EP.0 - Prologue
#counter2
....
...
..
.
นับเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดโคตร ๆ ที่ผมไม่ยอมหาอะไรกินรองท้องก่อนขึ้นรถเมล์
แสงสีแดงจากไฟท้ายรถหลากหลายสัญชาตินับสิบคันที่จอดอยู่เบื้องหน้า แดงเถือกส่องสว่างจนผมต้องถอนหายใจหนัก ๆ อีกรอบ ค่ำวันนี้รถประจำทางคันที่ผมนั่งใช้เวลาถึง 40 นาทีในการขยับจากป้ายหนึ่งไปอีกป้ายหนึ่ง
นี่สินะ ชีวิตดี ๆ ที่ลงตัว ตามที่ป้ายตรงรางบีทีเอสเขาเขียนบอก
พอเปลี่ยนไปมองทางนอกหน้าต่างก็ทำผมต้องกลืนน้ำลายเอือก ร้านอาหารที่นานาชาติยกย่องว่าเป็นเสน่ห์เมืองไทยอย่างสตรีทฟู้ดตั้งเรียงรายท้าทายกระเพาะผมซะเหลือเกิน พ่อค้าแม่ขายวินมอ'ไซค์ล้วนใช้งานฟุตบาธร่วมกับคนเดินเท้ากันเต็มที่ เอาดี ๆ คนไทยถนัดเรื่องการทำให้พื้นที่สาธารณะเป็นพื้นที่ mixed-use มากนะผมว่า (พูดง่าย ๆ มันก็คือการทำให้ที่ที่หนึ่งใช้ประโยชน์ได้หลายอย่าง ใช้จนคุ้ม)
ผมกำลังมองกลุ่มสาวออฟฟิศในเสื้อเชิ้ตสีขาวที่พับแขนเสื้อขึ้นไปถึงข้อศอกแบบลวก ๆ 3 คนนั่งกินปลาเผากันอย่างไม่เกรงใจควันรถที่พ่นออกจากรถประจำทางสีส้มไร้แอร์ -- จำนวนประชากรบนรถนั้นหนาแน่นและจอดแช่มานานพอ ๆ กับคันของผม -- พอมองจากมุมนี้มันก็อดเศร้าไม่ได้กับคุณภาพชีวิตแบบนั้น แต่ที่น่าเศร้ากว่าคือผมก็ใช้ชีวิตแบบนั้นตั้งแต่เด็กจนโต เรียกได้ว่าทำงานหาเงินตาแหกไปจ่ายค่ายาค่าห้องพิเศษจากไลฟ์สไตล์เส็งเคร็งแบบนี้ชัด ๆ
.
.
.
รถ(ประจำทาง)ของผมเริ่มเคลื่อนตัวได้สะดวกหลังจากผ่านพ้นแยกนรกรถติดบรรลัยมาได้ ผู้โดยสารทยอยลงรถไปตามจุดหมายปลายทางของตัวเอง รวมถึงพี่ผู้ชายชุดดำล้วนข้างผมที่เพิ่งจะลุกออกไปยืนหน้าประตูรถเพื่อกดกริ่งลงป้ายหน้าด้วย และนั่นทำให้ความทรมานจากกลิ่นเหงื่อไคลชายฉกรรจ์ที่ผมอดทนมาร่วมชั่วโมงสิ้นสุดลง
แต่ความหิวข้าวเย็นต่างหากคือความทรมานสุดท้ายจากการเดินทางกลับคอนโดของผม ถึงจะเริ่มทำงานมาได้เกือบสองเดือนแล้วก็เหอะ แต่ผมยังจัดตารางชีวิตให้ตัวเองไม่ได้สักที เข้างาน 9 โมง ผมกลับตื่น 7 โมงครึ่งบ้าง เกือบ 8 โมงบ้าง ทั้ง ๆ ที่ต้องเดินทางไปออฟฟิศเป็นชั่วโมง
อย่างวันนี้เลิกงานค่ำแต่ผมกลับหาเวลากินข้าวเย็นไม่ได้เพราะอยากรีบกลับไปอาบน้ำทิ้งตัวลงบนเตียงมากกว่า แต่สุดท้ายกว่าข่มตานอนหลับได้ก็คงปาไป ตี 1 ตี 2 เหมือนเคย พักกลางวันเลยต้องรีบกินข้าวแล้วมางีบเอาก่อนเข้างานบ่าย เป็นอะไรที่ต้องนั่งถามตัวเองทุกวันว่า นี่เหรอภาพชีวิต first jobber ของตัวเอง
ห่วยแตกสิ้นดี
.
