เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
เจคกับเกาะลึกลับNNYs
ตอนที่ 6 ความฝันและบททดสอบ
  • ในถ้ำเป็นเพียงพื้นที่โล่งๆ ที่มีทางเดินมืดๆเพียงทางเดียว ผมกับคายาเดินออกมาข้างนอก และมองหากิ่งไม้แถวนั้นมาทำเป็นคบไฟ ก่อนจะกลับเข้าไปใหม่ เราเดินตามทางไปลึกเข้าไป แต่ก็ยังไม่พบอะไร ผมเกือบจะยอมแพ้และเดินกลับออกไปแล้ว แต่คายายังคงมุ่งมั่นและบังคับผมให้เดินต่อไปเรื่อยๆ จนในที่สุดเราก็พบแสงสว่างรอดเข้ามา

    .

    .

    .

    นี่ไม่ใช่ทางออกหรือห้องสมบัติ เป็นเพียงโพรงกว้างๆ อีกที่ แต่คราวนี้ไม่ได้มีทางเดินทางเดียว มีทางแยกอยู่สองทางซ้ายและขวา 

    "ซ้ายหรือขวา" คายาถามผม

    "ขวา" ผมตอบกลับ

    "มีเหตุผลรึเปล่า"

    "ที่บ้านเกิดของฉัน มีความเชื่อว่าขวาร้ายซ้ายดี"

    "แล้วทำไมไม่ไปทางซ้ายล่ะ" คายาถามผมด้วยสีหน้างุนงง

    "เพราะว่าฉันไม่เชื่อน่ะสิ เซนส์ของฉันบอกว่าทา…”

    "ไปทางซ้ายเถอะน่า" ผมพูดยังไม่ทันจบ คายาก็ลากผมไปทางซ้ายเสียแล้ว

    "แล้วเธอจะถามฉันทำไมเนี่ย!" ผมโวยวายแต่คายาดูจะไม่ใส่ใจสักเท่าไหร่ เราเดินไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ และเรื่อยๆ ทางเดินดูเหมือนจะยาวไม่มีที่สิ้นสุด ผมหวังว่าข้างหน้าจะไม่ใช่ทางตันหรอกนะ ไม่งั้นเราคงได้หมดแรงอยู่ที่นี่แน่ๆ ไม้ที่เก็บมาก็ร่อยหรอลงเหลือเพียงอีกไม่กี่อัน เราก็จะไม่มีอะไรใช้จุดไฟแล้ว ผมหันไปมองคายา เธอยังคงสงบนิ่งไม่แสดงสีหน้าอะไรออกมา แม้เราจะเดินกันมาเกือบสามชั่วโมง แต่คายาดูไม่เหนื่อยเลยสักนิด คนพื้นที่นี่แตกต่างจริงๆ เหมือนคายาจะรู้ตัวแล้วว่าผมมองเธออยู่ เห็นหน้ามาทางผมแล้วเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยเหมือนจะถามว่าผมมีอะไร

    “เธอไม่เหนื่อยบ้างเหรอ”

    “ไม่หนิ ปกติเราเดินป่าหาอาหารกันเกือบทั้งวันกันอยู่แล้ว เดินแค่นี้เหงื่อยังไม่ทันออกเลย” คายาตอบ พร้อมมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า

    “ดูเหมือนนายจะไม่ค่อยได้ออกจากบ้านนะ” คายาพูดขึ้นพร้อมแววตาขบขัน

    “พูดอะไรของเธอน่ะ! ฉันเป็นเด็กเสิร์ฟที่ร้านสวิฟตี้เชียวน่ะ นอกจากจะเดินเยอะแล้วยังต้องแบกแก้วเบียร์อีก!” ผมโวยวายที่คายาบังอาจมาแซวว่าผมไม่ค่อยได้ใช้แรง

               ผมเป็นถึงเด็กเสิร์ฟสามอันดับแรกของร้านสวิฟตี้เชียวนะ! เดินเสิร์ฟรอบนึงผมสามารถถือแก้วเบียร์ได้พร้อมกันตั้ง 4 แก้ว ส่วนเด็กเสิร์ฟอันดับหนึ่งซึ่งแก่กว่าผมสามปีสามารถถือแก้วเบียร์พร้อมกันได้ตั้ง 6 แก้วเชียว อีกสามปีผมต้องทำแบบเขาให้ได้ แต่ใครจะไปรู้ อีกสามปีผมอาจจะกลายเป็นนักล่าสมบัติที่มีชื่อเสียงไปแล้วก็ได้ หรือบางทีผมอาจจะพบขุมทรัพย์มหาศาลจนใช้ทั้งชีวิตก็ใช้ไม่หมด ผมจะกลายเป็นคนที่รวยที่สุดในเมือง มีอาหารเลิศรสกินทุกมื้อ มีชุดหรูๆ ใส่ แม่ก็นั่งหลังขดหลังแข็งเย็บผ้าเข้าไปขายในเมืองอีกต่อไป เราอาจจะซื้อสักหลังที่เมืองอื่นไว้สำหรับไปพักผ่อนกับแม่หลังผมกลับมาจากทะเล เป็นบ้านขนาดกลางๆ สีขาวตกแต่งไม้มะฮอกกานีสีน้ำตาลแดงให้ความรู้สึกละมุนแต่ก็มั่นคงล้อมรอบไปด้วยทุ่งหญ้าเขียวขจีและมวลดอกไม้อย่างที่แม่ชอบ มีเตาผิงอยู่ในห้องนั่งเล่นสำหรับนั่งผิงไฟในฤดูหนาว เก้าอี้บุนวมนุ่มๆ สองตัวของผมกับแม่ มีแจกันดอกไม้เล็กๆ ประดับตกแต่งอยู่ตามห้อง มีครัวที่มีหน้าต่างบานใหญ่ๆ กับเตาอบขนมปังอย่างที่แม่ชอบ  

