เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ประวัติศาสตร์ที่เพิ่งเศร้าSALMONBOOKS
Prologue: ชานชาลา













  • เป็นทุ่งกว้างนอกเมือง ผ่านทางแคบ ขรุขระ และไกลจากถนนใหญ่ เมื่อคืนฝนตกแต่วันนี้ฟ้าเปิด ยามสายแสงแดดเริ่มแผดแรง เรียกเหงื่อไม่น้อย แต่เหงื่อเราไม่ออก เพราะเราขับรถมา

    ผมไม่รู้เส้นทาง จึงเป็นเธอที่ขับรถ สี่สิบห้านาทีจากตัวเมือง จากทัศนียภาพหนาทึบของอาคารคอนกรีตและเสาไฟฟ้าสู่ความหนาทึบของต้นไม้ เครื่องยนต์ดับใต้ต้นมะขาม ทุ่งกว้างโอบล้อมด้วยไร่ดอกยิปโซสีขาวสลับเหลืองสะพรั่ง คันนาเขียวชอุ่มอยู่ทางทิศตะวันตก สุดสายตาฝั่งตรงข้ามคือภูเขา มันคือผืนดินในครอบครองของครอบครัวเธอ เป็นที่ดินที่สวยแห่งหนึ่ง

    ผมจุดบุหรี่ ยื่นซองให้เธอ หากถูกปฏิเสธ เธอบอกว่าไม่รู้จะเอาก้นบุหรี่ไปทิ้งไหน ผมประหลาดใจ ผืนดินออกกว้าง เศษหินดิน ทรายจะกลมกลืนมันไปเอง เธอส่ายหน้า บอกผมว่าอยากสูบก็สูบไปคนเดียว เธอหวงแหนพื้นที่จนไม่อยากทิ้งสิ่งใดให้เจือปน

    “แทบอยากคุกเข่าลงไปจุมพิต” จับจ้องพื้นดิน ผมประชดประชัน หากเธอไม่ตอบคำ กระนั้นหลังบุหรี่หมดมวนผมก็ใช้ส้นเท้าบี้ดับ มองหาใบไม้ที่ตกพื้น หยิบมันขึ้นมาห่อคลุมก้นกรองที่หลงเหลือยัดใส่กระเป๋ากางเกง เธอมองผม หัวเราะ

    มองไม่เห็นเศษขยะและสิ่งแปลกปลอมอื่นบนพื้นดิน รู้สึกว่าแถวนี้อากาศสดชื่นกว่าในเมือง เราเดินหนีห่างจากร่มเงาของต้นมะขามไปที่กลางทุ่ง มองเธอจากด้านข้าง บอกไม่ได้ว่าเธอกำลังสุขหรือเศร้า หากพบว่าตัวเองรู้สึกเหงาจับใจ

    “นานแค่ไหน” ผมถาม

    เธอส่ายหัวช้าๆ เดินต่อไป... “อาจจะสี่หรือห้าปีมั้ง ไม่รู้สิ”
  • ทำไมต้องไม่รู้สิ ถ้าสี่ปีก็สี่ปี ห้าปีก็ห้าปี แต่อาจจะสี่หรือห้าปีมั้ง ไม่รู้สิ... เลื่อนลอยอย่างบอกไม่ถูก

    แสงอาทิตย์ถูกเมฆก้อนหนาบดบัง ลมยังคงขยันพัดไม่หยุดหย่อน เส้นผมเธอปลิวไสว จินตนาการว่าคงพัดเอากลิ่นหอมจากเส้นผมลอยมาเข้าจมูก แต่ความจริงกลับเรียบง่าย ผมไม่ได้กลิ่น ไม่ได้โรแมนติกอะไรเช่นนั้น

    “เธอเคยบอกไม่ใช่หรือว่าไม่ชอบคำว่าไม่รู้สิน่ะ” แล้วผมก็พูดออกไป เธอชะลอฝีเท้า หันมองมา

    “ก็เหมือนที่เธอชอบบ่น เวลาถามใครว่าทำอะไรอยู่ แล้วคนนั้นตอบกลับมาก่อนว่า เปล่า แล้วค่อยบอกว่าทำอะไรอยู่นั่นไง เธอก็ว่ามันสิ้นเปลืองถ้อยคำไม่ใช่หรือ” ผมอธิบาย

    “ก็ถูก มันสิ้นเปลืองจริงๆ” เสียงเธอเบา เบาพอๆ กับเสียงลม

    ผมถามเธอต่อว่าเหตุใดต้องอยู่ยาวนานเป็นปีด้วย เธอไม่ได้ให้เหตุผล เพียงแต่บอกว่านี่เป็นสิ่งจำเป็นในชีวิต เป็นประเพณีของครอบครัว บางครอบครัวอาจให้ความสำคัญกับการกินข้าวร่วมกันในเย็นวันอาทิตย์ บางครอบครัวอาจเป็นการไปเที่ยวต่างประเทศด้วยกันปีละครั้ง หรือบางครอบครัวอาจเป็นความเคร่งครัดต่อพิธีไหว้บรรพบุรุษ แต่กับครอบครัวของเธอ คือสิ่งที่กำลังจะทำอยู่ตอนนี้