.
.
นาฬิกาบนข้อมือบอกเวลาว่าเลย 2 ทุ่มมาได้ 12 นาทีแล้ว ผมรีบก้าวลงรถเมล์แล้วเดินเอามือกุมท้องให้สมกับความหิวโซไปตามฟุตบาธ เรี่ยวแรงที่มีน้อยอยู่แล้วยิ่งน้อยลงกว่าเดิมอีก
แน่สิวะ
ข้าวมื้อล่าสุดของผมคือราดหน้าเส้นหมี่ขาวปริมาณสมราคา 35 บาทที่เขมือบลงไปตั้งแต่ตอนเที่ยงกว่า ๆ และก็ไม่มีอะไรตกถึงท้องอีกเลย ผมไม่ใช่คนชอบกินอะไรระหว่างวัน ถ้าไม่ถึงเวลามื้ออาหารก็ไม่อยากกินอะไรประมาณนั้น เลยไม่แปลกที่จะมองดูตัวเล็กกว่ามนุษย์เพศชายรอบตัวเสมอ กับบางคนถึงผมจะสูงกว่า แต่ก็ดูตัวเล็กกว่าอยู่ดีเพราะน้ำหนักตัวที่พอเอาไปหาค่า bmi แล้วผลคือไม่เข้าเกณฑ์หุ่นสมส่วนแบบที่ชายชาตรีควรเป็น
ทางเดินกลับคอนโดฝั่งป้ายรถเมล์มีร้านอาหารที่เรียกว่าเป็น 'ร้าน' ได้แค่สามร้านเท่านั้น (ก็คือมีโต๊ะเก้าอี้ให้นั่งกินเป็นกิจวัตร) เป็นอาหารเส้นทั้งนั้นไม่รู้ว่าเพราะอะไร ชายสี่บะหมี่เกี๊ยว เย็นตาโฟ และก๋วยเตี๋ยวเป็ด ซึ่งแน่นอนว่าผมไม่นึกอยากอาหารสดใหม่พวกนี้หรอก น้ำซุปร้อน ๆ ไม่เหมาะกับความหิวระดับแดกควายแปดตัวและความง่วงที่ถ่วงเปลือกตาทั้งสองข้างของผมให้มันหนักกว่าปกติ
จิตสั่งการให้ร่างกายของผมตรงดิ่งด้วยอัตราเร็วเท่าแมวตอนกินอิ่มไปยังสถานที่หมาย แสงไฟสีขาวส่องสว่างแยงตามาถึงหน้าร้านเย็นตาโฟ ผมอุปมาอุปมัยว่ามันคือแสงแห่งความหวัง ในยามดึกดื่นหรือฉุกเฉินคราใด แสงจากร้านสะดวกซื้อไม่ต่างจากแสงแห่งชีวิตของชายหนุ่มชนชั้นกลางที่ขี้เกียจแม้กระทั่งรอแม่ค้าผัดข้าวอย่างผม
ผมน่ะ ชอบร้านสะดวกซื้อ
.
.
.
