ครั้งแรกที่เขาสังเกตเห็นอีกฝ่ายมันเป็นเพราะท่วงท่าการเดินของเจ้าตัวช่างลงจังหวะกับเพลงแจ็สที่เปิดอยู่ในร้านอย่างน่าอัศจรรย์
อันที่จริงมันก็ไม่ใช่แค่การเดินหรอก...ทุกครั้งที่เขาขยับมือ เรียงแก้วขึ้นสูง นำเครื่องดื่มมาผสมกัน สร้างรสชาติ ทำให้มีสีสัน ประดับ ตกแต่ง เทกลับลงมาในแก้วอีกครั้ง หรือแม้แต่จุดไฟ ทุกการเคลื่อนไหวราวกับมีเวทย์มนต์ เขานั่งเท้าคางมองภาพเหล่านั้นราวกับดูภาพยนต์เรื่องโปรดที่ต่อให้เปิดซ้ำๆไปอีกร้อยครั้งพันครั้งก็ไม่มีวันเบื่อ ตัวอักษรเรียบง่ายบนเข็มกลัดที่หน้าอกเป็นตัวหนังสือบอกชื่อของอีกฝ่ายที่เขาจะท่องซ้ำๆในใจไปตลอดคืนนี้ “เคลิ้มกว่านี้ก็น้ำนั่งลายไหลแล้วมั้งพี่”เสียงเรียกจากน้องชายทำให้เขาต้องหันไปมอง ขมวดคิ้วให้เมื่อฝ่ายนั้นขยับตัวมานั่งไขว่ห้างกอดอกอย่างมีมาด ไม่ทันได้ตอบกลับด้วยสักประโยคที่ทำให้เจ็บจี๊ดพอกัน เจ้าตัวแสบก็ลุยต่อ “ลืมไปเลยว่ามีใครเคยบ่นว่าจะนอนอยู่บ้าน” “ต้องเลี้ยงกี่แก้วแกถึงจะยอมหุบปากฮะ?”“โถพี่ คนอย่างผมซื้อไม่ได้ด้วยเงินหรอกนะ... “เขากำลังจะตอบกลับไปเป็นคำว่า เหรอ....? ยาวๆ แต่ก็ไม่ทันเจ้าตัวแสบตามเคย“...ถ้าไม่มากพอ” โชคดีที่กลุ่มเพื่อนๆ ซึ่งขอตัวไปเข้าห้องน้ำกลับมาพอดี รายการโจมตีพี่ชายของเจ้านั่นเลยต้องยุติไปชั่วคราว แล้วเปลี่ยนไปคุยกับเพื่อนเขามองภาพตรงหน้าแล้วได้แต่ถอนหายใจ ตอนเขาเรียนมหาลัยอายุเท่าเจ้าพวกนี้เขายังเอาแต่กินเหล้าปั่นเหยือกละร้อยกว่าบาทกับเฟรนช์ฟรายคลุกเกลือโง่ๆอยู่เลย แล้วทำไมเด็กพวกนี้ถึงได้ชอบมาสังสรรค์ที่ร้านเหล้าบรรยากาศคลาสสิคแถมยังเปิดแต่เพลงแจ็สได้ล่ะเนี่ย? แก่แดดชัดๆ...ดึงสายตากลับมาที่เดิมก็พบว่าเป้าสายตาของเขาหายตัวไปซะแล้ว ไปไหนแล้วล่ะ?พยายามกวาดสายตามองทั่วร้านก็ไม่เจอ ตรงที่อีกฝ่ายยืนปักหลักอยู่เพื่อชงเครื่องดื่มก็มีคนอื่นมาทำหน้าที่แทนซะแล้ว เพราะไอ้น้องชายตัวแสบนั่นแหละที่ขัดจังหวะกันจนเสียเรื่องไปหมด เขานั่งรออยู่ตรงนั้นสักพัก แต่รู้สึกเหมือนเวลาผ่านไปเป็นปี ...แต่อีกฝ่ายก็ไม่กลับมาแสดงว่าสายตาที่บังเอิญมาสบกับอยู่เรื่อยนั่นคงมีแค่เขาที่คิดไปเองรอยยิ้มมุมปากที่แอบส่งมาให้ในตอนที่ไม่มีใครสังเกต...ก็คงเป็นแค่เรื่องจินตนาการเพ้อฝันที่แอลกอฮอล์ปั่นสมองจนเกิดภาพหลอน เฮ้อ...