“เสี่ยวข่ายพูดไม่รู้เรื่องแล้วนะ”
“งั้นก็อธิบายมาดิว่ารูปพวกนี้มันคืออะไรอะ”
เสียงคนทะเลาะกันดังเข้าในมาโสตประสาทของเด็กหนุ่มสองคนที่บังเอิญเดินผ่านมาเพราะเวลานี้คนส่วนใหญ่ยังคงเรียนกันอยู่บริเวณลานจอดรถของนักศึกษาจึงไร้ซึ่งวี่แววคนเว้นแต่ใครคู่รักคู่หนึ่งที่พวกเขารู้จักดีที่กำลังเถียงกันอยู่ด้วยท่าทางไม่ค่อยดีนัก
หนึ่งในนั้นปารูปภาพหลายสิบใบลงกระทบกับใบหน้าหล่อเหลาของใครอีกคนด้วยแววตาแสนเจ็บปวดแม้ไม่มีน้ำตาทว่าดวงตาแดงกล่ำนั่นก็บ่งบอกได้ดีว่ากำลังอดทนและกลั้นมันไว้แค่ไหน
“บอกมาดิพี่จะเงียบทำไมวะ”
“น้องที่คณะไง”
“พี่น้องในคณะกันแบบไหนต้องกอดกันหอมกัน จูบกันแบบนี้ด้วยพี่ฮ่าวหราน”
เจ้าของชื่อไม่ได้พูดอะไรเอาแต่เงียบจนคนตรงหน้าอารมณ์ขุ่นมัวเข้าไปใหญ่กี่ครั้งแล้วที่เป็นแบบนี้ กี่ครั้งแล้วที่ทุกอย่างมันวนลูปกลับมาที่จุดนี้อีกทั้งที่คิดว่าจะตัดใจ คิดว่าจะเลิกกันไปให้จบสิ้นเสียที แต่สุดท้ายพอเขาเอ่ยคำหวานหวังจวิ้นข่ายก็ยอมกลับมาราวกับคนโง่งมที่ยอมเจ็บซ้ำๆ จากคนเดิมๆ อีก
“เสี่ยวข่าย...”
“...”
“พี่ว่าเราเลิกกันเถอะ”คำพูดโหดร้ายนั่นราวกับมีดนับพันเล่มกรีดแทงเข้ามาในใจของเขาพร้อมกันและการที่คนพูดไม่ได้มีแววตาล้อเล่นเลยแม้แต่น้อยนั้นยิ่งตอกย้ำกดแผลให้มันลึกจนหัวใจคนฟังชาไปทั้งดวง
“พี่...”
“พี่เบื่อเบื่อสถานะของเราตอนนี้เสี่ยวข่าย บางทีพี่ว่าเราอาจจะกลับ...”
“ไม่กลับ
“ตามใจเราแล้วกัน”
หลิวฮ่าวหรานเดินจากไปด้วยสีหน้าเย็นชาไม่สนใจเหลียวแลคนที่เพิ่งได้ชื่อว่าอดีตคนรักเลยแม้แต่น้อยน้ำตาที่กลั้นเอาไว้ไหลออกมาจนแผ่นหลังของคนจากไปพร่ามัวไปหมด
คนใจร้ายที่ทิ้งเขาไปคนนั้น...
“ต้าเกอ...”เสียงเรียกที่แสนจะคุ้นเคยดังขึ้นใกล้ตัวจนคนถูกเรียกต้องรีบเช็ดน้ำตาแล้วหันไปมอง
“หยวน”
ดวงตาเคลือบน้ำใสมองรุ่นน้องตัวเล็กตรงหน้าก่อนจะเหลือบไปเห็นใครอีกคนที่มากับเจ้าตัวใครอีกคนที่ไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรออกมามากมาย ไม่มีความสงสารความเห็นใจหรือสิ่งใดออกมาจากคนคนนั้นมีเพียงผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งที่ถูกยื่นมาให้เขาเท่านั้น แต่นั่นก็ทำเอาคนพยายามจะแสร้งเข้มแข็งปล่อยโฮออกมาอย่างไม่คิดจะเก็บมันไว้อีก
“เชียน...”ร่างกายผอมบางโผเข้ากอดร่างของอีกคนทั้งน้ำตาโดยไม่คิดจะรับผ้าเช็ดหน้าที่ถูกยื่นมาให้แต่อย่างใดมือหนาถูกยกขึ้นลูบแผ่นหลังที่กำลังสั่นเทาช้าๆ อย่างปลอบประโลม
ไม่มีคำพูดใดๆออกมาจากปากของคนถูกเรียกชื่อมีเพียงเสียงหอบสะอื้นของคนที่เพิ่งเจ็บปวดกับความรักมาเท่านั้นหวังหยวนมองเพื่อนและรุ่นพี่ตรงหน้ากอดกันด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย
หนึ่งคนรักเขาสุดหัวใจเจ็บครั้งแล้วครั้งเล่าก็ไม่ยอมจากไปไหน ยอมใจอ่อนง่ายๆ เพียงแค่คำพูดแสนหวานที่ออกมาจากปากของคนรักส่วนอีกหนึ่งคนก็รักเขาไม่แพ้กันยอมถูกความรักทำให้เจ็บซ้ำไปมาโดยไม่คิดจะเรียกร้องอะไรมีหน้าที่ปลอบใจเวลาเขาเจ็บรักษาแผลใจให้เขาจนหาย
แม้สุดท้ายจะไม่ได้อะไรกลับมาเลยก็ตาม
อี้หยางเชียนซีเป็นคนแบบนั้นเป็นคนเสียสละเสียจนหวังหยวนแทบไม่อยากเชื่อว่ายังจะมีคนแบบนี้อยู่บนโลกเขาเองก็ไม่ใช่ไม่เคยถามว่าการทำแบบนั้นมันได้ประโยชน์อะไรแต่เชียนซีกลับยิ้มและตอบกลับมาแค่...
