สวัสดีค่ะทุกคน ห่างหายกันไปนานเลย ทุกคนสบายดีกันไหมคะ?
หวังว่าช่วงนี้จะมีเรื่องที่ทำให้ทุกคนยิ้มได้บ้าง ไม่มากก็น้อยค่ะ :)
ก่อนหน้านี้เราได้มีโอกาสพูดคุยกับคน ๆ หนึ่งที่รู้สึกลัวการใช้ภาษาที่ไม่ถนัด เพราะได้เจอกับประสบการณ์ไม่ดีที่ทำให้รู้สึกอายมาค่ะ และเราก็ได้เล่าเรื่องราวบางส่วนจากประสบการณ์ที่ตัวเองเจอมาให้เขาฟังพร้อมกับให้กำลังใจเขาไป เราคิดว่าเขาดูรู้สึกดีขึ้น เลยอดคิดไม่ได้ว่าบางที เรื่องนี้อาจจะมีประโยชน์กับคนอื่นอีกก็ได้ เลยอยากลองมาเขียนเรื่องเต็มเอาไว้ในนี้ค่ะ
อย่างน้อย เราก็หวังว่าเรื่องนี้จะทำให้คุณได้รู้ว่า บางครั้ง เวลา คำพูดและรอยยิ้มเล็ก ๆ ของคุณก็อาจเป็น “ปาฏิหาริย์” ที่ยิ่งใหญ่สำหรับใครอีกคน ที่กำลังหมดหวังและต้องการมันอยู่ก็ได้
ถ้าทุกคนพร้อมแล้ว เราขอเริ่มเลยนะคะ :)
***************
กาลครั้งหนึ่ง…ซึ่งก็ไม่ได้นานเท่าไหร่
เราได้ไปเรียนปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในประเทศญี่ปุ่น และลงเรียนวิชาการภาษาญี่ปุ่นระดับที่สูงกว่าเลเวลความสามารถของตัวเองไป เพราะมีแนวคิดที่ยึดถือมาตลอดว่า “เราต้องเลือกทำในสิ่งที่ยากกว่าระดับความสามารถของตัวเอง ถึงจะเก่งขึ้นได้” และมีภาพความคิดที่ยิ่งใหญ่ว่า “หากเราอยากขึ้นที่สูง ก็ต้องปีนภูเขา ไม่ใช่เดินทางราบอย่างที่ตัวเองคุ้นเคย”
และความคิดนี้ก็พาเราไปตกหล่มอย่างแรงค่ะ เพราะสำหรับการเรียนภาษา การฝึกทักษะการฟังและพูด มันไม่เหมือนกับการฝึกทักษะการอ่าน การเขียน และการเรียนแกรมม่า
การอ่าน การเขียน และแกรมม่านั้น คุณสามารถฝึกฝน ท่องจำ และศึกษาก่อนถึงเวลาเรียนจริงได้ แต่สำหรับการฟังและพูดนั้น คุณต้องมีความรู้ด้านคำศัพท์ที่หลากหลาย ต้องแยกระดับเสียงในแต่ละคำให้ออก และต้องสามารถเข้าใจเนื้อหาได้ในทันทีที่ฟัง ถึงจะสามารถโต้ตอบกับคู่สนทนาและฝึกต่อไปได้
ในคลาสเรียนนี้ อาจารย์มักจะให้เราจับคู่แบบสุ่ม และคู่สนทนาของเราก็ไม่เคยพูดเรื่องเดียวกันเลยสักครั้ง ในตอนนั้น เลเวลภาษาญี่ปุ่นของเราอยู่ในระดับกลางที่กำลังจะไปถึงระดับสูง แต่เราลงคลาสการพูดระดับสูงไป เพราะฉะนั้น เนื้อหาที่เราคุยจึงไม่ใช่เรื่องสัพเพเหระอย่างการกินการนอน, บอกเล่าประสบการณ์, ฝึกฝนคำพูดที่ใช้ในสังคมการทำงาน หรือพูดถึงการใช้ชีวิตทั่วไป แต่เป็นเรื่องที่ใหญ่และซับซ้อน ตั้งแต่การเมือง, เทคโนโลยี, กฎหมาย, ข้อบกพร่องในระบบการศึกษา ไปจนถึงคำถามว่าควรมีพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำอยู่หรือไม่ เพราะถึงจะมีประโยชน์ในด้านการเป็นแหล่งความรู้ แต่ในอีกด้านหนึ่งก็ถือเป็นการทารุณกรรมสัตว์เช่นกัน และความจริงแล้วก็มีบางประเทศที่ทางพิพิธภัณฑ์จะซื้อสัตว์น้ำจากพวกนักล่า ซึ่งส่งผลต่อระบบนิเวศน์ด้วย
