เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
The Sound of New ZealandBANLUEBOOKS
01: ‘INTRO TO NEW ZEALAND’
  • ชีวิตก็เหมือนเพลงบทหนึ่ง…

    แม้บทเพลงบนโลกใบนี้จะมีจำนวนมากมายมหาศาล แต่หากวิเคราะห์กันให้ดี เนื้อหาของมันมิได้มีความแปลกแหวกแนวกันมากนัก ส่วนใหญ่ก็หนีไม่พ้นเรื่องความรักความสมหวังผิดหวังคละเคล้ากันไป แต่เนื้อหาของเพลงแม้จะซ้ำกันอย่างไร แต่ละบทเพลงก็ยังมีความไพเราะเฉพาะตัว

    นั่นเป็นเพราะท่วงทำนองและจังหวะที่แตกต่างกันทำให้เกิดเป็นความหลากหลายทางศิลปะขึ้นมา ชีวิตคนก็เช่นเดียวกัน ถ้าไม่นับการเกิดแก่เจ็บตายที่มนุษย์ทุกคนต้องเผชิญในบางช่วง 

    ชีวิตของเราอาจไปซ้ำซ้อนกับของใครอีกหลายล้านคนบนโลกใบนี้ ไม่ว่าจะเป็นลักษณะการทำงาน การเดินทาง สิ่งแวดล้อมรอบตัว ที่เหมือนกันโดยบังเอิญ

    แต่สิ่งที่ทำให้เราแตกต่างจากคนอื่นก็คือ รูปแบบการใช้ชีวิตที่ทำให้เกิดจังหวะและทำนองส่วนตัวขึ้นมา เกิดเป็นเพลงใหม่ให้กับโลกเช่นเดียวกับบทเพลงการเดินทางนี้ของผม ที่แม้เนื้อหาอาจจะมีซ้ำ แต่ก็ผ่านการเรียบเรียงสกัดเพื่อเอาความไพเราะในรูปแบบของตัวเองออกมา และนับจากนี้ไป คุณกำลังจะได้ฟังบทเพลงพิเศษของผมด้วยตัวของคุณเอง
  • Intro / C / Em / F / G7 / (2 times)

    บทเพลงเริ่มต้นด้วยการลืมตาตื่นฟื้นสติของผม บนเตียงในห้องห้องหนึ่ง ภาพแรกที่เห็นเป็นเพดานผิวเรียบขาวธรรมดา ไร้ลวดลายพิสดารที่ชวนให้ประทับใจ ผนังห้องด้านขวามือมีหน้าต่างบานหนึ่ง อยู่ตรงกับตำแหน่งศีรษะของผมพอดี แสงสว่างเล็ดลอดผ่านช่องระหว่างผ้าม่านสีฟ้าพาสเทลเข้ามาในห้อง แสงน้อยนิดแต่ก็มากพอจะทำให้ผมต้องหยีตา

    ผมพลิกตัวหันหลังให้แสง ดึงผ้านวมขึ้นมาคลุมศีรษะ ขดงอตัว อยู่ในท่าทารกในครรภ์มารดา ดำดิ่งลงไปในจิตสำนึกถามตัวเองว่า ตอนนี้เราอยู่ที่ไหน

    นึกออกแล้ว! ตอนนี้ผมไม่ได้อยู่ที่ประเทศไทย ผมเดินทางข้ามเส้นเวลามาทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ มายังดินแดนแห่งท้องฟ้า ทะเลสาบและแกะแห่งนี้

    ...ประเทศนิวซีแลนด์...

    จำได้ว่า เมื่อวานนี้ ผมยังวุ่นวายอยู่กับงานมากมายก่ายกองแทบจะเป็นบ้า แต่ตอนนี้ บรรยากาศแบบนั้นจางหายไปหมด มันเงียบสงบจนน่าประหลาด ทั้งๆ ที่จากช่วงเวลานั้น จนถึงตอนนี้ เวลาต่างกันเพียงไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น