“อย่างน้อยก็ได้เห็นคนที่เรารักมีความสุขอีกครั้งไง”
หวังหยวนล่ะโคตรจะไม่เข้าใจจริงๆเรื่องของความรักน่ะ
พวกเขาพาร่างที่กำลังหลับใหลกลับมายังหอพักของเจ้าตัวด้วยรถยนต์ของเชียนซีเขากลายเป็นคนกลางที่ต้องเข้ามาช่วยอีกครั้งไม่ได้แต่มันก็แค่ชั่วครู่เท่านั้นแหละสุดท้ายหวังหยวนก็ถูกกันออกมาจากโลกของทั้งคู่อยู่ดี
“เชียนเดี๋ยวเราออกไปซื้อข้าวนะเอาอะไรไหม”เขาเอ่ยถามเมื่อเห็นอีกคนเดินออกจากห้องน้ำมาพร้อมกะละมังใบเล็กซึ่งดูแล้วคงจะไม่พ้นเอามาให้เช็ดตัวให้เจ้าของห้องนั่นแหละ
“ซื้อข้าวเข้ามาให้เสี่ยวข่ายด้วยแล้วกัน”
“แล้วนายล่ะ”
“ไม่หรอกฉันไม่หิว”
“นี่อี้หยางเชียนซีนายจะมัวแต่ดูแลคนอื่นจนไม่สนใจตัวเองแบบนี้ไม่ได้นะ”
“ฉันไม่หิวจริงๆหวังหยวน”
“เฮ้อตามใจนายก็แล้วกัน อย่าหาว่าเสือกเลยนะเชียนนายจะทำยังไงถ้าเขากลับไปคืนดีกันอีก...เหมือนทุกครั้งน่ะ”คำถามนั้นทำเอามือหนาที่กำลังไล่เช็ดกรอบหน้าเนียนของคนนอนหลับอยู่หยุดชะงักลงอย่างช่วยไม่ได้อี้หยางเชียนซีถอนหายใจออกมาก่อนจะส่งยิ้มน้อยๆที่เป็นเอกลักษณ์ของเจ้าตัวกลับมาให้เขา
“ก็ดีสิเสี่ยวข่ายจะได้มีความสุข”คิดแล้วหวังหยวนก็อยากจะด่าตัวเองว่าไม่น่าถามออกไปเลยทั้งที่รู้คำตอบของมันดีอยู่แล้วแต่ถึงจะตอบมันกลับมาด้วยรอยยิ้ม ทว่าแววตาคู่นั้นกลับเศร้าเสียจนหวังหยวนอดนึกสงสารเพื่อนไม่ได้
“เหนื่อยก็พักได้นะเชียนอย่าลืมว่าตัวเองก็มีหัวใจ”
“...ขอบคุณนะ”
“อืมฝากดูต้าเกอด้วยล่ะ เดี๋ยวเรากลับมา”
ในเมื่อห้ามไม่ได้ก็ทำได้แต่ให้กำลังใจนี่แหละนะการเป็นคนกลางนี่มันลำบากใจยิ่งกว่าอะไรเสียอีกไม่ใช่ว่าเขาจะไม่รู้ว่ารุ่นพี่ของเขาเองก็รู้ว่าเพื่อนเขามีใจให้ แต่แล้วยังไงล่ะในเมื่อคนที่หวังจวิ้นข่ายรักไม่ใช่อี้หยางเชียนซี เขาจะไปทำอะไรได้...