ตั้งแต่เรียนคลาสนี้ เราเตรียมตัวและอ่านหนังสือล่วงหน้าหนักมาก แต่สุดท้ายก็แทบไม่ช่วยอะไรเลย เพราะถึงเวลาก็ไปเจอหัวข้อการสนทนาที่คาดไม่ถึงอยู่ดี ก็เลยท้อมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ก็ยังสู้ค่ะ และก็มาถึงจุดที่ทำให้รู้สึกว่าไม่เอาแล้ว สู้ต่อไม่ไหวแล้ว
วันนั้นเป็นวันพรีเซนต์ อาจารย์ให้ทุกคนไปหาหัวข้อที่สามารถถกประเด็นได้มาค่ะ เราทำเกี่ยวกับเรื่อง Robot Taxi หรือแท็กซี่หุ่นยนต์ของญี่ปุ่นที่มีกำหนดจะเริ่มใช้งานในช่วงโอลิมปิกค่ะ (ที่สุดท้ายก็ไม่ได้จัดเพราะโควิด-19)
หลายคนอาจจะไม่รู้ แต่ความจริงแล้วช่วงนั้นญี่ปุ่นได้พัฒนาแท็กซี่หุ่นยนต์ขึ้นมาสำหรับงานโอลิมปิกด้วย แท็กซี่พวกนี้จะเป็นระบบอัตโนมัติ ไม่มีคนขับ ราคาถูกกว่าแท็กซี่ทั่วไป และรองรับภาษาต่างชาติอีกหลายภาษาเพื่อให้นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติสามารถเดินทางได้สะดวกค่ะ
แต่เนื่องจากเราเอามาตั้งเป็นประเด็นให้ถก เลยตั้งคำถามมาว่าคิดว่าจะดีจริงหรือไม่ เพราะถึงจะฟังดูไฮเทคและสะดวกมาก แต่ในอีกทางก็มีเรื่องของความปลอดภัย การหลงทาง การรับมือกับภัยธรรมชาติ (เช่น แผ่นดินไหว) ที่อาจเกิดขึ้นอย่างกระทันหัน อุบัติเหตุ รวมถึงเรื่องผลกระทบต่อค่าแรงคนขับแท็กซี่ในญี่ปุ่นด้วย
วันพรีเซนต์ เราตื่นเต้นมาก แต่ก็พยายามเตรียมทุกอย่างมาอย่างดี ทั้งพิมพ์สไลด์ ท่องสคริปต์ ฝึกท่องหน้ากระจกทุกวันเพื่อลดความตื่นเต้น จนรู้สึกมั่นใจมากพอว่าน่าจะผ่านมันไปได้
แต่พอถึงงานจริงก็จอดตั้งแต่สไลด์ที่สองค่ะ เพราะหนึ่งในคนฟังถามขึ้นมาว่า “ทำไมถึงใช้คำว่า Robot Taxi ? ” เราตอบไปว่าเราใช้ตามสำนักข่าวชื่อดังของญี่ปุ่นและตามที่บริษัทที่สร้างตัวรถและระบบบริการพวกนี้เรียก เขาให้นิยามมาว่าเป็นแท็กซี่ที่เคลื่อนที่ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องมีคนขับ แต่หลังจากนั้นก็โดนอีกฝ่ายแย้งว่าไม่เห็นด้วย เพราะเป็นคำที่ความหมายกำกวม คำนี้อ่านแล้วทำให้เข้าใจว่าจะมีหุ่นยนต์นั่งอยู่ในรถ ละทำหน้าที่เป็นคนขับรถค่ะ (ซึ่งก็มีเหตุผลนะ 😅 ) แต่หลังจากนั้น เขาก็เริ่มหันไปหาผู้ฟังคนอื่น ๆ แล้ววิจารณ์เรื่องการใช้คำของเราค่ะ จากที่เป็นคำที่เราพอฟังออกบ้าง จนตอนหลังเราฟังไม่ออกเลยไม่รู่ว่าพูดเรื่องอะไร แต่คนอื่น ๆ ก็หันมามองเราแปลก ๆ กัน และจังหวะที่แย่ที่สุดก็คือตอนที่เขาหันมาถามคำถามเราเกี่ยวกับสิ่งที่เขาพูดไป เรานิ่งไปสักพัก แต่สุดท้ายก็ต้องยอมรับความจริง
“ต้องขออภัยด้วยนะคะ คือคุณใช้ศัพท์ที่ฉันไม่รู้จัก ฉันก็เลยไม่เข้าใจคำถามค่ะ…พอจะขยายความให้ฟังหน่อยได้ไหมคะ?”