    แม้ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษและวาดฝันถึงอนาคต แต่เราก็รักกันดี มอบพื้นที่ส่วนตัวให้แก่กันอย่างพอเพียง พื้นที่ส่วนรวมก็ราบรื่น และตลอดมาเราแทบไม่เคยทะเลาะ หากก่อนหน้านี้หนึ่งสัปดาห์ เธอโทร.มาหาแล้วบอกว่าถึงเวลาที่เธอต้องไปแล้ว และเมื่อถึงเวลาเธอจะกลับมา
  • “ระหว่างนั้นคุณจะมีคนอื่น ใช้ชีวิตยังไงก็เรื่องของคุณ หรือถ้ากลับมาและเราไม่ได้รักกันแล้ว นั่นก็เป็นสิ่งที่เข้าใจได้” เธอบอก

    ผมชอบที่เธอชัดเจนกับเรื่องนี้ แต่ก็ไม่ชอบมากๆ ที่เธอไม่เคยให้คำอธิบายว่าประเพณีของครอบครัวที่กำลังจะทำอยู่นี้คืออะไร

    และเธอก็หยุดที่กลางทุ่ง เกือบครึ่งสนามฟุตบอลจากใต้ต้นมะขามที่เราจอดรถ ทุ่งยิปโซถูกทิ้งไว้ไกลลิบ นกกระจิบพล่ามอะไรสักอย่างบนต้นไม้ วัวที่ชาวบ้านเลี้ยงไว้ยืนตัวเท่ามดอยู่ริมคันนา เมื่อแน่ใจว่าไม่มีมนุษย์คนใดนอกจากเรา เธอก็คุกเข่าลง

    เป็นแท่นแกรนิตทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดราวกระดาษเอกสารฝังอยู่บนพื้น ผิวเนียนเรียบ ขอบมุมคมกริบ เส้นขนานตรงแน่ว ราวกับถูกสร้างโดยเครื่องจักร ย่าทวดของเธอเป็นผู้ค้นพบมัน ย่ากับแม่เข้าไปและกลับมาโดยไม่บอกรายละเอียดใดเกี่ยวกับพื้นที่ข้างใต้ สิ่งเดียวที่รู้คือเมื่อถึงเวลา ผู้หญิงทุกคนในบ้านต้องเข้าไป วันหนึ่งเธอต้องเข้าไปในนี้ วันหนึ่งนั้นคือวันนี้ และเธอขอให้ผมขับรถมาส่งที่นี่

    เรากอดกันแน่น ไม่ได้ฟูมฟาย เธอดูเตรียมใจกับการลาจากมาดี ผมไม่ได้ตรมใจอย่างใด เพียงรู้สึกถึงความกะพร่องกะแพร่งอยู่ภายใน เรารักกัน แต่เมื่อถึงเวลาก็คือถึงเวลา แม้จะไม่เข้าใจว่าเพราะอะไรก็ตามที

    “ใช้ชีวิตให้มีความสุขนะ” เธอบอกผมเช่นนั้น ไร้ซึ่งเงื่อนไข แค่ใช้ให้มีความสุข

    “ไม่รับปากว่าจะรอนะ” ผมหมายความตามนั้น เธอยิ้ม บอกผมว่าเธอก็ไม่ได้ขอ
  • “ไม่ลืมอะไรแล้วนะ” ผมถาม เป็นอีกคำพูดที่สิ้นเปลือง เธอมาด้วยชุดเดรสผ้าลินินสายเดี่ยวสีกรมท่า ไม่ถือกระเป๋า ตัวเปล่า

    เธอส่ายหน้าปฏิเสธ เอ่ยกับผม แล้วพบกันใหม่

    นกกระจิบยังไม่หยุดพล่าม พระอาทิตย์ก็ยังคงพยายามสาดแสงลอดเมฆมากระทบพื้นโลกให้ได้ เธอคุกเข่า ไล่ให้ผมถอยพ้นจากระยะ ทันทีที่เธอเอามือทาบลงบนแผ่นหิน พื้นดินรอบกายก็ตีลังกา คล้ายห้องลับหลังผนังชั้นหนังสือในแนวราบ เพียงอึดใจพื้นดินที่มีแท่นหินพลิกกลับมาใหม่ มันไม่ได้พาเธอกลับมาด้วย เธอจากพื้นโลกไปด้วยวิธีนั้น

    หลังจากลองเอามือทาบแผ่นหินแบบเธอบ้าง แล้วพบว่ามันว่างเปล่า ไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรือเปลี่ยนแปลงนอกจากแสงอาทิตย์ที่เริ่มร้อนขึ้นทุกที ผมจึงเดินกลับไปที่รถ จุดบุหรี่ ซึมซาบความเปลี่ยวเหงาไปพร้อมกับทัศนียภาพ

    กลางทุ่งกว้างใหญ่ ยังไม่รู้จะทำอะไรต่อ

    นาฬิกาข้อมือบอกเวลาเที่ยงวัน ผมควานหากุญแจ ไอแดดแลบลิ้นเลียใบหน้า เหงื่อซึมทั้งในและนอกร่มผ้า ร้อนและประหม่า ผมเผลอทำบุหรี่หลุดจากซอกนิ้ว

    เพิ่งตระหนักได้เมื่อมาถึง ผมลืมขอกุญแจรถยนต์คืนจากเธอ

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in