หวังหยวนออกไปแล้วออกไปพร้อมกับระเบิดลูกใหญ่ที่ทิ้งเอาไว้ให้เขาเชียนซีรู้ว่าเพื่อนเป็นห่วงแต่จะให้เขาทำยังไงในเมื่อตัวเขาเองก็เต็มใจที่จะอยู่ในสถานะแบบนี้สถานะคนคอยปลอบใจเมื่อคนที่รักเจ็บปวดกลับมาเป็นศาลาที่พร้อมต้อนรับหวังจวิ้นข่ายเสมอเมื่อมีเรื่องไม่สบายใจ
เพื่อนตัวเล็กของเขาน่ะไม่รู้หรอกว่านอกจากหน้าที่ปลอบใจเวลาเขาเจ็บแล้วอี้หยางเชียนซีก็เป็นทุกอย่างให้หวังจวิ้นข่ายนั่นแหละเป็นที่ระบายเวลาสองคนนั้นทะเลาะกัน เป็นตัวแทนไปเที่ยวเวลาที่ใครอีกคนไม่ว่างเป็นตัวสำรองที่หวังจวิ้นข่ายแค่เรียกหาก็พร้อมจะมาเสมอ แต่นั่นก็นับว่าดีแล้วล่ะ
ขืนหวังหยวนรู้เจ้าตัวคงได้บ่นเขามากกว่านี้เป็นแน่
มือหนายังไล้เช็ดกรอบหน้าของคนนอนหลับอยู่อย่างอ่อนโยนเขายอมรับอย่างคนเห็นแก่ตัวว่าดีใจมากเวลาทั้งสองคนทะเลาะกันเพราะมันเป็นโอกาสของเขาเป็นช่วงเวลาที่เขาจะได้อยู่ข้างกายของหวังจวิ้นข่ายได้โดยไม่มีใครกล่าวว่าแต่อีกใจเขากลับไม่ชอบเลยที่จะเห็นน้ำตาของอีกคน
เป็นสถานการณ์ที่เขาไม่เคยชอบตัวเองเลยสักครั้งเวลาต้องเผชิญกับมัน...
“เมื่อไรพี่จะรักตัวเองสักที...”
เชียนซีเอ่ยออกมาเสียงเบาเมื่อเช็ดตัวให้อีกคนเสร็จเรียบร้อยแต่เมื่อเตรียมตัวจะลุกเอากะละมังไปเก็บเสียงของคนที่คิดว่าหลับอยู่ก็ดังขึ้นเสียก่อน
“ไม่ใช่ว่าฉันไม่รักตัวเองหรอกนะเชียน”
ร่างของชายหนุ่มรุ่นน้องหันกลับมามองอีกคนที่เปลี่ยนอิริยาบถลุกขึ้นมานั่งบนโซฟาแทนหวังจวิ้นข่ายในเวลานี้ดูอ่อนแอเสียจนเขาอยากเข้าไปกอดปลอบเอาไว้ทว่าเชียนซีก็รู้ดีว่าเขาไม่ได้มีสิทธิ์ขนาดนั้นหรอก
“ก็แค่รักเขามากเกินไปเท่านั้นเอง”
อี้หยางเชียนซีถอนหายใจออกมาหนึ่งครั้งก่อนจะตัดสินใจวางกะละมังในมือลงและเดินกลับไปหาอีกทีคนที่โซฟาเขาย่อตัวนั่งลงตรงหน้าอีกคนที่เหม่ออยู่ ก่อนจะส่งยิ้มให้อย่างเคย
“เดี๋ยวเขาก็กลับมาครับ”หวังจวิ้นข่ายมองคนตรงหน้าด้วยสีหน้าที่แสดงถึงความไม่เข้าใจ
“ไม่ครั้งนี้มันไม่เหมือนครั้งก่อนๆ อีกแล้วเชียน แววตาของเขามันบอกเขาไม่สามารถกลับมารักฉันได้อีกแล้ว”
“พี่...”
“นายจะมาให้ความหวังลมๆแล้งๆ กับฉันทำไม คิดว่าฉันไม่รู้หรอว่านายเองก็อยากให้ฉันเลิกกับเขา นายน่ะ...ชอบฉันไม่ใช่หรือไง”คำถามของอีกคนทำเอาเชียนซีนิ่งไปครู่หนึ่ง
“ครับผมชอบพี่”
คำตอบของเชียนซีไม่ได้ทำให้คนถามสบายใจขึ้นได้เลยเขาคิดไม่ถึงด้วยซ้ำว่าอีกคนจะตอบเขากลับมาตรงๆ แบบนี้รอยยิ้มเยาะนั่นทำเอาเขายิ่งคิดไม่ตกกับความคิดอีกคน
“แล้วยังไงล่ะครับในเมื่อสุดท้ายพี่ก็ไม่ชอบผมอยู่ดีพี่จะเลิกกับเขาหรือไม่มันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับผมอยู่แล้วผมน่ะก็แค่อยากให้พี่รักตัวเองบ้างคนที่ทำให้พี่ต้องเจ็บขนาดนั้นควรได้ใจพี่ไปหรือไง ผมถามตัวเองมาตลอดแต่สุดท้ายผมก็ได้คำตอบ...”
“...”
“มันไม่มีความยุติธรรมสำหรับความรักหรอก”
“เชียนคือฉัน...”