จากนั้นทุกอย่างก็เงียบ เพื่อนคนนั้นยิ้มอย่างผู้ชนะ หันไปหาเพื่อนคนอื่น ๆ และทำสีหน้าที่เราเห็นแล้วรู้สึกไม่สบายใจเท่าไหร่ จากนั้นเขาก็พูดอะไรสักอย่างต่อ เราก็ไม่รู้จะทำยังไง ได้แต่พยายามท่องคำสามคำสำหรับพารากราฟถัดไปในสคริปต์ เพื่อให้ไม่ลืม และสามารถพูดต่อได้ทันทีที่ต้องทำ แต่สีหน้าเราคงดูไม่ดีเท่าไหร่ และในที่สุด เพื่อนผู้ชายคนหนึ่งก็พูดขัดขึ้นมา
“อย่างน้อยก็ให้เขาได้พรีเซนต์ต่อก่อนไม่ได้หรือไง?”
“ทำไมต้องให้พรีเซนต์ต่อ แค่เมื่อกี๊ยังไม่เข้าใจคำถามเลย”
“แต่นี่เพิ่งสไลด์ที่สองเองนะ” เพื่อนผู้หญิงอีกคนหนึ่งพูดขึ้นมา “มันอาจจะมีคำตอบของสิ่งที่คุณถามอยู่ในสไลด์อื่น ๆ ก็ได้นะคะ”
จากนั้นทั้งกลุ่มก็หันไปมองเพื่อนคนนั้นพร้อมกัน เขาเลิ่กลั่ก ก่อนจะหันมามองหน้าเรา แล้วสุดท้าย ก็ยอมหยุดให้อย่างไม่เต็มใจนัก
เราเลยพรีเซนต์ต่อ จนถึงตอนตอบคำถาม ก็พยายามทวนคำถามและถามศัพท์ที่คนอื่นใช้และฉันไม่เข้าใจก่อนตอบ โชคดีที่สิ่งที่คน ๆ นั้นสงสัยเหมือนจะมีคำตอบอยู่ในสไลด์หลัง ๆ อยู่แล้ว เขาเลยไม่ได้พูดอะไรอีก (เห็นเพื่อนที่ช่วยขัดจังหวะให้
หันไปบอกว่า “นี่ไง! ที่คุณถามเมื่อกี๊น่ะ” น่ะค่ะ) และก็โชคดี ที่เพื่อนคนอื่นในกลุ่มก็ยังพอมีคนที่ใจดีอยู่บ้าง ไม่อย่างนั้นเราก็คงทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน เป็นหนึ่งในเรื่องดี ๆ ที่เรายังรู้สึกขอบคุณมาจนถึงทุกวันนี้เลยค่ะ
แต่หลังจากนั้นเราก็รู้สึกไม่มั่นใจในการใช้ภาษาญี่ปุ่นของตัวเองไปเลยค่ะ รู้สึกว่าไม่อยากยุ่งอะไรอีกแล้ว ดังนั้น พอเลิกเรียน เราก็เลยเดินไปหาอาจารย์ บอกว่าขอถอนชื่อออกจากวิชานี้
“ถอนทำไม เกิดอะไรขึ้น?”