    ก่อนจะเล่าถึงประสบการณ์ที่นิวซีแลนด์ ผมต้องขอแนะนำผู้ร่วมทริปในครั้งนี้เสียก่อน... กลุ่มของเราประกอบด้วยสมาชิกสี่คน ผมเป็นผู้ชายเพียงคนเดียว ที่เหลือเป็นสาวๆ สามคน เพื่อนที่รู้ว่าผมเดินทางมาเที่ยวกับพวกเธอล้วนแต่อิจฉา พวกมันบอกว่า มาเที่ยวแบบนี้ เหมือนพล็อตนิยายรักข้ามชาติสี่เส้าเคล้าน้ำตา รับรองจบทริปนี้ต้องมีคู่รักคู่ใหม่ หรือดีไม่ดี อาจจะมีโศกนาฏกรรม ประเภทหญิงรักหญิงและมีหนึ่งชายเป็นนายอิจฉาเกิดขึ้นมาแน่นอน

    “ไม่มีทางเลย รู้จักกันมานาน ถ้าจะมีความรู้สึกอะไรพิเศษ มันมีไปนานแล้ว” ผมบอกพวกเพื่อนๆ ที่แซว เพราะพวกมันก็รู้จักสามสาวที่ไปกับผมดี เราเรียนมัธยมมาด้วยกัน เที่ยวเล่นกินนอนมาด้วยกัน เรียกว่าเป็นพี่น้องเลยก็ไม่ผิด

    ‘พัด’ เจ๊ใหญ่ประจำกลุ่มเป็นหัวหน้าทัวร์ในครั้งนี้ เธอเป็นคนติดต่อที่พัก จัดวางโปรแกรมทุกอย่าง จนถือได้ว่า เป็นมารดาแห่งการท่องเที่ยวนิวซีแลนด์ ไม่มีพัด ทริปนี้ล่ม บอกเลย

    ‘ปู’ สาวห้าวอารมณ์ติสต์ รักการถ่ายรูปและวงบอดี้สแลมเป็นชีวิตจิตใจ เธอแต่งตัวไว้ผมยาวคล้ายพี่ตูน บอดี้สแลม ตอนนี้พยายามปลูกหนวดเคราอยู่ด้วยการใช้น้ำมันแขกจากอาบังข้างบ้านมาทารอบริมฝีปากและขอบคาง เธอทำหน้าที่ผู้สื่อข่าวคอยอัปรูปของพวกเราลงเฟซบุ๊กอินสตาแกรมเป็นระยะ

    ‘รุ่ง’ สาวหวานรักโลก จิตใจอ่อนโยน รักการชิมและช้อปเป็นที่สุด แม้จะมีลุคกุลสตรี แต่วงแขนของเธอใหญ่กว่าผมซะอีก เพราะเธอต้องหิ้วแบกของเวลาชอปปิ้ง เธอจึงต้องเข้าฟิตเนสเพาะกายเป็นประจำ เพื่อสร้างความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อ ฉายาของเธอคือ ‘รุ่งทิวา ศิษย์ประภาสยิม’ นี่ล่ะครับ แต่ละคนที่มาด้วย ธรรมดาซะที่ไหน รับรองว่าไม่มีนิยายรักหวานซึ้งแน่นอน ถ้าจะมีก็เป็นประเภท ทาสชายในนิวซีแลนด์ ที่ถูกแม่มดใจร้ายสามตนรังแกมากกว่า

    พวกเราเลือกมาประเทศนี้เพราะต้องการเสพธรรมชาติอันบริสุทธิ์ จึงเจาะจงมาที่เกาะใต้ด้วยมติเอกฉันท์

  • ในวันแรก... พวกเราต้องสาละวนกับการเดินทางยกใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางออกจากไทย การรอเปลี่ยนเครื่องที่ออสเตรเลีย การเผชิญกับความเบื่อหน่ายจากการนั่งนิ่งบนเครื่อง และที่วุ่นวายที่สุดคือการผจญกับด่านตรวจคนเข้าเมืองที่เข้มข้นสุดขีดที่นิวซีแลนด์

    เนื่องจากที่นี่ให้ความสำคัญกับความสะอาดและสุขอนามัยมาก คงกลัวว่าชาวต่างชาติจะลักลอบนำของแปลกประหลาดเข้ามาปนเปื้อนทำให้เกิดการแพร่กระจายของเชื้อโรคในประเทศของเขา จึงมีการตรวจสอบที่ละเอียดแบบที่ผมไม่เคยเจอมาก่อน

    ข้าวของที่เตรียมไป พวกเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มไม่ค่อยมีปัญหา 