ตื๊อ ดื่อ
"สวัสดีค่า ยินดีต้อนรับค่า"
พนักงานแคชเชียร์ที่ยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์แรกกล่าวต้อนรับด้วยประโยคที่คุ้นเคยหูทันทีที่เสียงเซนเซอร์ประตูดังขึ้น ผมเดาว่าเขาคงไม่ได้มองด้วยซ้ำว่าใครเดินเข้ามาบ้าง (โดยเฉพาะเวลาที่คนเยอะจนบังเคาน์เตอร์มิด) บางวันที่ไม่ได้ออกไปทำงานหรือไปเจอใครที่ไหน การมาซื้อข้าวกินตามร้านรวงต่าง ๆ คือหนทางที่ดีที่สุดที่ช่วยให้ผมได้เปิดปากสนทนากับใครสักคนบ้าง ถึงจะเป็นประโยคเช่น 'ไม่รับถุงครับ' ไม่ก็ 'เวฟครับ' ก็ตาม
ผมไม่ได้หันไปมองโดยตรงว่าหลังเคาน์เตอร์แคชเชียร์มีพนักงานคนไหนอยู่บ้าง เดินตรงดิ่งไปยังตู้โชว์สินค้าที่มีขนมหวานอยู่เคียงคู่กับอาหารเวฟนานาประเภท แต่เหมือนพนักงานหลังเคาน์เตอร์แรกที่ทักทายจะเป็นคนที่ผมไม่เคยมาก่อนเลย
อ่า...ครับ ผมจำหน้าพนักงานทุกคนในร้านได้ ถ้าใครเข้าร้านสะดวกซื้อแทบทุกวันอย่างผม และเข้าวน ๆ อยู่แบบนี้มานานกว่า 3 ปีก็คงจะเข้าใจ และผมค่อนข้างเชื่อว่าพนักงานก็จำหน้าผมได้แน่ ๆ ผู้ชายตัวผอมหน้าตาอิดโรยที่เดินเข้าร้านเขาทุก 2 - 3 ทุ่ม ดูแล้วคงมีแค่ผมคนเดียวในย่านนี้
เอาจริงแล้วการเลือกอาหารแช่แข็งในร้านสะดวกซื้อมันนานกว่ายืนรอป้าร้านก๋วยเตี๋ยวเป็ดลวกเส้นเล็กใส่ถุงอีกด้วยซ้ำ ผมยืนเปรียบเทียบปริมาณโซเดียมอยู่เป็นนาที ๆ ตั้งแต่ที่บนกล่องเริ่มแปะข้อมูลโภชนาการก็ไม่เคยหยิบปุ๊ปจ่ายปั๊ปได้เลยนับแต่นั้นมา -- คือผมไม่ได้กลัวอ้วนนะ แต่กลัวโรค ทั้งไตทั้งความดัน -- เห็นยายตัวเองกินยาแล้วผมก็เคยอยากเลิกกินอาหารพวกนี้ไปเหมือนกัน แต่ติดตรงที่ประโยชน์มันยังมีต่อไลฟ์สไตล์มนุษย์เงินเดือนนี่สิ จะเลิกได้ก็ต่อเมื่อขยันและรวย รวยและขยันมั้ง
.
.
.
สุดท้ายผัดซีอิ๊วก็เป็นผู้ชนะ ทั้งไขมันทั้งโซเดียมที่เยอะจนมือสั่น แต่ก่อนผมกินสองกล่องอย่างไม่เดือดร้อนอะไรสักนิด ครั้งแรกที่เห็นตัวเลขพวกนี้ทำเอาช็อคจนหยุดกินไปเกือบเดือน
ผมเดินไปหยิบนมจืดกล่องละ 12 บาทมาอีกหนึ่ง อีกอย่างที่ไม่ชอบของสินค้าในร้านนี้คือการมีเศษสตางค์ของนมแบบขวด ของอย่างอื่นแม่งไม่เห็นจะต้องมีเศษสตางค์ขนาดนี้ ทำไมต้องเป็นนมขวดด้วยวะ อาหารกันตายเลยนะ และสำหรับนมกล่องดับขนมปังแซนวิชหมูหยองน้ำสลัดรวมกันราคา 25 บาทคือมื้อเช้าอันสำคัญของผมในวันพรุ่งนี้
ชีวิตผมมันไม่มีหรอกครับไอ้การตื่นตี 5 ไปวิ่งออกกำลังกายที่สวน ชมนกชมไม้ยามเช้า รอให้พระอาทิตย์ขึ้นแล้วยืนอาบแสงของมันรับวิตามินดี เสร็จแล้วก็อาบน้ำกินข้าวเช้าที่ครบ 5 หมู่ก่อนออกไปทำงานด้วยจิตใจแสนผ่องใสกระปรี้กระเปร่าพร้อมทำงานที่เรารัก เป็นชีวิตที่ดีที่คนประสบความสำเร็จเขาทำกัน แต่แม่งจะไม่เกิดขึ้นกับผมเร็ว ๆ นี้แน่นอน
.