“พี่พักผ่อนเถอะไม่ต้องคิดมาก ถึงพี่จะเลิกกับเขาจริงหรือไม่ผมก็ไม่ทำให้พี่ลำบากใจแน่นอน”พูดจบก็ลุกขึ้นหันหลังเดินเอากะละมังที่วางไว้เดินเข้าไปในห้องน้ำแทบจะทันทีไม่ได้ให้คนฟังได้ตั้งตัวอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว
บรรยากาศในห้องพักเล็กๆตอนนี้กำลังเต็มไปด้วยความอึดอัดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนแม้ว่าในห้องจะไม่ได้มีคนมากมาย ไม่มีใครพูดอะไรอีกนับตั้งแต่จบบทสนทนานั้นหวังจวิ้นข่ายทำเพียงแค่นั่งดูทีวีด้วยสภาพจิตใจที่สับสนส่วนอี้หยางเชียนซีก็เพียงแค่นั่งอ่านหนังสือเงียบๆอยู่อีกมุมหนึ่งของห้องเท่านั้นเองพวกเขาอยู่กันอย่างนั้นจนกระทั่งใครอีกคนกลับเข้ามา
“อ้าวต้าเกอตื่นแล้วหรอ นี่หยวนซื้อบะหมี่แบบที่ทุกคนชอบมาฝากด้วย”หวังหยวนบอกเสียงใส
ทว่าไม่นานนักคนเซ้นดีก็เริ่มรู้สึกถึงบรรยากาศแปลกๆได้ เชียนซีลุกมาจัดการเทบะหมี่ในถุงใส่ชามอย่างเช่นเคยส่วนเขาก็คะยั้นคะยอให้รุ่นพี่คนสนิทลุกมาทานด้วยทัน แม้จะอิดออดไปบ้างแต่หวังจวิ้นข่ายก็ยอมลุกขึ้นมาแต่โดยดี
แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะบรรยากาศมาคุแปลกๆนี่คืออะไร
หวังหยวนเองก็ไม่สามารถอธิบายออกมาได้เหมือนกัน
“ต้าเกอกินเยอะๆสิ มื้อนี้หยวนเลี้ยงเลยน้า”
“อ...อือ”
“เชียนด้วยๆเนี่ยเลือกสั่งแบบที่เชียนชอบมาเลยรู้เปล่า”
“ขอบใจนะ”เชียนซีส่งยิ้มให้เขาก่อนจะก้มลงไปเขี่ยเส้นในชามเล่นโดยไม่ได้สนใจจะตักมันเข้าปากแต่อย่างใดบรรยากาศมันช่างตึงเครียดจนสุดท้ายเป็นหวังจวิ้นข่ายเองที่โพล่งออกมา
“ถ้าอึดอัดใจที่จะนั่งร่วมโต๊ะกันขนาดนั้นฉันไม่กินก็ได้”ว่าเท่านั้นก่อนจะลุกขึ้นเตรียมเดินออกจากส่วนครัวไปหากไม่มีมือของคนที่นั่งตรงข้ามเอื้อมมาจับไว้เล่นเอาคนที่กำลังคีบเส้นเข้าปากอย่างหวังหยวนตาโตด้วยความตกใจ
ตกลงแล้วตอนที่เขาไม่อยู่มันเกิดอะไรขึ้นงั้นหรอ
“ผมมากกว่าที่ควรจะไปพี่กินเถอะ”
“ไหนบอกว่าจะไม่ทำให้ฉันอึดอัดจะทำให้ทุกอย่างเหมือนเดิมแล้วนี่อะไร นายเป็นอะไรของนายอี้หยางเชียนซี”
“ผมขอโทษ...“
“ขอโทษให้ได้อะไรถ้านายทำไม่ได้อย่างที่พูดจะพูดออกมาทำไม”
“ผม...”
“ฉันไม่อยากเห็นหน้านายจะไปไหนก็ไป”
“ต้าเกอ...”
คำพูดแสนโหดร้ายนั่งทำเอาคนที่สามที่ฟังอยู่อดนึกสงสารเพื่อนไม่ได้เชียนซีตอนนี้หน้าจ๋อยสนิทอย่างที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนส่วนอีกคนก็เอาแต่กอดอกเสตาหลบราวกับไม่รู้ไม่ชี้ว่าคำพูดของตัวเองทำร้ายใครอีกคนมากแค่ไหน
“งั้นผมขอตัว”
“แต่เชียน...”