    แต่สัมภาระจำพวกอาหารถือว่าเป็นสิ่งของที่ต้องสำแดง ต้องตรวจอย่างละเอียดเพื่อความปลอดภัย ซึ่งการต่อแถวก็กินเวลานานมากเนื่องจากนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่มาที่นี่ ล้วนต้องการประกอบอาหารกันเองทั้งสิ้น จึงมีสัมภาระมหาศาล กว่าจะถึงกลุ่มของเราก็กินเวลาเกือบหนึ่งชั่วโมง

    เราเปิดกระเป๋าอาหารแสดงทุกสิ่งอย่าง ไม่ว่าจะเป็น

    มาม่าหลากรส ข้าวสารทั้งผิวขาวผิวม่วง ปลาและหอยกระป๋อง เครื่องแกงกระป๋อง วุ้นเส้น ซีอิ๊ว น้ำปลา ซอสปรุงรส และอื่นๆ อีกมากมายที่ถูกหยิบออกมาเรียงเป็นแถว เพื่อรอเจ้าหน้าที่มาตรวจเช็ก สิ่งไหนที่มีภาษาอังกฤษเขียนกำกับอยู่ก็ผ่านสายตาไปโดยง่าย แต่ถ้าเป็นสินค้าโอทอปที่มีเพียงภาษาไทยกำกับ เช่น กล้วยตาก กาละแม น้ำพริกตาแดง มะขาม กุ้งเสียบ เราก็ต้องมายืนแจงส่วนประกอบวัตถุดิบสรรพคุณ จนเป็นที่พอใจของท่านเจ้าหน้าที่ จึงจะเก็บเจ้าพวกนี้เข้ากระเป๋าได้

    ดูท่าทางเจ้าหน้าที่จะมีความสุขมากเวลาได้ตรวจสอบข้าวของที่นำมาจากเมืองไทย เพราะมักจะมีของแปลก ที่สร้างความตื่นตาควบคู่กับความประหลาดใจให้กับพวกเขาอยู่หลายครั้ง ประมาณว่า ของแบบนี้ก็มีคนกินด้วยรึ เสียดายที่เราไม่ได้เอาพวกกิ้งก่า ปลาร้า งู กบ ไปด้วย มันคงเป็นประสบการณ์ที่ดีสำหรับท่านผู้ตรวจเหล่านี้

    แม้จะเตรียมตัวมารัดกุมขนาดไหน แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถผ่านด่านหฤโหด รักษาอาหารแห้งของเราได้ครบทุกชิ้น สินค้าของเราผ่านการคัดตัวให้เข้าประเทศได้เพียง 99% เท่านั้น ผู้ตกรอบ 1% ที่จากเราไปคือ เต้าหู้ไข่ 2 กระป๋องที่ถูกโยนทิ้งถังขยะอย่างไร้เยื่อใย ด้วยเหตุผลที่ว่าในเต้าหู้มีส่วนผสมของไข่เกิน 5% ซึ่งมากกว่ามาตรฐานที่กำหนดไว้

    เห็นไหมครับว่าเจ้าหน้าที่ที่นี่ละเอียดมากๆ ไม่มีการอะลุ่มอล่วยยอมความกันง่ายๆ

    นี่เป็นเพียงเรื่องเดียวในสนามบินที่ผมจำได้เด่นชัด นอกนั้นก็เป็นประเพณีการยืนรอกระเป๋าและสัมภาระการต่อแถวเข้าห้องน้ำในสนามบิน ซึ่งไม่ว่าจะเดินทางไปที่ไหนประเทศใดก็ล้วนไม่แตกต่างกัน
  • “ประเทศนี้มีชนเผ่าพื้นเมืองเป็นชาวเมารี (Maori) และมีชื่อเดิมว่าเอาเตอารัว (Aotearoa) แปลว่า ‘ดินแดนแห่งเมฆยาวสีขาว’ ที่นี่ประกอบด้วยเกาะใหญ่สองเกาะ คือ เกาะเหนือกับเกาะใต้ และมีเกาะย่อยๆ อีกจำนวนหนึ่ง ว่ากันว่าประเทศในยุโรปประเทศแรกที่มาพบที่นี่คือ นักเดินเรือชาวดัตช์ชื่อ ทวิน เจดด้า เปตโต้ (Twin Jadda Phetto) และได้ตั้งชื่อที่นี่ว่า นิวซีแลนด์ (New Zealand) จากนั้นดินแดนแห่งนี้ก็โด่งดังไปทั่วยุโรปในเรื่องความงดงามของธรรมชาติ จนกัปตัน เจมส์ คุก (James Cook) แห่งราชอาณาจักรอังกฤษได้เดินทางมาเยือนและมีการติดต่อเจริญสัมพันธไมตรีกัน จนกระทั่งที่นี่ได้กลายเป็นประเทศในอาณานิคมของอังกฤษด้วยสนธิสัญญาไวทังกิ (Treaty of Waitangi) เมื่อปี ค.ศ. 2383” พัดอธิบายเป็นฉากๆ ตามโพยที่จดมา พวกเราได้แต่พยักหน้าหงึกหงักตามไป