.
.
"ไม่ต้องใส่ถุงครับ"
ผมรีบบอกน้องพนักงานทันทีที่นิ้วมือของน้องเขากำลังจะจิกถุงพลาสติกขึ้นมาหนึ่งใบ ผมเป็นพวกเข้าข่ายรักษ์โลกนิดหน่อย ไม่รับถุงพลาสติกมาเป็นปีได้แล้ว กระเป๋าผ้าสีขาวใบโปรดราคาแตะพันของผมไม่ได้ใหญ่เพื่อความติสท์และเท่เท่านั้น แต่เอาไว้ใส่ของที่ซื้อระหว่างวันนี่แหละ ดูข่าวขยะพลาสติกในทะเลทีไรแล้วมันคับแค้นใจอย่างบอกไม่ถูก
พนักงานเคาน์เตอร์ 2 ที่กำลังคิดเงินให้ผม ถ้าจำไม่ผิดเหมือนผมเห็นหน้าเขาครั้งแรกเมื่อช่วงปลายปีที่แล้ว เป็นคนที่เวฟขนมปังปิ้งผมไหม้ในวันที่ผมหิวฉิบหาย (อีกแล้ว) ดูท่าทางยังไงก็คงอายุน้อยกว่าผมแน่ ผมบอกให้น้องเขาเวฟผัดซีอิ๊วให้เลยเพราะขี้เกียจไปเวฟเองที่ห้อง ถ้าไม่นับว่าอยากถอดกางเกงออกให้เหลือแค่บอกเซอร์ ผมก็อยากจะนั่งกินให้มันเสร็จ ๆ ตั้งแต่ในบาร์นั่งในร้านนี่แหละ
"ทั้งหมด 85 บาทค่ะ" พอคิดเงินเสร็จน้องพนักงานก็เอ่ยปากบอกราคาของทั้งหมด
"นี่ไงมาแล้วพี่!" เด็กผู้ชายที่ยืนอยู่ข้างหลังผมเสียงดังขึ้นมาเมื่อมีใครบางคนมาที่หน้าประตูร้าน ผมที่เพิ่งล้วงกระเป๋าสตางค์ได้เลยหันไปมองที่ทิศทางนั้นโดยอัตโนมัติ
"มาช้านะ ไหนเราสัญญากับพี่ว่า 2 ทุ่ม" พนักงานสาวอวบที่ผมคุ้นหน้าอีกคนหลังเคาน์เตอร์ 3 พูดขึ้นต่อทันทีที่หนุ่มวัยฉกรรจ์ที่เดินเข้ามาในร้าน
และหลังจากนั้นผมก็ไม่ได้ยินอะไรอีกเลย...
.
.
.
ผมเดินออกมาจากร้านพร้อมถุงใส่ผัดซีอิ๊วเวฟแล้วด้วยความอะไรวะอีกสิบระดับ
อะไรวะ... ทำไมใจยังเต้นแรง...