“ไม่เป็นไรหยวนถ้าเจ้าของห้องเขาไม่อยากให้เราอยู่ก็ไม่เป็นไร”
อี้หยางเชียนซีพูดแค่นั้นก่อนจะเดินไปหยิบกระเป๋าของตัวเองเดินออกไปหลังจากประตูปิดลงหวังจวิ้นข่ายก็นั่งลงทานอาหารในถ้วยตัวเองอีกครั้งได้อย่างหน้าตาเฉยจนสุดท้ายต้องเป็นหวังหยวนเองที่ถอนหายใจออกมากับความสัมพันธ์ที่น่าอึดอัดนี้
แล้วเมื่อไรจะมีความสุขกันได้สักที
ความรักนี่มันยากเกินไปแล้วนะ
สถานบันเทิงยามค่ำคืนเป็นสิ่งที่อี้หยางเชียนซีไม่ได้มาบ่อยนักและเขาเองก็ไม่คิดจะมาด้วยเช่นกัน หากเพื่อนสนิทตัวเล็กไม่โทรไปรายงานว่าถูกรุ่นพี่คนสนิทคะยั้นคะยอให้พามาน่ะพอจะปฏิเสธเจ้าตัวก็เล่นจะมาด้วยตัวเองให้ได้ จนกลายเป็นหวังหยวนนั่นแหละที่ต้องติดมาด้วยความเป็นห่วง
ดวงตาคมสอดส่องหาคนที่ตนรู้จักดีอาจเพราะวันนี้ไม่ใช่วันหยุดคนในร้านจึงไม่เยอะมากนัก และเพราะที่นี่เป็นเพียงผับกึ่งบาร์รอบตัวเขาจึงไม่ได้อึดอัดอย่างที่คิดไว้ใช้เวลาไม่นานนักเขาก็เห็นเป้าหมายสองคนที่นั่งด้วยกันอยู่บริเวณบาร์เครื่องดื่ม อี้หยางเชียนซีจึงตัดสินใจนั่งเฝ้าอยู่ห่างๆแทน
หวังจวิ้นข่ายคงไม่อยากเจอเขาตอนนี้หรอก
เพราะตัวเองอีกนั่นแหละที่ทำให้อีกคนรู้สึกอึดอัดเมื่อตอนบ่ายสุดท้ายพอได้พูดความในใจออกไปตรง ๆ แล้วก็อดยอมรับไม่ได้ว่าเขาทำตัวไม่ถูกคนฉลาดอย่างอี้หยางเชียนซีคิดไม่ตกเลยสักนิดว่าควรปฏิบัติตัวอย่างไรต่อจนสุดท้ายอีกคนก็ทนเขาไม่ไหว
แย่อย่างที่หวังจวิ้นข่ายบอกจริงๆนั่นแหละ
เชียนซีเอ่ยสั่งกับพนักงานเสิร์ฟไปเพียงคอกเทลธรรมดาๆที่เคยดื่มเพราะรุ่นพี่ในสาขาคะยั้นคะยอเอามาให้แต่ไม่ทันได้รอเครื่องดื่มที่ว่ามาถึงโต๊ะ ดวงตาคมก็ต้องเบิกกว้างด้วยความตกใจเมื่อหันมาพบว่าคนทั้งสองที่ตนเองเฝ้ามองอยู่ได้หายไปจากที่นั่งแล้ว
ราวกับมีคนมาจุดไฟจ่อไว้ที่อกเขาไม่รอช้าควักธนบัตรวางไว้บนโต๊ะก่อนจะรุดจากที่นั่งตัวเองออกมา สถานที่แรกคือห้องน้ำของร้านแต่ก็ไม่พบเขาจึงตัดสินใจออกมานอกร้านแทน แล้วก็เป็นอย่างที่คิดเมื่อเห็นว่าร่างของรุ่นพี่คนสนิทถูกลากออกมาโดยชายฉกรรจ์สามคนโดยมีหวังหยวนร้องขอความช่วยเหลืออยู่
“เกอครับช่วยเข้ามาดูที่หลังร้านหน่อยนะครับ”โทรศัพท์มือถือถูกต่อไปหาเพื่อนพี่ชายอีกคนที่เขารู้จักก่อนเขาจะออกไปช่วยทั้งสองคน
“เชียนช่วยด้วย
“พระเอกขี่ม้าขาวหรอวะหึ”หนึ่งในนั้นยิ้มเยาะที่เห็นว่าเชียนซีเดินมาเพียงคนเดียว
“ไอ้น้องถ้าจะมาคนเดียวแล้วคิดว่าจะช่วยนางเอกได้เหมือนในหนังในละคร พี่ว่าน้องคิดน้อยไปหน่อยนะน้องนะ”
เชียนซีไม่ได้ตอบอะไรกลับไปเพียงแค่ยกยิ้มบางๆให้อีกฝ่ายก่อนที่เสียงเครื่องยนต์จะดังกระหึ่มใกล้เข้ามาในพื้นที่บริเวณกว้างของลานจอดรถที่พวกเขาอยู่รถจักรยานยนต์คันใหญ่หลายคันพุ่งตรงมาจนสามคนนั้นต้องกระโดดหลบ
“ไหนใครมีเรื่องกับน้องกู”เสียงทุ้มห้าวของคนในหมวกกันน็อคดังขึ้นก่อนที่จะถอดออกมาปรากฎหน้าตาของคนที่พวกเชียนซีคุ้นเคยเป็นอย่างดี และเหมือนพวกที่มาหาเรื่องเองก็คุ้นเช่นเดียวกัน
“อี้เฟิงเกอ”หวังหยวนเอ่ยเรียกชื่ออีกคนด้วยรอยยิ้ม
“ไงเราไม่ได้เจอกันนานเลยนะเสี่ยวหยวน เสี่ยวข่าย”ชายหนุ่มส่งยิ้มมาให้พวกเขาด้วยแววตาอ่อนโยนก่อนจะหันไปมองชายสามคนที่ตอนนี้ถูกล้อมเอาไว้ด้วยรถจักรยานยนต์ของเพื่อนเขา
“อี้เฟิงเกอพวกเราขอโทษครับพวกเราไม่รู้ว่าพวกนี้เป็นน้องพี่”
“ใช่ครับถ้าพวกเรารู้ พวกเราคงไม่...”
