เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
DIVASnapwk
Grace Kelly เจ้าหญิงตัวจริง ไม่อิงนิยาย
  • ชีวิตจริงยิ่งกว่านิยาย เรื่องราวของหญิงสูงศักดิ์ที่วันหนึ่งได้พบรักกับเจ้าชาย แต่งงานกันและอยู่กันอย่างมีความสุข

    ภาพงานอภิเษกสมรสในปี 1956

    . . . เพียง 6 ปี ในกับการเป็นเจ้าหญิงแห่งวงการบันเทิง และอีกชีวิตที่เหลือกับการเป็นเจ้าหญิงในชีวิตจริง  เกรซ เคลลี่ เจ้าหญิงแห่งโมนาโค . . .

    เรียกได้ว่าเธอเป็นเจ้าหญิงในเทพนิยายตัวจริงเลยก็ว่าได้ ด้วยความเพียบพร้อมที่เธอมีในทุกทาง เป็นลูกสาวของเศรษฐีผู้มั่งคั่ง หน้าตาสวย บุคลิกดี มีการศึกษามีความสามารถ  เฉลียวฉลาด จิตใจดี เป็นนักแสดงที่โด่งดังและเป็นที่รักของทุกคน ทั้งยังได้กลายเป็นเจ้าหญิงอีก จะมีซักกี่คนกันนะที่จะมีชีวิตที่ดีแบบนี้ ทว่า เกรซ เคลลี่ โลดแล่นอยู่ในวงการเพียง 6 ปี โดยตลอดชีวิตการเป็นักแสดงเธอเล่นภาพยนตร์เพียง 11 เรื่องเท่านั้น แต่เธอก็ยังคงเป็นที่รักของมวลชนได้ตลอดกาล ถ้าให้หาคำนิยามให้เธอก็คงเป็น ความสมบูรณ์ แบบนั่นล่ะเหมาะสุดแล้ว

     


    เจ้าหญิงเกรซ แพทริเชีย แห่งโมนาโค หรือ เกรซ เคลลี่ เกิดเมื่อ 12 พฤศจิกายน 1929 เธอเป็นชาวอเมริกัน เกิดในครอบครัวผู้มีฐานะ พ่อของเธอคือ จอห์น แบรนดอน แจ็ค เคลลี่ หรือ แจ็ค (บ้างก็เรียก จอห์น เคลลี่) ผู้เป็นฮีโร่โอลิมปิกเจ้าของเหรียญทอง 3 สมัยจากการแข่งเรือกรรเชียง มีธุรกิจขนาดใหญ่อันดับต้นๆของอเมริกา และเคยลงเล่นเกมส์การเมืองอีกด้วย และแม่ของเธอก็เป็นโค้ชกีฬาผู้หญิงคนแรกของมหาวิทยาลัยเพนซิลเวอเนีย เกรซเป็นลูกคนที่ 3 จากพี่น้อง 4 คน

    เกรซชอบการแสดงมาตั้งแต่เด็กๆ และเริ่มฉายแววว่าจะเป็นดาราจากการแสดงละครเวทีของโรงเรียน แม้ทางบ้านเธอจะไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไหร่ ในช่วงแรกเพราะแจ็คบอกว่าพวกดารามันเป็นอาชีพเต้นกินรำกิน ไม่เหมาะกับเธอ แต่เธอก็ได้เข้ามาเรียนต่อด้านการแสดงในนิวยอร์กเธอจบการศึกษาจากสถาบันการแสดงอันดับต้นๆของอเมริกาคือ The American Academy of Dramatic Arts  

    ในระหว่างการศึกษาเธอได้แสดงละครเพลงเรื่อง High Society  (ซึ่งภายหลังได้ถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ที่เธอได้แสดงด้วย) และหนึ่งในอาจารย์สอนการแสดงของเธอก็ได้พูดเอาไว้ว่า
    “เธอไม่มีวันได้เป็นดาราหนังใหญ่หรอก”... “เธอมีหน้าตาที่สวยและบุคลิกที่ดีก็จริง แต่เสียงแบบนั้นน่ะไม่ผ่านเลยจริงๆ” ซึ่งแน่นอนว่าสิ่งที่อาจารย์ของเธอพูดนั้นไร้สาระสิ้นดี

     