ผมไม่เคยมีแฟนและไม่ได้มีคนคุยแบบจริง ๆ จัง ๆ มาสองปีได้แล้ว หน้าตาผมเองไม่ได้แย่ คือไม่แย่เลย จัดไปในทางหน้าตาดีด้วยซ้ำ (อันนี้สรุปเอาจากภาพถ่ายและคำพูดของคนอื่นน่ะนะ) ผมเพิ่งค้นพบว่าตัวเองมีความสนใจต่อคนที่เป็น 'เพศชาย' ตอนขึ้นมหาวิทยาลัยปี 2 และหลังจากนั้นมาผมก็ใจเต้นแรงกับมนุษย์เพศชายที่ตรงสเปคมาโดยตลอด
รวมถึงชายหน้าเก่าผู้มาใหม่ในร้านสะดวกซื้อคนนั้นด้วย
เขาเป็นพนักงานของร้านสะดวกซื้อร้านนี้แหละครับ ผมเจอเขาครั้งแรกเมื่อปลายปีของปีก่อน ๆ อ่า ผมหมายถึงว่า ผมเจอเขาครั้งแรกเมื่อช่วงปลายปี 60 ตอนที่กำลังเรียนอยู่ปี 3 ถ้าจำไม่ผิดคือช่วงสอบกลางภาค ก็คงสักเดือนกันยา-ตุลาประมาณนั้น ช่วงนั้นผมชอบอยู่อ่านหนังสือกับเพื่อนที่มหา'ลัยจนค่ำ กว่าจะกลับถึงห้องก็ 3 - 4 ทุ่มไปแล้ว ความที่ต้องซื้อข้าวเช้าไว้กินเวลาที่วันต่อไปมีเรียนเช้า ผมก็เลยเข้าร้านสะดวกซื้อบ่อย ๆ แล้วก็ได้เจอกับเขา
ถ้าถามว่าเขาหน้าตาดีหรือหล่อมีเสน่ห์ขนาดไหน ผมตอบตามจริงว่า หล่อ แต่ไม่ได้มากขนาดนั้น ดูเหมือนจะรุ่นราวคราวเดียวกันกับผมหรือถ้าอ่อนกว่าก็คงแค่ไม่กี่ปี เพื่อนในคณะหรือผู้ชายในมหา'ลัยหน้าตาดีกว่าเขาก็มี แต่ว่าเขาเป็นคนที่มีอะไรบางอย่างที่ทำให้ใจผมมันระส่ำระส่ายแปลก ๆ ทุกครั้งที่มอง
.
.
.
เหตุการณ์ที่ทำให้ผมรู้ตัวว่าอาจจะชอบ เขาคือตอนที่เราได้สบตากันอย่างเนิ่นนานครั้งแรก
จากวันแรก ๆ ที่มักจะเจอเขาตามชั้นวางสินค้ากำลังเรียงนั่นเรียงนี่ หรือไม่ก็เห็นเดินเข้าผลุบ ๆ โผล่ ๆ จากห้องที่เหมือนจะเอาไว้เก็บสินค้าของร้าน จากนั้นผมก็เจอเขาได้ที่เคาน์เตอร์แคชเชียร์มากขึ้น และแทบทุกวันในช่วงหลัง
จากการสังเกตและเก็บสถิติโดยนายซีเอง ผมพบว่าเขามักจะมาช่วงทุ่มสองทุ่มไปแล้ว น้อยมากที่จะเจอตอนพระอาทิตย์ยังไม่ตกดิน (ที่พนักงานหญิงด้านหลังผมพูดเรื่องสัญญา 2 ทุ่มไรนั่นผมเดาว่าอาจจะเป็นการผลัดกะกัน) และจะอยู่ประจำเคาน์เตอร์ 2 บ่อยที่สุด แน่นอนว่าผมอยู่อ่านหนังสือกับเพื่อนจนค่ำเพราะต้องการเวลากลับคอนโดให้มันดึกหน่อย เพราะคนในร้านมันจะน้อย และผมจะสามารถคิดเงินกับเขาได้ ที่สำคัญคือมันต้องเป็นรูทีน เหตุผลก็คือเพื่อที่เขาจะได้จำผมได้ เช่น บางทีเขาอาจมีความคิดแว่บ ๆ บ้างว่า 'มาละ นักศึกษาคนนั้นที่มาซื้อนมกับขนมปังทุกสามทุ่ม' เป็นต้น
และผลลัพธ์ที่ได้ก็ดีตามคาด ผมเจอเขาโคตรของโคตรบ่อย มีโมเมนต์เล็ก ๆ น้อย ๆ ให้ได้มโนต่อตามสไตล์คนอย่างผม ผมพลอยได้ก็คือเทอมนั้นเกรดผมและเพื่อนขึ้นกันถ้วนหน้า เกรดผมขึ้นถึง 3.82 อย่างท็อปฟอร์มเพราะอ่านหนังสือหลังเลิกเรียนทุกวัน สรุปได้สั้น ๆ ว่าการแอบชอบใครสักคนก็มีประโยชน์นะครับ
.