“ทำไมไม่ใช่น้องกูแล้วมึงมีสิทธิ์ลากใครไปไหนมาไหนก็ได้หรือไง ที่นี่ไม่ใช่เมืองเถื่อนมีตำรวจ มีกฎหมาย ถ้าเรื่องแค่นี้พวกมึงยังไม่รู้ก็เข้าไปฝึกในคุกสักสองสามเดือนดีไหม”
“ไม่ครับพี่ยกโทษให้พวกเราด้วยเถอะนะครับ พวกเราจะไม่ทำอีกแล้ว”หนึ่งในนั้นแทบจะยกมือไหว้คนอายุมากกว่าอยู่รอมร่อ
“ได้ครั้งนี้กูจะไม่เอาเรื่องพวกมึง แต่แน่นอนชื่อพวกมึงจะอยู่ในลิสต์ถูกจับตามองของตำรวจ ถ้ามีอีกครั้งเมื่อไร เตรียมตัวสวัสดีคุกได้เลย”
หลี่อี้เฟิงจัดการบอกกลุ่มลูกน้องของตัวเองให้จัดการที่เหลือต่อให้ก่อนจะเดินไปหาเด็กสามคนที่เขารู้จักและคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี นับว่านานเหมือนกันตั้งแต่เขาเริ่มเข้ารับการฝึกกับกรมตำรวจจนกระทั่งเพิ่งได้รับการแต่งตั้งและถูกเจ้ารุ่นน้องอย่างเชียนซีเรียกให้มาหาเพราะคิดว่าน่าจะมีเรื่อง
เขาน่ะเป็นลูกตำรวจที่มียศใหญ่โตแต่กลับทำตัวเหลวไหลจนมีชื่อเสียงในกลุ่มพวกเด็กเกเรไม่น้อยก่อนจะกลับใจเอาได้ตอนหลังเพราะสงสารพ่อที่ต้องคอยตามล้างตามเช็ดให้ตัวเองจนสุดท้ายก็เดินตามรอยท่านจนได้
“พวกเรากลับเข้าร้านไหมงานนี้เฮียเลี้ยงเอง”
“ก็ต้องแน่อยู่แล้วดิเฮียมีเงินเดือนแล้วนี่นา”หวังหยวนตอบด้วยรอยยิ้ม
“ไอ้แสบก็ยังเป็นไอ้แสบอยู่วันยังค่ำสินะปะ มื้อนี้กระเป๋าไม่ฉีกอย่างเรียกเฮียอี้เฟิง”หลี่อี้เฟิงตอบพร้อมกับกอดคอรุ่นน้องตัวเล็กอย่างหวังหยวนแต่ยังไม่ทันที่จะได้ไปถึงไหน เสียงของอี้หยางเชียนซีก็หยุดพวกเขาเอาไว้ก่อน
“ผมขอคุยกับจวิ้นข่ายเกอสักครู่นะครับ”
น้ำเสียงราบเรียบนั่นทำเอาคนอายุมากกว่าถึงกับมองหน้าหวังหยวนเพื่อถามเรื่องราวที่เกิดขึ้นแต่สิ่งที่ได้กลับมีเพียงการพยักหน้าบอกให้เขาเออออไปก่อนเสียอย่างนั้น
“อ่างั้นเฮียกับหยวนเข้าไปรอในร้านนะ คุยกันดีๆ ล่ะ”
ร่างของพี่ชายตัวโตกับน้องชายตัวเล็กเข้าไปในร้านหายเข้าไปในร้านเรียบร้อยแล้วเช่นเดียวกับกลุ่มวัยรุ่นและเพื่อนลูกน้องของหลี่อี้เฟิงทั่วทั้งบริเวณจึงเหลือเพียงคนสองคนที่ยืนมองหน้ากันชนิดที่ไม่มีใครยอมเอ่ยอะไรออกมาเสียทีจนกระทั่ง...
“ทำไมถึงแต่งตัวอย่างนี้มาเที่ยวในที่แบบนี้ครับมันอันตรายไม่รู้หรอ”
“...เรื่องของฉัน”หวังจวิ้นข่ายตอบกลับโดยไม่มองหน้าคนถาม
“แต่ผมเป็นห่วง ผมบอกแล้วใช่ไหมว่าให้รักตัวเองบ้าง”
“ฉันก็ทำเพื่อตัวเองอยู่นี่ไงทำให้ตัวเองมีความสุขแล้วไม่เห็นหรอ”
“โดยการออกมาเที่ยวกลางคืนกินเหล้า เมาไม่รู้เรื่องแบบนี้น่ะหรอ มันมีความสุขยังไงผมถามหน่อยมีแต่จะทำให้เสียสุขภาพ เป็นภาระของคนอื่นทั้งนั้น”เชียนซีพูดพร้อมกับแววตาคมที่ฉายความไม่พอใจออกมาอย่างชัดเจน
หวังจวิ้นข่ายน่ะไม่รู้หรอกว่าตอนที่เขาไม่เห็นอีกคนอยู่ในร้านเขาเป็นห่วงเจ้าตัวมากแค่ไหน ยิ่งพอเห็นคนพวกนั้นกระทำกับร่างกายที่เขาคอยดูแลมาตลอดด้วยท่าทางหยาบคายนั่นเขาแทบจะระงับอารมณ์ตัวเองเอาไว้ไม่อยู่ด้วยซ้ำแต่นี่ดูอีกคนสิ...