    สมัยเป็นนางแบบช่วงแรกๆ มักจะได้เป็นแบบให้กับห้องเสื้อแพงๆ

    หลังจากจบการศึกษาแล้ว เกรซ เริ่มรับงานเป็นนางแบบ ด้วยหน้าตาที่สวยงามขนาดนั้นทำให้เธอได้รับแต่งานของห้องเสื้อแพงๆ และได้ขึ้นปกนิตยาสารครั้งแรกในการเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับบุหรี่ยี่ห้อหนึ่ง
    มีหลายครั้งที่เกรซได้รับการทาบทามให้เซ็นสัญญากับค่ายหนังหลายค่าย แต่เธอก็ปฎิเสธไปซะหมด และเริ่มเข้าวงการด้วยการเป็นดาราโทรทัศน์นางแบบและดาราโฆษณา

    งานโฆษณาชิ้นแรกค่ะ สวยงาม

  • . . . เส้นทางในอาชีพนักแสดงของเธอเริ่มในปี 1951 เกรซ ได้แสดงภาพยนตร์เรื่องแรกคือ Fourteen Hours และนั่นเป็นอีกจุดเริ่มต้นเพราะ จอห์น ฟอร์ด ผู้กำกับมือทองได้เห็นแววของเธอ จึงชักชวนเธอเข้าวงการ เธอยอมบินไปคัดตัวนักแสดงถึงลอสแองเจอลิส จนได้แสดงในภาพยนตร์ฟอร์มใหญ่เรื่องแรกคู่กับ แกรี่ คูเปอร์ เรื่อง High Noon ในปี 1952 และต่อมาเธอก็ยอมเซ็นสัญญากับค่าย MGM เป็นเวลา 7 ปี เพียงเพราะอยากร่วมงานกับ จอห์น ฟอร์ด ภายใต้ 2 เงื่อนไขคือ 1. ในทุกๆปี เธอจะสามารถเลือกรับงานตามใจตัวเองได้ (จากทุกค่าย) และ 2. ให้เธออยู่ที่นิวยอร์กได้ โดยเธอได้รับค่าตอบแทนเป็นเงิน 850 เหรียญต่ออาทิตย์เลยทีเดียว (ค่ายง้อมากยอมทุกอย่างเลยนะเนี่ย)

    * บางข้อมูลก็ว่าคนที่ทาบทามให้เกรซเล่นหนังใหญ่ก็คือตัว แกรี่ คูเปอร์ เอง โดยเขาเห็นแววเธอจากเรื่อง Fourteen Hours นั่นล่ะ เลยชวนให้มารับบทเป็นบทภรรยาของเขาในเรื่อง High Noon ทำให้ผู้กำกับ จอห์น ฟอร์ด มาเจอแล้วชวนไปเล่นหนังของเขา *

     โจเซฟีน เบเคอร์ และ เจ้าหญิงเกรซ ในช่วงปี 70's พวกเธอยังคงเป็นเพื่อนสนิทกัน

    . . . นอกจากความสามารถด้านการแสดง บุคลิกและหน้าตาที่ดี จิตใจเธอก็ดีไม่ต่างจากหน้าสวยๆนั้นเลย ครั้งหนึ่งในปี 1951 เกรซเคลลี่และเพื่อนๆได้ไปกินเลี้ยงกันที่ Stork Club ในนิวยอร์ก ซึ่งเป็นคลับที่นิยมสำหรับดาราและผู้มีชื่อเสียงในวงการมากมาย ในตอนนั้นเองเกรซได้พบกับ โจเซฟิน เบเคอร์ เป็นครั้งแรก ซึ่งขณะนั้น โจเซฟิน เบเคอร์ เป็นนักเต้น และนักแสดงที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคนหนึ่ง (ดังกว่าเกรซ เคลลี่ ซะอีกนะ) เธอโด่งดังในยุโรปมาก แต่ในอเมริกากลับไม่เป็นเช่นนั้น เพราะในคืนนั้นโจเซฟินโดนบริกรในคลับนั้น ไล่ออกจากร้านและปฎิเสธที่จะให้บริการกับเธอ เพราะเธอเป็นคนผิวสี

    เกรซซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ตอนนั้นก็ทนไม่ได้ ลุกจากโต๊ะของเธอ ไปต่อว่าบริกรคนนั้นและให้คำมั่นว่า “ฉันจะไม่กลับมาเหยียบที่นี่อีก” และเดินจูงมือ โจเซฟิน เบเคอร์ ออกจากร้านนั้นทันที