    เห็นไหมครับ พัดเป็นคนมีความรู้มาก เธอค้นคว้ามาอย่างเข้มข้น ทุกเรื่องราวต่างๆ ล้วนบรรจุอยู่ในสมอง ความสามารถในการนำทีมของเธอเข้าขั้นไกด์มือทองของบริษัททัวร์ชั้นนำ มีคุณสมบัติที่เหมาะสมกับการติดตามและฝากชีวิตไว้ในความดูแล

    และตอนนี้เราก็ได้มายืนอยู่ที่นี่เมืองควีนส์ทาวน์ (Queenstown) แห่งอาณาจักรเกาะใต้เรียบร้อยแล้ว

    ควีนส์ทาวน์ ( Queenstown ) เมืองที่ใหญ่เป็นอันดับสองของเกาะใต้ รองจากไครสต์เชิร์ช (Christchurch) ที่เพิ่งโดนแผ่นดินไหวถล่มไปเมื่อปี 2011 ที่ผ่านมา

    หากถามถึงความรู้สึกแรกที่เกิดขึ้นหลังจากได้มาสัมผัสเมืองนี้ คืออะไร สามารถตอบได้ทันทีว่า

    ‘ความสะอาด’ คือความประทับใจแรกที่เกิดขึ้น เพราะที่นี่มีอากาศที่สะอาดหมดจดใหม่แกะกล่อง อุดมด้วยคุณค่าแห่งออกซิเจน มีทิวทัศน์ที่สะอาดตา มองเห็นทะเลสาบกว้างใหญ่ที่โอบล้อมเมือง เห็นท้องฟ้าสีฟ้าจัดมีเมฆขาวยาวเป็นพื้นหลัง บ้านเมืองไม่มีตึกระฟ้าเกะกะสายตา ผู้คนไม่พลุกพล่าน มีความสะอาดทางกายภาพอย่างสมบูรณ์แบบ

  • ไม่ใช่เพียงผมเท่านั้นที่รู้สึกแบบนี้ เพื่อนๆ ทุกคนก็ลงความเห็นแบบเดียวกัน

    เรามาถึงที่นี่ก็ในช่วงเวลาเย็นแล้ว ยังไม่ทันที่จะเก็บสัมภาระเข้าที่พัก ท้องผมก็ร้องโวยวายเสียงแหลม ดังลากยาว ก่อนที่จะเงียบหายไป ท่ามกลางสายตาของเพื่อนๆ ทั้งสามคู่

    “ไอ้เสียงแบบนี้มันควบคุมไม่ได้นี่นา และมันก็เป็นเสียงที่ซื่อสัตย์ต่อตัวเองที่สุดในโลก” ผมบอกทุกคนด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาและเขินอาย

    “ถ้าอย่างนั้นเรารีบเก็บของแล้วออกมาหาอะไรกินก็แล้วกัน เพราะนี่ก็ใกล้เวลาที่เราจองดินเนอร์มื้อเย็นนี้แล้ว” หัวหน้าทัวร์แจ้งโปรแกรมสำหรับเย็นนี้ออกมา

    “จองดินเนอร์?” ผมถามด้วยน้ำเสียงงุนงง

    “ใช่สิ ฉันลืมบอกแก เย็นนี้เรามีโปรแกรมนั่งกระเช้ากินดินเนอร์สุดหรู อลังฯ พร้อมกับชมพระอาทิตย์ตกดินกัน” พัดพูดอย่างฉะฉาน