“ฉันไม่เคยขอให้นายมาช่วยด้วยซ้ำอีกอย่างถ้ามันเป็นภาระมากขนาดนั้นก็ไม่จำเป็นหรอก!!
“ทำไมพี่ดื้อแบบนี้”
“ฉันก็เป็นของฉันแบบนี้ไม่ต้องมายุ่ง ไม่ต้องมาสนใจ ไม่ต้องมาใส่ใจ เพราะนายกับฉันไม่ได้เป็นอะไรกันด้วยซ้ำอี้หยางเชียนซี”
“จะไม่ให้ผมห่วงได้ยังไงก็ผมชอบพี่ไงแค่นี้ไม่เข้าใจหรอวะ”เชียนซีสบถออกมาด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย
หวังจวิ้นข่ายไม่เคยเข้าใจอะไรเขาเลย
“อย่ามาขึ้นเสียงใส่ฉันนะ
“...”
“ฉันบอกไปแล้วไม่ใช่หรือไงว่าไม่อยากเห็นหน้านายอีก...หวังว่าจะยังไม่ลืม”จวิ้นข่ายพูดแค่นั้นก่อนจะหันตัวเดินกลับเข้าไปในร้านโดยทิ้งใครอีกคนไว้กับกองความรู้สึกมากมาย
มีใครเคยบอกไหมว่าหวังจวิ้นข่ายน่ะเป็นคนใจร้ายที่สุดในโลก...
“โถ่เว้ย
เสียงดนตรีสดในร้านเปลี่ยนเป็นเพลงช้าเนื่องจากเป็นช่วงเวลาพักของดีเจที่ขึ้นโชว์ร่างของหวังจวิ้นข่ายเข้ามาด้วยท่าทางไม่สบอารมณ์นักโดยไร้วี่แววของรุ่นน้องอีกคนแต่พออี้เฟิงจะถามก็ถูกรุ่นน้องตัวเล็กห้ามเอาไว้เสียก่อนสุดท้ายก็กลายเป็นว่านั่งมองร่างบางตรงหน้ากระดกแอลกอฮอล์เข้าปากแทนน้ำเปล่าไปทั้งอย่างนั้น
“ทะเลาะกันมาแหง”
“อื้อตั้งแต่ที่หอแล้ว หยวนไม่รู้จะทำยังไงแล้วนะ อีกคนก็ไม่สนใจความรู้สึกของคนที่ชอบตัวเองเลยส่วนอีกคนก็นิ่งจนไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่อะ”
“ความรักก็แบบนี้แหละ”
“ถ้ามันยากแบบนี้หยวนขอมีความรักกับหัวกั่ว(หม้อไฟ)ไปเลยดีกว่าอีก”คำพูดของเด็กข้างกายทำเอาอี้เฟิงอดหลุดขำออกมาไม่ได้คนอะไรพูดว่าจะรักกับหม้อไฟด้วยสีหน้าจริงจังขนาดนั้นน่ะ
นั่งอยู่ด้วยกันไม่นานนักดนตรีในร้านก็หยุดลงพร้อมกับนักร้องของวงเอ่ยว่าจะมีแขกรับเชิญพิเศษขึ้นมาร้องเพลงเซอร์ไพร์สใครบางคนในร้านซึ่งก็ดึงดูดความสนใจจากลูกค้าหลายคนได้ไม่น้อย ก่อนที่ทั้งหลี่อี้เฟิงและหวังหยวนจะเบิกตากว้างด้วยความตกใจเมื่อเห็นว่ารุ่นน้องและเพื่อนสนิทของตนขึ้นไปอยู่บนเวที
“หยวน...”
“อันนี้ไม่รู้เรื่องเหมือนกัน”ปรึกษากันเสร็จก็หันไปมองหน้าคนที่ละจากแอลกอฮอล์ทอดสายตาไปมองคนบนเวทีด้วยสายตาที่อ่านไม่ออกแทน
“จริงๆแล้วผมไม่ใช่คนร้องเพลงเพราะอะไรหรอกครับเพลงนี้อาจไม่เพราะเท่าไรคงต้องขออภัยทุกคนไว้ล่วงหน้าด้วย ที่ผมมาก็เพียงแค่มีเพลงหนึ่งที่อยากจะมอบให้คนคนหนึ่งเท่านั้น”
“...”
“คนที่เป็นคนสำคัญสำหรับผมเสมอมาและมันจะเป็นอย่างนั้นตลอดไป ขอโทษที่ผมไม่แสดงออกให้มากกว่านี้ขอโทษที่ปกป้องพี่จากความเจ็บปวดไม่ได้ ขอโทษที่ทำให้พี่ยิ้มไม่ได้เหมือนเขา...”
“...”