    เกรซไม่เคยกลับไปเหยียบที่คลับนั้นอีกเลย แต่ในอีกทางเธอกับโจเซฟินก็กลายเป็นเพื่อนสนิทกันตลอดมา

     

    เอวา การ์ดเนอร์, คาร์ก เกเบิ้ล และเกรซ เคลลี่ จาก Mogambo

    เกรซเริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะในช่วง 50’s เป็นช่วงที่มีดาราหญิงเกิดใหม่เยอะมาก ต่อมาในปี 1953 นั้นเธอได้แสดงในภาพยนตร์ชื่อดังเรื่อง Mogambo ของผูกำกับ จอห์น ฟอร์ด ซึ่งเป็นผลงานสร้างชื่อให้เธอนั่งเอง แสดงร่วมกับ เอวา การ์ดเนอร์ และ คาร์ก เกเบิล ซึ่งเรื่องนี้ทำให้มีข่าเม้าออกมาว่าเกรซและคาร์กแอบกิ๊กกัน

    ลุคขี่ม้าเท่ๆ ในเรื่อง Mogambo

    โดยเรื่อง Mogambo นี้เองที่เป็นจุดเปลี่ยนในอาชีพนักแสดงของเธอเลย เพราะเธอได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Oscar เป็นครั้งแรกในสาขานักแสดงหญิงสมทบ แต่ก็พลาดรางวัลนี้ไป เช่นเดียวกับเอวา การ์ดเนอร์ ที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงในสาขานักแสดงนำจากเรื่องเดียวกัน (ประสบความสำเร็จกันถ้วนหน้าเลยล่ะ)
  • อัลเฟร็ด ฮิทช์ค็อคก์, เกรซ เคลลี่ และ เรย์ มิลแลนด์
    จากกอง Dial M for Murder

    จากบทสาวยั่วเสน่ห์ใน Mogambo นั้นเธอก็ทำไว้ได้ดีมากจนไปถูกตาต้องใจผู้กำกับชาวอังกฤษอย่าง อัลเฟร็ด ฮิทช์ค็อคก์ ดึงตัวไปเล่นในภาพยนตร์ของเขาเรื่อง Dial M for Murder (1954) (นั่นเลยทำให้เกรซต้องปฎิเสธบทเรื่อง On the Water front ที่เล่นคู่กับ มาโลน แบรนโด)

    Dial M for Murder ซึ่งภายหลังได้มีการนำกลับมาทำใหม่
    โดยใช้ชื่อว่า A Perfect Murder นำแสดงโดย กวินเน็ต เพิร์ลโธรว

    อัลเฟร็ด ฮิทช์ค็อคก์, เกรซ เคลลี่ และ เจมส์ สจ๊วต
    จาก Rare Window

    จากการร่วมงานกันครั้งนี้ทำให้อัลเฟรดและเกรซได้เป็นเพื่อนที่ดีต่อกันและในปีนั้นก็ได้ร่วมงานกันอีกเรื่องคือ Rare Window นั่นเอง โดยพระเอก เจมส์ สจ๊วต กล่าวถึง เกรซไว้ว่า

    “เธอสมบูรณ์แบบเกินไป” ... “เธอฉลาดเกินไปเธอสวยเกินไป เธอซับซ้อนเกินไป และสิ่งที่ผมต้องการนั้นก็มากเกินไป (เธอ)”

    วิลเลียม โฮลเดน, เกรซ เคลลี่ และบิง ครอสบี้ จาก The Country Girl

    และในปี 1954 นั้นต้องเรียกได้ว่าเป็นปีทองของเธอจริงๆเพราะก็มีภาพยนตร์เรื่องใหญ่ตามมาอีก 3เรื่อง แต่หนึ่งในนั้นเรื่อง Geen Fire กลับมีผลตอบรับไม่ดีเอาซะเลย  ต่างจากเรื่อง The Country Girl ของค่ายพาราเมาท์ กลับประสบความสำเร็จอย่างมากมาย ได้รางวัลจากทั่วทุกทางและเกรซ เคลลี่เองก็ได้รับรางวัล Oscar เป็นครั้งแรกจากเรื่องนี้เอง