.
.
กลับมาที่เรื่องสบตา วันนั้นผมเข้าไปซื้อของตามปกติ (เอาจริงมันก็ไม่ปกติ ตั้งใจเข้าไปเพราะอยากเจอเขานั่นแหละ) แต่ผมทำเป็นเดินวนหาอาหารเช้าให้ตัวเองอยู่ตามร้านข้างนอกก่อน ที่จริงผมมีเทคนิคที่ดูไม่ประเจิดประเจ้อเกินไปที่จะเจอเขาคือไม่ได้คิดเงินกับเขาทุกครั้งที่เข้า คือถ้ามีคนต่อคิวอยู่ผมก็ไม่ลงทุนไปต่อด้วยนั่นแหละ เคาน์เตอร์ไหนว่างก็ใช้เคาน์เตอร์นั้น วันไหนเขาว่างอยู่ผมก็จะได้โมเมนต์
แต่วันนั้นโมเมนต์สบตาไม่ได้เกิดจากการคิดเงินที่เคาน์เตอร์หรอกครับ มันเป็นวันที่ฝนเพิ่งหยุดตก ผมก็แอคเดินวนอยู่อย่างนั้น สุดท้ายก็หาข้าวเช้ากินไม่ได้เพราะร้านรวงปิดไปเยอะ เลยต้องเข้าร้านสะดวกซื้อซะเลย (งงเหมือนกันว่าจะทำชีวิตไปให้ยากทำไมวะ) และจังหวะที่ผมเดินเข้าร้าน เขาที่ยืนอยู่นอกเคาน์เตอร์ มือข้างหนึ่งเท้าอยู่กับโต๊ะเคาน์เตอน์แคชเชียร์ ลำตัวและใบหน้าหันมาทางประตูซึ่งมีผมที่กำลังแอคท่าเดินเข้าไป
คุณที่มีความรักคงเข้าใจคำว่า โลกหยุดหมุน วินาทีที่เราได้สบตากับเขาโลกแม่งเหมือนหยุดหมุนจริง ๆ คนรอบข้างมีกี่คนผมไม่รู้เลย ตอนนั้นภาพในหัวผมมีแค่เขาในชุดยูนิฟอร์มร้าน ยืนเอามือเท้าเคาน์เตอร์ และสายตามองมาที่ผม พื้นหลังเป็นสีชมพูทั้งหมด เหมือนเขาเอาแรงดึงดูดจากทั่วจักรวาลมารวมอยู่ที่ดวงตาโตสีดำคู่นั้นของตัวเองแล้วดึงผมเอาไว้
ผมไม่รู้ว่าผมอาจจะคิดไปเองเก่งเกินไปหรืออะไร แต่มันมีพลังงานบางอย่างจากดวงตาของเขา เหมือนเขาก็ตั้งใจมองมาเพื่อให้ผมมองกลับ แต่ทำไงได้ ผมที่อ่อนด๋อยกับเรื่องพรรค์นี้ทนสบตาเขาได้ไม่ถึง 8 วินาทีก็รีบหลุบตาลงแล้วเดินเลี่ยงไปเขินที่อื่น ซึ่งจากประสบการณ์ของนายซีเองบอกเลยว่ามันไม่จำเป็นต้องถึง 8 วิตามทฤษฎีคนเราก็ตกหลุมรักได้แล้วครับ (ในกรณีที่เป็นคนแบบผมนะ)
.