    ตอนแรกที่ได้ยินว่าเราจะขึ้นกระเช้ากินอาหารเย็นกัน ผมคิดว่า มันเป็นการดินเนอร์บนกระเช้าที่แขวนตัวอยู่บนสลิง แกว่งไปมาตามแรงลม ชมพระอาทิตย์ตกดินที่ปลายฟ้า สุดโรแมนติก แล้วก็คิดต่อไปว่า ถ้าเป็นแบบนี้พนักงานเสิร์ฟเขาจะทำงานกันยังไง ต้องปีนลวดหรือนั่งกระเช้าอีกตัวมาเสิร์ฟหรือเปล่า

    คิดแล้วมันช่างเข้าท่าน่าตื่นเต้นมาก แต่ที่ไหนได้ สิ่งที่พัดบอก กลับกลายเป็นการนั่งกระเช้าไปดินเนอร์ในภัตตาคารที่ตั้งอยู่บนเขา แต่แค่นี้ก็จัดว่าสุดเจ๋งสมกับที่พัดเป็นคนสร้างสรรค์งาน เพราะแค่มื้อแรกก็ทำเราสำลักความสุขจนถึงจุดสุดยอดซะแล้ว จะไม่ให้รู้สึกฟินขนาดนี้ได้ยังไง เพราะสถานที่เรากำลังจะไปดินเนอร์มีชื่อว่า

    …‘จุดสุดยอดของบ๊อบ’ ( Bob’s peak ) ...

    เรามาถึงสถานีกระเช้า Skyline Gondola ในเวลาแดดร่มลมเย็น พัดเดินเข้าไปติดต่อเจ้าหน้าที่ จากนั้นก็มีชายหนุ่มหน้าตาเป็นมิตรเดินนำเราไปยืนรอที่ชานชาลาเพื่อเตรียมกระโดดขึ้นยานพาหนะเตรียมไต่ระดับความสูง 450 เมตรไปยังด้านบน

    กระเช้าของเราถูกลากดึงขึ้นอย่างช้าๆ และราบรื่นไม่สะดุด เคลื่อนผ่านทิวสนที่ปกคลุมด้วยหิมะและผาหินที่ชันตั้งฉากกับผิวโลก อาจมีหยุดค้างบ้างเป็นระยะ แต่ก็ไม่ได้นานจนหวาดเสียว เราใช้เวลาไม่นานก็ลอยมาถึงสถานีกระเช้าด้านบน

    หลังจากเดินออกจากสถานี เราก็เข้าไปในอาคารเรือนกระจกหน้าตาทันสมัยโดยทางขวามือเป็นโซนของภัตตาคารที่เราจะมาปรนเปรอตัวเองในค่ำคืนนี้ แต่ดูจากเวลาบนหน้าปัดนาฬิกา มันยังไม่ถึงเวลาที่พัดจองเอาไว้

    “ต้องรออีกประมาณครึ่งชั่วโมง เราออกไปเดินชมวิวที่ริมระเบียงกันก่อนละกัน” พัดพูดและเดินนำออกไปโดยไม่ขอความเห็น เราเดินตามไป เหมือนลูกเป็ดเดินตามแม่เป็ด
  • ระเบียงนอกอาคารเป็นจุดชมวิวมุมมหาชนที่มองเห็นเมืองควีนส์ทาวน์และทะเลสาบวาคาติปู (Wakatipu Lake) แบบ bird’s eye view ถ้าขึ้นมาถึงที่นี่แต่ไม่ออกมาชมวิวถือว่าน่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง

    ภาพที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าสวยงามกว้างไกลสุดสายตา ด้านซ้ายมือเป็นเมืองควีนส์ทาวน์ที่ถูกความสูงของภูเขาย่อส่วนให้เล็กจิ๋วจนเหมือนเมืองจำลอง บ้านเรือนเรียงรายอยู่ริมทะเลสาบวาคาติปูสีฟ้า ท้องฟ้าผืนใหญ่มีสีเดียวกัน เทือกเขารีมาร์คเอเบิล (remarkable) สีน้ำตาลช็อกโกแลตทำหน้าที่แบ่งกั้นระหว่างท้องฟ้ากับทะเลสาบเพื่อไม่ให้สีฟ้าทั้งสองกลมกลืนเป็นเนื้อเดียวกัน

