BGM: ขอใครสักคน by ลีโอ พุฒ
“เปิดประตูให้จี๊ดเถอะนะพี่ออม”
“ถ้าจี๊ดเห็นว่าพี่ไม่ร้องไห้หรือพี่ไม่รู้สึกอะไรจริงๆจี๊ดจะไม่มาให้พี่เห็นหน้าอีกเลย”
เสียงที่คุ้นเคยแทรกตัวผ่านผนังประตูเข้ามาเบาๆแต่ทว่าเขากลับได้ยินมันแจ่มชัดเสียเหลือเกินเสียงที่ครั้งหนึ่งเขาเคยได้ยินทุกเช้าสายบ่ายเย็นเสียงที่ครั้งหนึ่งเคยออดอ้อนอ่อนหวาน และเสียงเดียวกันนี้เองที่บางครั้งเคยเปล่งถ้อยคำผรุสวาทบาดหัวใจเขาจนเลือดซิบมาแล้ว
แต่ว่า...ตอนนี้ขณะนี้ วินาที เสียงนั้นที่เขาสัมผัสได้คือความเศร้าโศกระทมอย่างที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนเขานึกในใจ พี่จะเปิดประตูไปเจอในสภาพนี้ได้ยังไงสภาพที่น้ำตาไหลออกมาอย่างห้ามไม่ได้ แม้ว่าจะพยายามห้ามมันด้วยการหยิกตัวเองก็แล้วบีบมือตัวเองก็แล้ว มันก็ยังไม่ยอมหยุด จนมาถึงขั้นที่รุนแรงกว่านั้นคือตบหน้าตัวเองให้หยุด มันก็ยังไม่ยอมหยุด นี่เป็นสิ่งที่เขาก็ไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้กับตัวเอง
ดูเหมือนว่าการห้ามไม่ให้ตัวเองร้องไห้เท่าไรก็เหมือนยิ่งยุให้ต่อมน้ำตาล้อเล่นกับจิตใจเขามากเท่านั้น อลงกรณ์ ชายหนุ่มวัย 33 ปีเต็มกำลังยืนพิงประตูอย่างหมดอาลัยตายอยาก
มีคนบอกว่ามนุษย์จะอ่อนแอที่สุดในเวลาที่ป่วย ทั้งร่างกายและจิตใจของคนเรามันสัมพันธ์กันอย่างแนบแน่นเมื่อไหร่ที่ใจพังแหลกสลายไม่เป็นท่าแม้ร่างกายสบายดีก็ดูเหมือนจะเจ็บปวดไปทั่วสรรพางค์กายแล้วเขาล่ะนอกจากสภาพจิตใจจะแกว่งไกว อ่อนไหว และพังยับเยิน สภาพร่างกายก็ยังดูอ่อนแอลงไปทุกที ความอ่อนแอที่มีจึงก่อตัวทบเท่าทวีกลายเป็นหอคอยที่ครอบเขาไว้อย่างสลัดไม่ออก
แม้ว่าโรคที่เป็นอยู่หมอและใครต่อใครจะพยายามปลอบใจว่ามีทางรักษาให้หายขาดแต่ถ้าหากใครไม่มาป่วยเองคงไม่เข้าใจว่าสิ่งที่ผู้ป่วยกลัวที่สุดคือความกลัว “ในสิ่งที่มองไม่เห็น” ความหวาดหวั่นเริ่มเข้ามาเป็นเพื่อนสนิทที่ไม่ว่าไปที่ไหนเมื่อไหร่เป็นต้องเจอ
หลังจากยืนที่หน้าประตูเป็นเวลานานร่างผอมเพรียวที่บางทีตอนนี้อาจใช้คำว่า “กะหร่อง” อธิบายสภาพได้ดีที่สุดค่อยๆหย่อนกายลงนั่งพิงประตู เสียงคุ้นเคยนั้นเงียบไปแล้วพร้อมกับเสียงเดินกุบกับๆที่ค่อยห่างออกไปเรื่อยๆ
“จี๊ดคงกลับไปแล้ว”
เขาถอนหายใจเบาๆพร้อมกับกะพริบตาไล่น้ำตาที่เกาะอยู่บนแพขนตาสวยนั้นโครงหน้าคมสันแม้จะดูซูบลงไปบ้างแต่ความคมเข้มยังอยู่ ก่อนจะใช้มือเรียวบีบจมูกที่โด่งเป็นสันพองามความพยายามในการสลายน้ำตาเริ่มได้ผล ปากบางเม้มเข้าหากัน ก่อนจะปิดเปลือกตาลงอย่างอ่อนล้า
สิ่งที่เขาคิดได้ในตอนนี้คือเขาไม่แปลกใจหรอกที่จี๊ดจะกลับไป นิสัยจี๊ดไม่ชอบรออะไรนานๆ ยิ่งเรื่องง้อจี๊ดไม่เคยง้อเขาได้เกินครึ่งวันและท้ายที่สุดแทบจะทุกครั้งก็เป็นตัวเขานั่นล่ะที่ต้องไปง้อแทน นึกถึงข้อนี้แทนที่จะเหนื่อยใจแต่ไฉนกลับปรากฏรอยยิ้มบางๆระบายขึ้นที่ใบหน้านั้น ความรักเป็นความรู้สึกที่ซับซ้อนยิ่งกว่าเขาวงกตซับซ้อนยิ่งกว่าแผนที่ใดๆในโลกหน้า เราสามารถเศร้า ยิ้ม และตลกกับเหตุการณ์เดียวสลับไปมาได้อย่างน่าพิศวง
เขาไม่แน่ใจว่านี่เป็นแผนการของไอ้อุเพื่อนรักหรือไม่เพราะอยู่ๆอุก็บอกว่ามีธุระด่วน ขอออกไปข้างนอกสักพักหลังจากเจ้าเพื่อนยากออกไปไม่นานก็ปรากเสียงของคนรัก ไม่สิ “อดีตคนรัก” ที่เขาเป็นคนเพิ่มคำขยายข้างหน้าให้ด้วยตัวเอง
ความรักของเขากับจี๊ดเป็นเรื่องที่เขาประจักษ์แก่ใจอยู่แล้วว่าเขาเป็นฝ่ายที่รักก่อนและรักมากกว่า และนั่นเป็น “เงื่อนไข”ที่เข้ารู้ซึ้งดีกว่าใคร...
