โพสต์นี้แค่มาบ่นโง่ ๆ เหมือนเขียนไดอารี่ (ที่ไม่เคยเขียนสำเร็จ)
วันนี้หลังจากไปเรียนภาษาอังกฤษที่สยามมา (โธ่ ชีวิตเด็ก ม.6 นี้) ก็ต้องนั่งแอร์พอร์ตลิงค์กลับเหมือนที่เคยทำมา โอเค ตามข่าวนั้นก็อาจจะทำให้รู้สึกบรึ๋ยสักหน่อยตอนที่ต้องเดินทางด้วยเจ้านี่ แต่เราไม่ค่อยแคร์อยู่แล้วเลยไม่อะไรมาก
แต่หงุดหงิดนิดหน่อย ขบวนเก่าจอดตรงพญาไทนานมากกกกกกกก พอขบวนใหม่ที่เราขึ้นกว่าจะออกก็นานมากกกกกกกกกเช่นกัน ก็คิดว่าแบบเคลียร์ทางไรงี้หรอ เวลาจะเข้าสถานีไหนรถจะแอบหยุดกึ้กเบา ๆ ด้วย ให้อารมณ์เหมือนดูก่อนว่ามีใครอยู่ตรงรางมั้ย
รีวิวบรรยากาศบนรถไฟ: เพื่อนเราที่ไปด้วยชอบไปยืนซุกอยู่ตรงมุมที่เป็นหน้าต่าง ตรงนั้นเลยกลายเป็นโพสิชั่นประจำของเราไปโดยปริยาย 'มึง จริง ๆ แล้วมันทำกูออกยาก' (แต่ก็ไม่ได้พูดออกไป) เรื่องนั้นช่างมัน โอเค เราเป็นพวกโรคจิตอย่าง คือชอบมองคนในขบวนแล้วคิดนู่นนี่ไปเรื่อยเปื่อย วันนี้จำคนได้ประมาณนึง
- เด็กเตรียมอุดมฯที่สะพายกระเป๋าโน้ตบุ้ค Samsung ซึ่งสายกระเป๋าเริ่มรุ่ยแล้ว
- พี่สาวผมสั้นคนหนึ่งที่ยืนอ่านเพชรพระอุมาในรถไฟฟ้า
- ชายอ้วนชาวต่างชาติที่ใส่แว่นและเสื้อสีส้ม
- หญิงสาวกับผมหางม้าผูกด้วยหนังยางสีฟ้า 2 เส้น
- ผู้ชายผมบลอนด์ที่เสียงทุ้มมาก
- ผู้หญิงผมบลอนด์ที่ใส่แว่น
- พี่ชายผิว 2 สีที่ไม่รู้ว่าเป็นนักศึกษาหรือทำงานแล้ว
คนที่ 5 กับ 6 นั้นมาด้วยกัน แต่เหมือนจะมีเพื่อนร่วมก๊วนอีกหนึ่ง แต่อยู่ในมุมที่มองไม่เห็น ผู้ชายแอบหล่อ (เดี๋ยว) ได้ยินเค้าพูดกันไม่มั่นใจว่าเป็นภาษารัสเซียหรือเยอรมัน แต่น่าจะเป็นเยอรมัน
คนที่ 3 กับ 4 ก็มาด้วยกัน แต่อยู่คนละมุม ผู้หญิงยืนข้างเรา ผู้ชายยืนอีกที่ เห็นเขาส่งสายตาหากันตลอด ไม่รู้เป็นแฟนกันมั้ย อาจจะใช่ก็ได้ (คนในรถไฟฟ้าเยอะทำให้เค้าแยกจากกัน! แย่จริง ๆ)
มีอยู่สถานีนึงที่มีคนเริ่มเข้ามามากขึ้นจนคนที่ 3 ต้องขยับ ปรากฏว่าแผนที่ลุงแกร่วงออกจากกระเป๋ากางเกง เราเห็นแต่ก็ทำไรไม่ได้ (กำแพงคนบัง) พี่คนที่ 7 ที่ยืนข้างลุงคนนั้นก็เห็น ซึ่งพี่เค้าก็เลิ่กลั่กพอสมควร คงไม่รู้ว่าจะบอกลุงดีมั้ยหรือกำลังสร้างประโยคภาษาอังกฤษในหัวกันแน่ แต่พอลุงเค้าขยับอีกจนแทบจะเหยียบแผนที่ พี่เค้าก็บอกไป ลุงก็แบบ โอ้ แต๊งกิ้วว เราก็เออ เป็นโมเม้นต์ที่น่ารักดีวุ้ย 555
ข้างบนเป็นเรื่องดี ๆ อีกเรื่องนึงที่อยากจะพูดเป็นเรื่องแย่ ๆ ไม่ใช่อะไร มันมีคนตดเว้ย! มันมีคนตดในรถไฟฟ้า! อื้อหือ ตอนนั้นในใจนี่คิดแบบ 'ไอ้สัสใครตดวะ!' คือกะจะฆ่าคนตรงโซนนั้นให้หมดเลยช่ะ เราพยายามทำให้ใจร่มโดยการเหลือบอ่านเพชรพระอุมาของพี่คนที่ 2 แต่เนื้อเรื่องก็ไม่เข้าหัวเลย มีแต่กลิ่นเข้าจมูกแทน กลิ่นคละคลุ้งอยู่ประมาณ 10 วินาทีก็หายไป รอดตายในที่สุด
ป.ล. พอเห็นว่าแต่ละคนมีคาร์แรคเตอร์ต่างกันทำให้นึกถึงพวกคดีก่อเหตุผู้ต้องสงสัยหลายคนเหมือนกันนะ แบบ "คดีตดในโบกี้ปิดตาย" คนร้ายมีเพียง 1 เดียว!
ป.ล. ที่ 2 ใครที่อ่านแล้วคลับคล้ายคลับคลาว่าเป็นตัวเองเท่ากับว่าเราได้เจอกันแล้ว ก็..สวัสดีค่ะ
ป.ล. ที่ 3 ....สารภาพมานะว่าใครตด!
น่าเอาไปเขียนเป็นเรื่องสั้นต่อ
คดีตดในโบกี้ปิดตาย น่าสนุกค่ะ