“ขอโทษ...ที่รักพี่ เสี่ยวข่าย”
ดวงตาคมสบเข้ากับดวงตาของคนด้านล่างอย่างจริงใจเปียโนดังขึ้นเมื่อคำกล่าวของชายหนุ่มจบลง ทันทีที่เสียงทุ้มเริ่มขับร้องบรรยากาศภายในร้านก็เต็มไปด้วยความเศร้าแสนอึดอัดที่ถูกสื่อออกมาผ่านเสียงเพลงหลายคนปรบมือให้เมื่อเสียงนั้นทำให้พวกเขาประทับใจ
...เขาเหลือไว้ให้เธอเพียงแค่เงา
เรื่องราวของความรัก ไม่เอ่ยถึงสักคำ ทำเธอร้องไห้จนตาแดง
คำโกหกของเขาช่างน่าฟังเขาไม่ได้โกหกเธอเพียงแค่ครั้งเดียว
มันไม่ควรค่าให้เธอเสียใจเพื่อเขาอีกต่อไป...
น้ำสีใสไหลจากดวงตาคู่สวยที่จ้องมองคนบนเวทีอยู่ช้าๆโดยที่คนร้องเองก็ไม่ได้ละสายตาออกจากร่างตรงหน้าเช่นกันราวกับเพลงนี้เกิดมาเพื่อพวกเขา ราวกับคนตรงหน้ากำลังเอ่ยถึงความรู้สึกของตัวเองตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา
...เขาไม่เข้าใจเธอแกล้งทำเป็นเย็นชา
เขาไม่เข้าใจรัก ทำเหมือนมันเป็นแค่เกม
เขาไม่เข้าใจว่าจะแสดงความรักออกมาอย่างไร
นอกจากขอโทษแล้วก็มีเพียงแค่เสียงถอนหายใจ
เขาไม่เข้าใจทำไมหัวใจเธอต้องร้องไห้
ที่สะอึกสะอื้นจนหายใจไม่ออก...
หลายคนในร้านน้ำตาซึมออกมารวมทั้งหวังหยวนเองส่วนร่างของหวังจวิ้นข่ายตอนนี้กำลังร้องไห้สะอึกสะอึ้นจนตัวโยนดังเช่นเนื้อเพลงที่อีกคนขับร้องออกมาราวกับเข็มนับร้อยที่ค่อยๆ ปักลงมาในหัวใจของตัวเองช้าๆ เข็มที่เข้ามาย้ำเตือนความเจ็บปวดที่ได้รับจากความรักตลอดมา
อี้หยางเชียนซีค่อยๆเดินลงมาจากเวทีช้าๆ ก่อนจะหยุดลงตรงหน้าร่างบอบบางของรุ่นพี่คนสนิทที่ตนรักสุดหัวใจมือหนาประคองใบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตาขึ้นมาสบตากับตัวเองอย่างช้าๆ รอยยิ้มแสนอ่อนโยนที่เคยได้รับฉายชัดขึ้นอีกครั้งในวันนี้
หวังจวิ้นข่ายเพิ่งรู้ในวันนี้เองว่ามันเป็นรอยยิ้มที่แสนมีค่ามากแค่ไหนรอยยิ้มที่อยู่กับเขาตลอดเวลา รอยยิ้มที่ไม่เคยบ่นเคยว่าเวลาที่เขาเอาเรื่องทุกข์ใจมาระบายให้อีกคนฟังรอยยิ้มที่คอยปลอบโยนเขาเวลาอ่อนแอ รอยยิ้มที่ไม่เคยยอมแพ้แม้เขาจะทำไม่ดีกับเจ้าของมันมากแค่ไหน
รอยยิ้มของอี้หยางเชียนซี
เขาไม่เคยเข้าใจ... หัวใจของเธอเลย...
แทบจะทันทีที่เสียงเปียโนจบลงร่างของรุ่นพี่ตัวบางก็โผเข้ากอดคนตรงหน้าทันทีท่ามกลางเสียงปรบมือและน้ำตาของใครอีกหลายคนรวมถึงตัวเขาเองที่ต้องเงยหน้าเพื่อกลั้นหยดน้ำในดวงตาไม่ให้ไหลออกมาด้วยเช่นกัน
ถ้าคนปลอบยังร้องก็คงจะร้องกันไม่จบไม่สิ้นแน่
“ขอโทษนะเชียนขอโทษ”
อี้หยางเชียนซีไม่ได้ตอบอะไรกลับไปสิ่งที่เขาทำมีเพียงการยกมือขึ้นมาลูบแผ่นหลังที่กำลังสั่นไหวนั่นเบาๆเหมือนเช่นเคย เหมือนกับทุกครั้งที่ต้องทำตลอดมาและตลอดไป
พอแล้วทุกอย่างพอสำหรับเขาแล้ว
อี้หยางเชียนซีไม่ต้องการอะไรอีกแล้วไม่ต้องการให้หวังจวิ้นข่ายรักเขาเหมือนกับที่เขารักอีกคนไม่ต้องการมันอีกต่อไปแล้ว สำหรับเขาเพียงแค่ร่างในอ้อมแขนรักตัวเอง ไม่ต้องจมอยู่กับความเศร้าที่ใครบางคนทิ้งไว้ให้อีก
เพียงเท่านั้น...
อี้หยางเชียนซีก็พอใจแล้ว
- Never End -
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in