“เลเวลนี้มันคงสูงเกินไปน่ะค่ะ หนูคงไม่ไหวจริง ๆ “ ฉันสรุปหลังจากเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้อาจารย์ฟัง
“ไม่ต้องถอนหรอก ตอนสอบน่ะ ออกแค่ในหนังสือเรียนเท่านั้นแหละ”
อาจารย์ตอบเท่านี้ แล้วก็เดินออกจากห้องไป
ส่วนเรา ก็ได้แต่คิดว่าอาจารย์ไม่เข้าใจ ตอนนี้เราหมดความมั่นใจในการใช้ภาษาไปแล้ว ไม่อยากพูดอีกแล้ว จะให้ทำยังไง
แล้วเราก็ร้องไห้ ลงบันไดเลื่อนไป น้ำตาไหลเพราะห้ามไม่อยู่ ในใจก็คิดแต่ว่า “พระเจ้าคะ หนูมาทำอะไรอยู่ที่นี่ ? ” กับ “ไม่เอาแล้ว จะไม่พูดภาษาษาญี่ปุ่นอีกแล้ว” คนที่ขึ้นบันไดเลื่อนสวนมาก็เหล่มอง บางคนก็สะกิดกันให้ดู จนเราต้องพยายามดึงผมลงมาปิดหน้า แล้วก็เดินก้มหน้าอีกสักหน่อย ช่วยได้พอสมควรเลยทีเดียว
หลังจากนั้น เราก็เดินผ่านตึกเรียนแห่งหนึ่งที่ใช้ประจำ ในนั้นมีร้านสะดวกซื้ออยู่ เราคิดว่าถ้าได้ชูครีมสักชิ้นคงรู้สึกดีขึ้น เลยเดินเข้าไป
ก่อนจะพบว่า ไม่มีชูครีม…
เอาไงล่ะทีนี้ ? เราถามตัวเอง ก่อนจะพยายามกวาดตามองไปรอบ ๆ ว่าพอจะมีอะไรที่แทนกันได้บ้างไหม…ซึ่งสุดท้ายก็ไม่มี ก็เลยเงยหน้าขึ้นถอนหายใจ ก่อนจะสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง
ตรงสุดมุมของชั้นขนมนั้น มีผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่ เธอดูมีอายุแล้ว เจ้าเนื้อนิดหน่อย ใส่แว่นตากรอบใหญ่และแต่งตัวดี ดูภูมิฐานสมวัย เธอจ้องเขม็งมาที่เรา แล้วพอเห็นว่าเราเห็นเธอเข้าแล้ว ก็เลยเดินเข้ามาทักทาย
“เรียนอยู่ที่นี่เหรอจ๊ะ ? ”
“ใช่ค่ะ” ฉันตอบไปเป็นภาษาญี่ปุ่นด้วยความเคยชิน
“เอ๊ะ! คนต่างชาติหรอกเหรอ หนูดูเหมือนคนญี่ปุ่นเลยนะ มาเรียนแลกเปลี่ยนเหรอจ๊ะ?”
“เปล่าค่ะ เรียนปริญญาโทน่ะค่ะ”
“เอ๊ะ! งั้นเหรอ เก่งมากเลยนะที่สอบเข้ามาได้ แล้วเรียนคณะไหนเหรอจ๊ะ? แล้วเราเคยเจอกันมาก่อนไหมนะ หนูดูหน้าคุ้น ๆ จังเลย”
เราไม่รู้ว่าเพราะอะไร เราถึงได้ตอบผู้หญิงคนนี้ไปทุกคำถาม อาจจะเพราะการร้อง “เอ๊ะ!” นำหน้าประโยคที่เราคิดว่าน่ารักดี หรือรอยยิ้มเป็นมิตร หรือสายตาที่เหมือนญาติผู้ใหญ่ใจดี แต่เธอก็ชวนเราคุยต่อไปเรื่อย ๆ ถามเรื่องทั่วไปที่ไม่ได้ทำให้รู้สึกอึดอัดในการตอบ จนพอฉันตอบคำถามหนึ่งของเธอจบ เธอก็เงียบ แล้วมองฉันยิ้ม ๆ ดวงตาเป็นประกาย
“หนูใช้ภาษาญี่ปุ่นได้สวยมากเลยนะ”
เราสะดุ้ง ลืมตัวไปซะสนิทเลยว่าตั้งใจจะไม่ใช้ภาษาญี่ปุ่นอีกแล้ว แล้วทันใดนั้น เราก็รู้สึกไม่มั่นใจขึ้นมาทันที
“เอ่อ ขอบคุณค่ะ…”
“เคยเรียนมาเหรอจ๊ะ ? ”
“ใช่ค่ะ ตอนเรียนปริญญาตรีที่ไทย”
“เรียนนานไหม ? ”
“สี่ปีค่ะ”
“อื้มมม” เธอส่งเสียงพร้อมรอยยิ้ม
“ ? “
“เขาสอนหนูมาดีมากเลยนะ”
… ! ! !