               “เจค!!!” คายาตะโกนอยู่ข้างหูผม เรียกเอาสติที่หลุดลอยไปไกลของผมกลับมา

               “โอ้ย หูฉัน” ผมยกมือขึ้นปิดหู ก่อนจะหันไปบ่นคายาที่ตะโกนใส่ผม “จะตะโกนทำไมเนี่ย เรียกดีๆ ก็ได้” 

               “ฉันเรียกนายมาห้ารอบแล้วเจค ฝันกลางวันไปถึงไหนแล้วเนี่ย” 

               ผมหยักไหล่ ทำเป็นไม่สนใจ ถึงคายาจะคิดว่ามันเป็นแค่ฝันกลางวัน แต่มันคือความฝันของผม เป็นเป้าหมายที่ทำให้ผมออกเดินทางในครั้งนี้นอกเหนือไปคสามอยากไปผจญภัย สำรวจโลกกว้างเหมือนพ่อ ผมอยากให้แม่มีความสุขและกลับมามีประกายแวววาวในดวงตาอีกครั้ง ไม่ว่าอย่างไรผมจะทำให้สำเร็จให้ได้

              “เราเดินมานานแค่ไหนแล้วนะ” ผมถามคายา

              “ไม่รู้สิ ดวงอาทิตย์คงใกล้ตกแล้วละมั้ง” คายาตอบผม

              เราสองคนยังคงเดินตามทางเดินต่อไปแต่เดินช้าลงทุกที เหลือกิ่งไม้แค่สองอัน ผมหันไปมองคายาเพื่อชวนเธอเดินกลับไปที่ปากถ้ำ ถ้ารีบหน่อยเราคงเดินกลับไปทันก่อนที่ไฟจะดับ ผมว่าเราประมาทกันเกินไป ผมไม่คิดว่าในถ้ำจะลึกขนาดนี้ เราควรจะออกไปตั้งหลักกันใหม่เตรียมตัวให้พร้อมทั้งไฟและอาหารแล้วค่อยกลับเข้ามา ผมกำลังจะเอ่ยปากเรียกคายา แต่ก็ถูกเธอขัดจังหวะเสียก่อน

              “เจค ดูนั้น!” คายาสะกิดผมและชี้มือไปข้างหน้า

    ผมมองตามมือเธอเลยออกไปจากเสาศิลาทรงสามเหลี่ยมที่ตั้งอยู่ตรงกลางไปยังผนังถ้ำ มีภาพแกะสลักภาพหนึ่งอยู่บนนั้น เป็นภาพของดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดวงดาวสามดวงเรียงกันตามลำดับ มีตัวอักษรสลักไว้ข้างๆ รูป เป็นภาษาที่ผมอ่านไม่ออก ผมเดาว่ามันน่าจะเป็นภาษาพื้นเมืองของที่นี่และคายาคงอ่านมันออก 

    “เธออ่านออกมั้ย ว่ามันเขียนว่าอะไร” ผมถามคายา

    “ฉันไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่ มันเหมือนภาษาโบราณของเผ่าเรา ฉันพออ่านได้บ้างแต่น่าจะมีแค่ย่าอัคน่าคนเดียวที่อ่านมันได้ถูกต้อง” คายาพิจารณาตัวอักษรเหล่านี้อีกครั้ง เธอครุ่นคิดอยู่นานก่อนจะพูดออกมา

    เวนาซานโกซิออน มูโนโบทาซานา รีฟาเดอสาตาร์อูทูนา ซอทีไอทูพา ซาดาราอาพา

              “แปลด้วยสิ” ผมบ่นอุบอิบ

              เมื่อตะวันลาลับขอบฟ้า ดวงจันทราเริ่มส่องแสง สะท้อนดวงดาราพร่างพรายในยามราตรี เมื่อเรียงลำดับให้เข้าที สิ่งที่ซ่อนไว้ปรากฏพลัน

    “น่าจะประมาณนี้” คายาดูไม่ค่อยมั่นใจแต่ผมเชื่อมั่นในเธอ ผมว่าเธอเก่งกว่าที่เธอคิดและตอนนี้เธอก็ยังเป็นที่พึ่งเดียวของผมด้วย 

    “เธอว่ามันหมายถึงอะไร” ผมถามความเห็นคายา

    “น่าจะเป็นคำอธิบายของภาพสลักบนผนังนั่นแหละ ดูสิดวงอาทิตย์ตกดิน แล้วดวงจันทร์ก็ขึ้นมาแทน ทำให้เราเห็นดวงดาว” คายาอธิบายให้ผมฟัง

    “ส่วนตรงนี้ เมื่อเรียงลำดับให้เข้าที สิ่งที่ซ่อนไว้พลันปรากฎ น่าจะหมายถึงเราต้องเรียกลำดับอะไรสักอย่างให้ถูกต้อง แล้วสิ่งซ่อนไว้ก็จะปรากฏมา” คายาอธิบายตัวอักษรที่เหลือ

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in