.
.
วันนั้นโชคดีหน่อยที่ผมไม่ได้คิดเงินกับเขาด้วย ไม่งั้นคงทำหน้าทำตัวไม่ถูกเหมือนเด็กแปดขวบเพิ่งเคยมีความรักแหง ๆ แต่เขาก็วนเวียนอยู่แถวเคาน์เตอร์นั่นแหละครับ หลายต่อหลาบครั้ง เอาแบบคิดเข้าข้างตัวเองน้อยที่สุดแล้วนะ สายตาและท่าทางของเขามันเหมือนมีพลังงานบางที่ผมไม่รู้ว่ามันคือพลังงานแบบเดียวกับผมหรือเปล่า มันจะเป็นไปได้หรอครับที่ต่างคนจะต่างแอบชอบกันแบบในหนังในนิยาย
ส่วนสาเหตุที่ทำไมผมชอบแล้วไม่บอกเขา หนึ่งเลยคือกลัวแห้วแดกครับ ใคร ๆ ก็ต้องกลัวผิดหวังทั้งนั้น และผมไม่ชอบซุปเปอร์ฮิวแมน ถึงจะเจอความผิดหวังมาเยอะแต่ไม่เคยชินและไม่อยากชินด้วย สองคือผมไม่รู้ว่าเขาจะชอบผู้ชายไหม ผมมีเพื่อนที่เป็นเกย์หลายคนนะ มันบอกว่าเกย์เวลามองกันมันจะดูออก แต่นี่ผมดูไม่ออก ผมยังอ่อนประสบการณ์นัก
และสามคือผมอาย เขิน และคิดว่าผมกับพนักงานร้านสะดวกซื้อมันดูแตกต่างไปหน่อยหรือเปล่า ตามสไตล์คนคิดมากก็เลยคิดไปถึงขั้นคบกันว่ามันจะไปรอดไหม จะคนละสังคมหรือเปล่า เราจะคุยกันรู้เรื่องไหม ถ้าสุดท้ายไม่เวิร์คจะทำยังไง ซึ่งสรุปได้ว่า เหตุผลจริง ๆ มีข้อเดียวคือ กลัวความผิดหวังเสียใจอย่างที่แล้วมา
.
.
.
เกือบสองปีที่ผ่านมาผมกับเขาก็เลยไม่เคยพัฒนาไปไหนนอกจากลูกค้ากับพนักงานเลย
เขาหายไปและกลับมาแบบนี้อยู่หลายรอบ ทุกครั้งที่เขาหายไป ผมก็หายไปด้วย แต่พอเขากลับมา ผมก็กลับมา อย่างวันนี้ วินาทีที่ผมเห็นหน้าเขา สบตากับเขา แค่วินาทีเดียวเท่านั้น แต่ภาพทั้งหมดเหมือนมีคนมากรอเทปย้อนกลับอย่างเร็ว ๆ ในหัวผม มาหมดทั้งภาพทั้งความรู้สึก มีหลายครั้งที่อดคิดไม่ได้ว่าผมกับเขาอาจเป็นคู่เวรคู่กรรมกันก็ได้ ไม่ใช่คู่สร้างคู่สม ก็เลยต้องมาเจอกันแบบนี้
แม่งฟังดูโคตรจะ hopeless romantic สมกับคนอย่างผมที่สุด และถ้าครั้งนี้ผมยังเป็นแบบเดิมก็คงต้องตัดใจจากเขาให้มันสิ้นซากแล้วแหละมั้ง
.
..
...
....
TBC
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in