“สำเนียงดี เลือกใช้คำได้น่ารัก มารยาทในการพูดก็ออกมาสวยมากเลย ถ้าครูของหนูมาได้ยินคงดีใจ”
“…ขอบคุณค่ะ”
“แล้วยังเรียนภาษาญี่ปุ่นอยู่ไหม ? ”
“มีลงอยู่วิชาหนึ่งค่ะ”
“ดีแล้ว” เธอยิ้ม แล้วก้มหน้ามาใกล้ขึ้นอีกเล็กน้อย ก่อนจะจ้องลึกเข้ามาในตา “พยายามต่อไปนะ สู้ ๆ “
“…ค่ะ”
“อ้อ! ส่วนฉันเป็นอาจารย์ล่ะ ห้องทำงานอยู่ในตึกนี้เหมือนกัน ถ้ามีโอกาสก็แวะมาได้นะ อยู่ที่ชั้นสิบสี่จ้ะ แต่นี่ฉันต้องไปแล้ว ดีใจที่ได้คุยกันนะ”
แล้วจากนั้นเราก็บอกลาและโบกมือบ๊ายบายกัน มารู้สึกตัวเอาทีหลังว่าเมื่อกี๊ตอนที่คุยกับอาจารย์คนนี้ก็สดชื่นขึ้นนิดหน่อย คงเป็นเพราะท่าทางและน้ำเสียงอันร่าเริงของเธอ
แต่เราก็อดคิดไม่ได้ค่ะ ว่านี่เป็นกำลังใจจากพระเจ้า เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นในห้องเรียน แม้แต่อาจารย์และเพื่อนกลุ่มอื่นที่อยู่ในห้องด้วยกันก็ยังไม่รับรู้ และความคิดที่จะยอมแพ้ก็ดังอยู่แค่ในใจของเรา ไม่มีทางที่จะมีใครมารู้ได้เลย
การที่อยู่ดี ๆ เราก็ได้พบกับคนแปลกหน้าที่ยืนจ้องเราอยู่นานเพียงเพราะคิดว่าเราดูหน้าคุ้น ๆ
การที่อยู่ดี ๆ ก็ถูกสถานการณ์ดึงให้ต้องพูดภาษาญี่ปุ่นออกมาทั้ง ๆ ที่ตั้งใจว่าจะไม่พูดอีกแล้ว
และการที่ได้รับคำชมเกี่ยวกับการเลือกใช้คำที่เพิ่งโดนวิจารณ์มาหมาด ๆ พร้อมกับคำให้กำลังใจสั้น ๆ และรอยยิ้มที่อบอุ่นใจดีที่เราไม่รู้ตัวเลยว่าเป็นสิ่งที่เรากำลังต้องการอยู่ในเวลานั้น
เหตุการณ์นี้ทำให้เรารู้สึกเหมือนได้ยินคำนี้จากพระเจ้าค่ะ
“ก็ทำได้ดีออกนี่นา อย่าเพิ่งยอมแพ้สิ มีคนที่ภูมิใจในตัวเธออยู่นะ”
สุดท้ายวันนั้นเราก็ไม่อยากได้ชูครีมแล้ว เรารีบเดินกลับบ้าน และพอถึงห้องก็ร้องไห้ออกมาทันที แต่น้ำตาที่ไหลออกมานั้น ก็ไม่ใช่น้ำตาที่เกิดจากความเศร้าอีกแล้ว เพราะเราได้รับรู้ถึงความรักความใส่ใจจากพระเจ้า ได้รู้ว่าพระองค์เฝ้าดูเราอยู่เสมอ และจะไม่นิ่งเฉยในวันที่เรารู้สึกทัอแท้ หวาดกลัว หรือหมดกำลังใจ พระเจ้าได้ยินทุกเสียงที่อยู่ในใจของเรา ถึงแม้เราจะไม่ได้อธิษฐานออกมาเป็นคำก็ตาม และพระองค์ก็รู้ดีเสมอว่าต้องใช้อะไรถึงจะทำให้เราหยุดร้องไห้และกลับมายิ้มได้อีกครั้ง และถึงแม้ว่าบางครั้งพระเจ้าจะทำให้น้ำตาเราหยุดไหลไม่ได้ แต่พระเจ้าก็จะเปลี่ยนความหมายในน้ำตาเหล่านั้นให้มันไม่ได้ขมอย่างที่มันเคยเป็น
น้ำตาของเราในวันนั้นก็เต็มไปด้วยคำขอบคุณ ทั้งต่อพระเจ้า อาจารย์ และเพื่อน ๆ เลยเหมือนกันค่ะ
(เผื่อคุณคนอ่านจะอยากรู้ สุดท้ายเราก็ไม่ได้ถอนวิชานี้นะคะ แต่ฮึบสู้แล้วท่องไปทุกตัวอักษรในบทที่อาจารย์บอกว่าจะออกสอบเลย แล้วก็จบมาพร้อมกับคะแนนสวย ๆ ค่ะ 👍✨)