    บริเวณใกล้เคียงกับระเบียงชมวิวมีสิ่งก่อสร้างคล้ายอาคารหลังเล็กวางอยู่บนโครงเหล็กที่ยื่นออกมาจากหน้าผามองไปเหมือนบ้านทาร์ซาน แต่ไม่มีสิ่งมีชีวิตหรือข้าวของสัมภาระปรากฏให้เห็นด้านใน

    พัดบอกว่าที่นี่เป็นที่เล่นบันจี้จัมป์ (Bungy jump) ของเมือง มีชื่อว่า ‘The Ledge Bungy and Swing’ ซึ่งตอนนี้ปิดให้บริการไปแล้ว ถ้าเรามาเร็วกว่านี้อาจจะได้เห็นภาพสุดสยองหัวทิ่มจิ้มโลกก็ได้ ผมรู้สึกตื่นเต้นขนลุกทันทีเมื่อได้ยินชื่อที่น่าหวาดเสียวชื่อนี้

    “มาที่นี่ไม่ได้เล่นเหมือนไม่ได้มา” ปูเข้ามาสมทบ

    “เออจะคอยดูคนเก่ง” ผมปรายตามองปูอย่างเย้ยหยัน


    ลมหนาวพัดมาไม่ขาดช่วงสร้างความทรมานให้กับเราไม่น้อย ทุกคนไม่คิดว่าอากาศจะเย็นได้ขนาดนี้จึงไม่ได้แต่งตัวให้สมฐานะ หยิบแค่เสื้อกันหนาวคนละตัวติดมือมาเท่านั้น เรายืนโต้ลมชมวิวได้ไม่นานก็ต้องรีบหลบเข้าไปในร้านขายของที่ระลึกที่อยู่ภายในอาคาร จากนั้นก็ร่วมสมทบทุนไปกับโปสการ์ดและของกระจุกกระจิกไปหลายอัฐจึงถึงฤกษ์งามยามดีที่เราจะได้เข้าไปดินเนอร์ซะที

    “มื้อนี้เท่านั้นล่ะนะที่จัดเต็ม มื้ออื่นกลับไปเป็นยาจกเหมือนเดิม” พัดพูด พร้อมแสยะยิ้มอย่างอำมหิต
  • เรายื่นเอกสารการจองให้กับประชาสัมพันธ์ของโรงแรม จากนั้นไม่นาน ก็มีพนักงานสาวหน้าหมวยเดินเข้ามาทักทาย แล้วเดินนำเราเข้าไปยังพื้นที่ด้านในที่เป็นโถงขนาดใหญ่ห่อหุ้มด้วยกระจกใสหรูหรามองทะลุเห็นวิวด้านนอกเป็นภาพคล้ายกับที่เราเห็นจากมุมมหาชน โต๊ะมากมายวางเรียงกันยาวเหยียดขนานไปกับแนวกระจก แขกผู้มีอันจะกินนั่งกระจายตัวเต็มทุกพื้นที่ เสียงพูดคุยหัวเราะของผู้คนคละเคล้ากันในอัตราส่วนที่พอเหมาะ เมื่อผสมด้วยเสียงเปียโน ที่ล่องลอยมาแผ่วเบา และแสงไฟเหลืองนวล ก็ยิ่งทำให้บรรยากาศภายในโถงแห่งนี้ ผ่อนคลาย อบอุ่นและปลอดภัย


    พนักงานสาวพาเรามานั่งโต๊ะว่าง ถึงแม้ไม่ได้อยู่ชิดกระจก แต่ก็มองเห็นทิวทัศน์ได้พอสมควร จากนั้นเธอก็หยิบไฟแช็กออกมาจากกระเป๋ากางเกง จุดเทียนไขในแก้วใบเล็ก แสงไฟดวงน้อยกะพริบวูบไหวอยู่บนโต๊ะ เหมือนคบเพลิงแห่งการเริ่มต้นของกีฬาโอลิมปิก เธอยิ้มให้เราหนึ่งครั้งแล้วเดินจากไป ขณะนี้ไฟแห่งการดินเนอร์ถูกจุดขึ้นอย่างเป็นทางการแล้ว

    ผมอาสานั่งที่โต๊ะเพื่อเฝ้าของ ปล่อยให้เพื่อนๆ ออกไปหากินกันก่อน ตามมารยาทสุภาพบุรุษ