สารพันความคิดวนเวียนในหัวก่อนที่เข้าจะค่อยๆดึงตัวลุกขึ้นยืนและจับที่ลูกบิดประตูอีกครั้งก่อนจะตัดสินใจเปิดออกไปข้างนอกเขาไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าในเมื่อดูเหมือนว่าจี๊ดจะกลับไปแล้ว ทำไมถึงต้องเปิดประตูออกไปอีกบางทีลึกๆแล้วเขาเองก็ “คาดหวัง” อยากให้จี๊ดอยู่
อยากให้เธอเป็นฝ่ายรอพี่บ้าง
แกร่ก!
ทันทีที่เปิดออกไปมองไปทางด้านซ้ายไม่พบสิ่งใด อืมมม จี๊ดคงไปแล้วจริงๆ กำลังจะดันประตูปิดเข้ามาแต่แล้วเมื่อกวาดสายตาไปทางด้านขวา เขาก็พบใครบางคนนั่งจ๋องอยู่ด้วยการเอาหน้าซบลงบนหัวเข่า เมื่อได้ยินเสียง ร่างเล็กนั้นค่อยๆเงยหน้าขึ้นมา แวบหนึ่งที่ได้สบตากันความรู้สึกบางอย่างแล่นปรี๊ดมาที่หัวใจของทั้งคู่ เขาไล่สายตาไปก็พบว่าดวงหน้านั้นดูขาวซีดและมีคราบน้ำตาเปรอะเปื้อนเต็มไปหมด
“พี่ออม!” ร่างน้อยนั้นดูเหมือนเพิ่งได้สติ กายสะดุ้งโหยงยืนขึ้นพร้อมกับเปล่งเสียงออกมาอย่างตกใจ
“จี๊ด...”ออมเรียกชื่อคนข้างหน้าออกมาด้วยเสียงแผ่วเบา
“พี่นึกว่าจี๊ดกลับไปแล้วซะอีกทำไมยังอยู่ มันดึกมากแล้วนะ”
ไร้เสียงตอบรับใดๆเจ้าของวงหน้าสวยหวานที่ตอนนี้แดงก่ำไปหมดมองหน้าเขาด้วยแววตาที่เขาก็ไม่สามารถอธิบายได้มันเป็นแววตาของความรักบ้างไหมนะ หรือมันจะเป็นแววตาของความรู้สึกผิดแต่อีกขณะเขาก็สัมผัสได้ว่ามันเป็นแววตาแห่งความถวิลหา และถ้าไม่เข้าข้างตัวเองมากเกินไปมันมีความอาทรอยู่ในนั้นด้วย
ตากลมโตสวยนั่นดูเหมือนจะแดงช้ำจากการร้องไห้อย่างหนักผมเผ้าที่ปกติจะดูอยู่ทรงและเซ็ทตัวสวยงามตลอดกลับยุ่งเหยิงแปลกตาไป ยังไม่ทันจะคิดอะไรต่อไป อยู่ๆเขาก็รู้สึกถึงสัมผัสนุ่มๆที่หน้าอก ลมหายใจอุ่นๆที่รดมาที่ช่วงอกได้ทำเอาเขาวาบไปทั้งร่าง กลิ่นหอมจากร่างเล็กนั้นปะทะจมูกเบาๆ สองมือน้อยๆดูเหมือนจะรัดร่างสูงเพรียวของเขาแน่นขึ้นทุกที
แม้จะพยายามห้ามใจ...แต่สองมือของเขากลับไม่เชื่อฟังเอาเสียเลยแขนเรียวแกร่งค่อยๆยื่นออกไปประสานกอดร่างเล็กนั่นอย่างไม่รู้ตัว
มันเป็นช่างอ้อมกอดที่อบอุ่นที่สุดในโลกเลย
ออมรู้สึกอย่างนั้น
โลกว่างเปล่าสีทึมเทาของออมกำลังถูกระบายให้สว่างใสขึ้นจากแค่เพียงอ้อมกอดของคนที่เขารักและแม้จะไม่มั่นใจนักว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกแบบเดียวกันหรือไม่แต่สัมผัสที่ทาบรัดอยู่ในคราวนี้เขารู้สึกได้ว่า “มันต่างไป” จากทุกครั้ง