ถ้าวันนี้คุณคนอ่านของเรากำลังรู้สึกท้อกับอะไรบางอย่างอยู่ และเปิดมาเจอบทความนี้พอดี คำพูดข้างบนนี้ก็อาจจะเป็นอีกหนึ่งกำลังใจที่ส่งผ่านเราไปถึงคุณก็ได้นะคะ :)
บางครั้ง เราอาจจะรู้สึกว่าสิ่งที่ตัวเองทำอยู่นั้นดีไม่พอ และอาจได้รับคำวิจารณ์ที่กดเราจนแทบจะจมดิน แต่อย่างน้อยก็ยังมีอีกคนหนึ่งที่เห็นคุณค่าในความพยายามและความตั้งใจดีของคุณอยู่ ดังนั้น ไม่ว่าผลงานที่ได้จะออกมาเป็นยังไง หรือใครจะพูดอะไร ก็อย่าลืมภูมิใจในตัวเองและขอบคุณตัวเองกันด้วยนะคะ
***************
ส่วนสิ่งที่เราได้เรียนรู้จากสถานการณ์นี้ ที่เราเอาไปแบ่งปันให้กับคนที่มาปรึกษาเรา มีตามนี้ค่ะ
1. เราอาจจะไม่สามารถลืมเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้ แต่สักวัน มันจะไม่มีความหมายอะไรกับเราอีก พอเรานึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในตอนนั้น เราก็จะไม่รู้สึกอะไรนอกจากขอบคุณ ที่คน ๆ นั้นเป็นแค่คนอีกคนที่ผ่านมาและผ่านไปในชีวิตของเรา ไม่ได้อยู่เป็นเพื่อนหรือคนใกล้ตัวที่จะพูดจาให้เราต้องเจ็บช้ำน้ำใจอีก
2. ถ้ามีใครมาเยาะเย้ยล้อเลียนเราเวลาที่เราใช้ภาษาผิด ก็อาจจะเป็นเพราะตัวเขาเองยังไม่ได้ฝึกภาษาอย่างจริงจัง เพราะคนที่ฝึกภาษามามากย่อมจะเข้าใจดี ว่าความผิดพลาดเหล่านี้เป็นเรื่องธรรมดา (โดยเฉพาะสำหรับมือใหม่ค่ะ)
3. การใช้ภาษา ต้องฝึกอย่างต่อเนื่อง และถ้าจะลงเรียนวิชาเกี่ยวกับการฟังและการพูด ก็ควรเริ่มต้นจากระดับที่ตัวเองสามารถเข้าใจได้ และพอจะโต้ตอบได้ เพื่อให้เราสามารถฝึกฝนให้คล่องก่อนที่จะขยับไปยังเลเวลที่สูงขึ้น
4. ถ้าเปรียบเทียบการพรีเซนต์เป็นเวที เวทีนี้ก็เป็นของเรา และถ้ามีใครพยายามจะแย่งไป เราก็ต้องหาจังหวะเอาคืนมาอย่างนิ่มนวลให้ได้ เพราะงานนี้ถือเป็นความรับผิดชอบของเราที่ต้องพรีเซนต์ให้ครบถ้วนค่ะ
5. สิ่งที่ทำมาดีแล้ว ก็ทำต่อไป บางครั้งเราอาจจะไม่ได้เจอกับสถานการณ์ที่มีคนใจดีทุกคน แต่หลายครั้ง เราจะได้พบกับ ‘บางคน’ ที่ใจดีเสมอค่ะ
เราเพิ่งเคยเขียนเล่าประสบการณ์สั้น ๆ แบบเล่าไปเรื่อย ๆ แบบนี้เป็นครั้งแรก ยังไงถ้าใครมีคอมเมนต์หรือคำแนะนำอะไร ก็สามารถพิมพ์บอกกันได้นะคะ หรืออ่านแล้วมีเรื่องราวที่อยากแบ่งปันบ้างก็สามารถเล่ามาได้ด้วยเหมือนกัน ถ้าคุณอยากเล่า เราก็อยากฟังค่ะ :)
สุดท้ายนี้ ขอให้ทุกคนได้พักผ่อนกันอย่างเต็มอิ่ม หลับสบายฝันดี และได้ตื่นมาพบกับเช้าวันใหม่ที่สดใสและน่าจดจำนะคะ 🧸❤️
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in