    ระหว่างนั่งรอ ผมมองไปโดยรอบ ที่นี่เป็นสถานที่ที่ดีจริงๆ สะอาดสะอ้าน มีคลาส เหมาะสำหรับการดินเนอร์คู่มากกว่าดินเนอร์หมู่ หากชายใดมาสารภาพความในใจ หรือขอใครสักคนให้มาใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน ภายใต้บรรยากาศแบบนี้ ยากนักที่สาวเจ้าจะตัดใจปฏิเสธได้ลงคอ

    พนักงานสาวคนเดิมเดินมาที่โต๊ะอีกครั้งพร้อมน้ำเปล่าเย็นๆ หนึ่งขวด ก่อนจะเดินจากไปตลอดกาล จากนั้นรุ่งก็เดินกลับมา แล้วบอกให้ผมเดินไปตักอาหารบ้าง

    ผมลุกขึ้น เดินฝ่าฝูงชนเข้าสู่อาณาเขตศักดิ์สิทธิ์ของโถงอาหารแห่งนี้อย่างสง่างาม ก่อนจะสะดุดรอยต่อของพรมสีแดงที่จับกันไม่สนิท จนเกือบล้มหัวทิ่ม ไม่มีใครสนใจผม ทุกคนให้ความสำคัญกับอาหารในจานตัวเอง
  • อาหารที่นี่มีความหลากหลาย หน้าตาเย้ายวนส่งกลิ่นหอมลอยฟุ้งไปทั่ว กระตุ้นกระเพาะอาหารให้บีบตัวส่งเสียงร้องกวนไม่หยุดหย่อน

    ผมเลือกสเต๊กเนื้อวัว เนื้อแกะ และเนื้อกวางที่ปรุงเสร็จใหม่ควันฉุยมาวางบนจานอย่างละชิ้นด้วยความประณีตตามด้วยสลัดผักสองช้อน ฟักทองนึ่งเนื้อสีส้มจัดหนึ่งชิ้นและตักหอยแมลงภู่นิวซีแลนด์หนึ่งหม้อเพื่อนำไปแบ่งให้เพื่อนๆ ได้กิน

    ต้องบอกว่า อาหารที่นี่ไม่ได้มีดีแค่หน้าตา รสชาติก็เข้าท่า อร่อยจริง โดยเฉพาะเนื้อกวางและแกะ ที่ย่างได้พอดี สุกนิดดิบหน่อยกำลังดี มีความมันหอมหวานไร้ความคาว ผมเดินวนอยู่สามรอบ จนเชฟจำได้ เขาเลยตัดเนื้อให้หนากว่าปกติเสิร์ฟให้ผม แล้วยิ้มมุมปากอย่างคนอ่านเกมขาด ประมาณว่ารู้นะว่าคุณชอบ ผมก็พยักหน้า ยิ้มแล้วเอ่ยคำขอบคุณ

    หอยแมลงภู่ก็อร่อยไม่แพ้กัน จนปูเอ่ยปากชมไม่ขาดว่า

    “ตัวใหญ่เนื้อหวาน ตัวเมียก็อร่อย ตัวผู้ก็อร่อย”

    “แยกยังไงว่าตัวไหนเพศอะไร” ผมถามด้วยความสงสัยเพราะหอยหน้าตามันก็เหมือนๆ กัน

    “ก็ดูที่ตัวมันสิ ใครให้ดูที่เปลือก ถ้าตัวไหนสีสดใส ตัวนั้นเป็นตัวผู้ ตัวไหนซีดๆ ตัวนั้นเป็นตัวเมีย” ปูตอบอย่างผู้รู้จริง

    “เก่งอ่ะรู้ได้ไง” ผมยังสงสัยต่อไป

    “ใครๆ เขาก็รู้กัน” ผมหันไปมองพัดกับรุ่ง สองคนนั้นส่ายหน้าพร้อมกับบอกว่า “พวกเราก็ไม่รู้”