เขาดันเก้าอี้ที่นั่งอยู่ให้ถอยหลัง ตบบุหรี่กับไฟแช็คที่วางอยู่บนโต๊ะมาใส่ลงไปในกระเป๋ากางเกงแล้วพูดกับน้องชายพร้อมลุกขึ้น “ไปสูบบุหรี่นะ...” อีกฝ่ายตอบกลับด้วยการทำมือเป็นสัญลักษณ์ ‘โอเค’ แต่ก็ไม่ได้หันมามองกันด้วยซ้ำ เอาแต่คุยเล่นกับเพื่อนเหมือนไม่เจอกันมาเป็นปี ทั้งๆที่เมื่อบ่ายก็น่าจะนั่งเรียนอยู่ด้วยกัน ,มุมสูบบุหรี่ของร้านเป็นดาดฟ้าเปิดโล่ง มีเก้าอี้ไม้ระแนงสีขาววางไว้ให้สองสามตัว กับถังขยะสแตนเลสพร้อมที่เขี่ยบุหรี่หน้าตาพื้นๆแบบที่เห็นได้ทั่วไป และเขาเป็นคนเดียวที่กำลังใช้พื้นที่ตรงนี้ หลังจากได้ที่นั่ง จุดบุหรี่และสูบเข้าไปแล้ว สิ่งแรกที่คิดคือตรงนี้ดีกว่าในร้านเป็นไหนๆ เห็นวิวตอนกลางคืนพร้อมได้ยินเพลงบรรเลงชัดเจน แถมยังไม่มีเสียงคุยรบกวน บรรยากาศไม่แออัด ไม่มีผู้คนล้อมหน้าล้อมหลัง และลมหนาวช่วงกลางคืนก็ช่างเย็นสบาย ดื่มด่ำกับบรรยากาศได้ไม่นาน เก้าอี้ตัวยาวที่เขานั่งอยู่ก็ขยับ หันไปมองถึงได้เห็นว่ามีคนมาขอแชร์พื้นที่กับเขาซะแล้ว ใครคนนั้นที่ก่อนหน้านี้ใส่เสื้อเชิ้ตสีขาว สายเอี๊ยม และหูกระต่าย ตอนนี้อยู่ในเสื้อกันหนาวแบบมีฮู้ด ปลายนิ้วเรียวยาวคีบมวนบุหรี่ ใบหน้าที่มองมาทางนี้ย้อนแสงไฟจากในร้าน มุมปากกดลงเป็นรอยยิ้ม ตามมาด้วยคำพูด“ผมขอต่อไฟหน่อยสิ” มาอยู่นี่ได้ไงเนี่ย?ต่อให้ตกตะลึงแค่ไหน แต่เขาก็ยังมีสติพอที่จะพยักหน้ารับ หยิบไฟแช็คจากกระเป๋ากางเกง เตรียมยื่นไปให้ แต่คนตรงหน้ากลับขยับเข้ามาใกล้...ใกล้จนปลายมวนบุหรี่แทบจะสัมผัสกัน...หัวใจเต้นแรงจนแทบสำลัก มองตรงไปก็สบเข้ากับดวงตาสีน้ำตาลเข้มที่บังเอิญมองสบกันเข้าก็หลายครั้ง แต่ได้เห็นชัดเจนที่สุดก็ตอนนี้ ริมฝีปากที่ยังประคองมวนบุหรี่อยู่เม้มเข้า แล้วก็เป็นเขาที่แพ้ ก้มหน้าลง ยื่นไฟแช็คไปให้ แล้วพูดต่อ “ผมว่า...เราไม่น่าจะสนิทกันมากพอที่จะต่อบุหรี่ได้ด้วยวิธีนั้นนะ...”คนฟังรับไฟแช็คจากเขาไปจุด ก่อนจะยื่นแขนผ่านด้านหลังเขามาวางพาดไว้ที่พนักเก้าอี้ เอนตัวนั่งตามสบาย พร้อมกับเสียงหัวเราะทุ้มต่ำที่ลอยมาตามสายลม“นั่นสินะ...”ตอนนั้นเองที่เขาได้รู้ว่าไม่ใช่แค่ท่วงท่าการเดินหรือการเคลื่อนไหวหรอกแม้แต่เสียงหัวเราะของผู้ชายคนนี้ก็ราวกับว่าเป็นบทกวีend
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in