจฉา การปะทะกันระหว่างนางฟ้ากับมารร้ายโครมครามอยู่ในหัว ตีอยู่ในอก ชกอยู่ในใจ กับคำถามที่ฉันอยากถามอยากคุยกับเขานับสิบ นับร้อย แต่สิ่งเหล่านั้นถูกตกตะกอนเป็นเพียงการสูดลมหายใจลึกๆ ก่อนแนะนำว่าได้ข่าววันนี้ที่ร้านมีสโคนดอกไม้รสใหม่ที่เหมาะกับโกโก้อุ่นร้อน แต่ก็เข้ากับชินนาม่อนโรว์ อวยพรให้เป็นมื้อขนมหวานที่สุข เป็นยามบ่ายที่ดี ในโอกาสที่พวกเขามาท่องเที่ยวกันไกลแบบนี้ ฉันไม่ควรรบกวนเวลาส่วนตัวของใคร รีบดื่มกาแฟที่เหลือในแก้วแล้วรีบเก็บกระเป๋าออกมา 


    “ดีใจที่ได้พบเจอ” 



    ก่อนทุก ๆ อย่างลดสเปกตรัมของค่าสีลงเฟดจนกลายเป็นภาพเคลื่อนไหวขาวดำแล้วสลายไป

    พบว่าเป็นอีกครั้งที่ฉันฝันถึงเขาติดต่อกันราวกับว่าเรื่องที่พึ่งเกิดขึ้น

    แต่ยามสายวันอาทิตย์ ในระหว่างที่นั่งเขียนต้นฉบับท่ามกลางสภาวะอากาศอบอ้าวแถวย่านเจริญกรุงของสัปดาห์วันหยุดยาวนั้น  การบังเอิญพบเห็นเขานั่งอยู่ภายในคาเฟ่ ที่ไม่ใช่ Le Botanic Café 

    กับชายผู้มีอายุมากกว่าคล้ายกับอาจารย์ที่ฉันรู้จักในคณะ 
    ทั้งสองดูสนิทสนมและเปี่ยมสุขตรงนั้นเป็นเรื่องจริง





เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in