เนิ่นนานจนเข็มสั้นของนาฬิกาชี้ไปที่เลขสามสองร่างเคลื่อนตัวเข้ามาอยู่ในบนโซฟาในห้องที่มีแค่ไฟสีนวลส่องพอให้เห็นทาง เจ้าของร่างเล็กยังกอดเขาไม่ปล่อยและซบอยู่อย่างนั้น บทสนทนาในความเงียบดำเนินไปในความสลัวลาง
แทนคำถามที่ว่า“พี่ออมเป็นยังไงบ้าง” จี๊ดใช้ภาษากายถามเขาด้วยการใช้นิ้วป้อมไล้มาที่หน้าผากคิ้ว สันกราม ก่อนจะมาหยุดอยู่ที่แก้มด้านซ้ายที่ๆมีกลุ่มสาวสามดวงอยู่ นิ้วน้อยๆไล้เบาๆด้วยความรู้สึก ทะนุถนอมก่อนจะประทับกลีบบากนิ่มลงบนกลุ่มดาวนั้น
น้ำตาของเขารื้นขึ้นมาอีกครั้งอย่างไม่ได้ตั้งใจและดูเหมือนว่าเขาจะห้ามมันไมได้อีกแล้วสัมผัสอ่อนโยนเป็นตัวเร่งเร้าปฏิกิริยาของต่อมน้ำตา
เขาสะอื้นขึ้นมาเฮือกหนึ่ง ตอนนี้เขาควบคุมหัวใจและร่างกายไม่ได้อีกแล้วน้ำตาอุ่นๆกำลังไหลลงมาจากนัยน์ตาเข้มอย่างควบคุมไม่ได้ และก่อนที่เขาจะรู้สึกอะไรไปมากกว่านี้ จูบที่สองของวันก็เข้ามาซับน้ำตาที่กำลังไหลด้วยความอ่อนโยน
ลมหายใจต่อลมหายใจปะทะกัน
“จี๊ด…”
“พี่ออมตอนนี้ไม่ต้องคิดไม่ต้องพูดอะไร ยังไม่ต้องตอบอะไรก็ได้”
“ถ้ามันยากก็ไม่ต้องคิด แค่พี่ยอมเปิดประตูออกมามันก็ดีแค่ไหนแล้ว”
ในเวลาที่เรายากลำบากที่สุดในวันที่ฟ้าหม่น ในวันที่ฝนกระหน่ำ การมีแค่ใครสักคนและใครคนนั้นก็เป็น “คนพิเศษ” อยู่ข้างๆ มันเป็นสิ่งที่วิเศษที่สุดแล้ว
“พี่ออมให้โอกาสจี๊ดอีกครั้งได้ไหม”
เขาไม่แน่ใจว่าจะตอบคำถามที่จี๊ดถามเขายังไงดี เขาไม่แน่ใจว่าคนคนนี้จะทนรับสภาพปัญหาต่างๆที่อาจจะถาโถมเข้ามาอีกในอนาคตอันใกล้ได้หรือไม่ อันที่จริงเข้าก็ไม่แน่ใจกับทุกสิ่งทุกอย่างตั้งแต่วันที่รู้ผลการตรวจวันนั้นแล้ว
ก้มลงมองเจ้าตัวแสบที่ตอนนี้นอนหนุนตักเขาดูเหมือนลมหายใจเริ่มสม่ำเสมอ ร่างน้อยผล็อยหลับไปโดยที่ยังไม่ได้ฟังคำตอบแต่มือน้อยยังเกาะเกี่ยวมือของเขาไว้ไม่ยอมคลาย เขาไม่แน่ใจว่าคำตอบของเขาที่มีให้กับคนบนตักจะนำพาเขาไปสู่นรกหรือสวรรค์แต่ที่รู้ๆคือเขาตัดสินใจไปแล้วนับตั้งแต่รู้ว่าเจ้าของมือน้อยนี้อยู่ที่หน้าประตู
แทนคำตอบใดๆที่มันยากเย็นเกินจะเอื้อนเอ่ยเป็นวาจา ริมฝีปากบางของเขาก็ค่อยๆทาบซับลงบนหน้าผากมนอย่างแผ่วเบาทว่าหนักแน่นในความรู้สึกรอยยิ้มเจ้าของหน้าผากโค้งมนสวยระบายน้อยๆ และเขารู้สึกได้ถึงแรงบีบเบาๆของมือนั่น
บางทีแสงสว่างในอุโมงค์มืดอาจจะไม่ต้องออกไปหาในที่ไกลๆเพราะมันอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว
ตรงนี้นี่เอง
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in