    “มั่วแล้วแก” พัดเริ่มเอ่ยปาก หลังจากที่ปากไม่ว่างมาเกือบชั่วโมง

    “ไม่ได้มั่ว ธรรมชาติจะสร้างตัวผู้ให้สวยงามเพื่อดึงดูดตัวเมียเสมอ ดูอย่างนกยูงสิ ตัวผู้ก็จะมีแพนหางสวยงาม สิงโตตัวผู้ก็จะมีแผงคอที่สง่าน่าเกรงขาม ดอกไม้ที่เป็นเพศผู้ เช่น ดอกชบาก็สวยกว่าดอกเพศเมีย…” ปูยกตัวอย่างเป็นฉากๆ

    เหตุผลของปูฟังดูดีมีการเชื่อมโยงกับธรรมชาติให้เราได้นึกภาพตาม เราเกือบจะเชื่อกันหมด ถ้าปูไม่พูดปิดประโยคว่า

    “...ฉะนั้น เราก็อย่าแปลกใจ ที่เห็นผู้ชายเดี๋ยวนี้สวยกว่าผู้หญิง เพราะนี่ก็เป็นเรื่องของธรรมชาติเหมือนกัน”

    ผมนี่น้ำตาไหลเลย จริงกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว...


    เรานั่งคุยเรื่องไร้สาระไปเรื่อยๆ พร้อมกินอาหารเคล้าไวน์แดงเลิศรส แน่นอนว่าเครื่องดื่มพวกนี้ย่อมไม่ได้ถูกรวมอยู่ในบุฟเฟ่ต์ แต่ปูเกิดอาการเปรี้ยวปากอยากดื่ม ก็เลยเลือกเอาขวดที่ราคาเบาสุดมาจิบ การมีแอลกอฮอล์เล็กๆ น้อยๆ เป็นเพื่อนร่วมโต๊ะด้วยมันทำให้บรรยากาศโต๊ะเราครึกครื้นเทียบเท่าโต๊ะเพื่อนบ้านทันที

    เรากินกันจนแน่นพุง แต่รุ่งบอกว่า ตรงมุมด้านใน มีกองทัพขนมหวานกวักมือหย็อยๆ เรียกเธออยู่ จึงขอตัวไปทักทายพวกมัน เธอหายไปห้านาทีแล้วกลับมาพร้อมผู้ติดตามอีกหลายชิ้น ไม่ว่าจะเป็นชีสเค้ก เค้กสตรอเบอร์รี่ คัสตาร์ดพุดดิ้ง ไอศกรีมรสวานิลลาและรสช็อกโกแลต รุ่งขนมาเยอะมากแล้วก็ให้พวกเราช่วยกันชิม ขนมทุกอย่างอร่อยจนทำให้ความอิ่มแน่นจากอาหารคาวหายไปกว่า 50% ผมล่ะเชื่อเลย ที่คนบอกว่า ของคาวกับของหวานมันคนละกระเพาะกัน มันเป็นเรื่องจริง เพราะดูจากอัตราเร่งในการทำลายขนมรวมถึงปริมาณโดยรวมที่กินเข้าไป ไม่น้อยหน้าน้องแกะ กวาง เก้งที่เพิ่งผ่านคอเมื่อครู่เลยแม้แต่นิดเดียว
  • หลายคนบอกว่า นิยามของนิวซีแลนด์ คือ ท้องฟ้า ทะเลสาบและแกะ หากมันมีแค่นี้จริงๆ ก็ต้องบอกว่า พวกเราสี่คนได้มาถึงที่นี่ตามคำนิยามเรียบร้อยแล้ว เพราะเราได้เห็นทุกอย่างที่กล่าวมา ที่สำคัญ ได้
    ชิมรสชาติของมัน อร่อยไม่เบาเสียด้วย

    เหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นเมื่อวานเป็นเหมือน Intro เริ่มบทเพลงแบบง่ายๆ ไม่ซับซ้อน เปิดตัวด้วยเสียงเบาใสของเปียโนที่ล่องลอยอยู่ในอากาศสะอาด ในตัวโน้ตนั้นกล่าวถึงรสชาติของนิวซีแลนด์ที่เกิดขึ้นที่
    ภัตตาคารและตามติดผมกลับไปจนถึงที่พัก กล่อมให้เคลิ้มผ่อนคลาย ดึงหนังตาบนและล่างให้ประกบติดกัน ก่อนที่จะพาผมไปจุดสุดยอดแห่งการหลับฝัน

    นั่นเป็นความรู้สึกสุดท้ายที่เกิดขึ้น ก่อนที่ผมจะหลับสนิท
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in