    สวยๆอีกภาพจาก The Country Girl

    โดยก่อนหน้านี้เธอโดนทาง MGM คาดโทษไว้ด้วยเพราะ เธอทุ่มเทให้กับภาพยนตร์ต่างค่ายอย่าง The Country Girl มากจนทำให้ กองถ่ายเรื่อง Green Fire เลื่อนการถ่ายทำออกไปอีก แต่ดูแล้ว สิ่งที่เธอทุ่มเทให้ไปมันก็คุ้มนะ

    ขึ้นปกนิตยาสาร LIFE เมื่อได้รางวัล Oscar

    . . . เนื่องจากความล้มเหลวของ Green Fire นั่นทำให้ทางผู้บริหาร MGM โยนบทภาพยนตร์แนวตะวันตกให้เธอประกบคู่กับ สเปนเซอร์ เทรซี่ ใน Tribute to a Bad Man แต่เธอกลับปฎิเสธ เลยทำให้ทางค่ายแขวนเธอ ไม่ให้งานซะ แต่ในเวลานั้นเองผู้กำกับ อัลเฟร็ด ฮิทช์ค็อคก์ กลับติดต่อให้เธอมาร่วมงานกับเขาเป็นครั้งที่สามใน To Catch a Thief (1955) โดยได้ร่วมแสดงกับ แครี่ แกรนท์  ที่ถ่ายทำกันที่เมืองคานส์ ในตอนใต้ประเทศฝรั่งเศส (ใกล้กับโมนาโค) ซึ่งในระหว่างการถ่ายทำหนังเรื่องนี้เอง เธอได้พบกับ เจ้าชายเรนิเยร์ แห่งประเทศโมนาโคเป็นครั้งแรก

    จากการร่วมงานกับอัลเฟร็ดถึง 3 ครั้ง ก็บอกได้เลยว่า เกรซ เคลลี่ นี่ล่ะคือนางในฝัน (The Perfect Blonde) ของ อัลเฟร็ด ฮิทช์ค็อคก์ (หมายถึงความสมบูรณ์แบบในการเป็นนางเอกหนังของเขา)

     ฉากขับรถในตำนานจาก To Catch a Thief ที่ประกบคู่กับ แครี่ แกรนท์

    ภาพยนตร์เรื่องThe Swan (1956) และ High Society (1956) คือผลงานภาพยนตร์สองเรื่องสุดท้ายของเกรซ เคลลี่ ก่อนที่เธอจะเดินเข้าสู่พิธีวิวาห์กับเจ้าชายเรนิเยร์ และกลายเป็นเจ้าหญิงเกรซแห่งโมนาโคไปในที่สุด

    ใน The Swan เธอรับบทเป็น เจ้าหญิงผู้สูงศักดิ์
    ใครจะรู้ว่าต่อมาเธอจะได้เป็นเจ้าหญิงจริงๆ


    บิง ครอสบี้, เกรซ เคลลี่ และแฟรงค์ ซินาตร้า
    ใน High Society ที่มีเพลงฮิตอย่าง True Love

  • . . . โดยเรื่องราวความรักของ เกรซ เคลลี่ และ เจ้าชายเรนิเยร์ เริ่มต้นจากที่เธอได้รับเชิญให้ไปถ่ายแบบที่พระราชวัง เพื่องานเทศกาลหนังเมืองคานส์ในปี 1955 ในขณะนั้นเจ้าชายก็มีความสนใจในตัว เกรซ มากทีเดียว แต่เธอก็ยังไม่ได้สนใจอะไรเพราะตอนนั้นเธอกำลังคบกับนักแสดงฝรั่งเศสคนนึงอยู่
    หลังจากจบงานนั้นเธอก็เดินทางกลับมาถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง The Swan และเริ่มติดต่อกับเจ้าชายอย่างเป็นทางการในช่วงนั้นเอง ต่อมาในปี 1956 ทั้งคู่ก็แต่งงานกัน

     

    เกรซ เคลลี่ และ เจ้าชายเรนิเยร์

    ในวันอภิเษกสมรสของงทั้งคู่นั้นเป็นที่สนใจและยินดีของมวลประชาชนทั้งหลายอย่างมากโดยมีผู้ชมการถ่ายทอดสดงานอภิเษกกว่า 2 ล้านคน และมีผู้ไปร่วมงานกว่า 20,000 คน และหลังจากที่พระองค์ทรงอภิเษกกัน เจ้าหญิงเกรซก็อำลาจากวงการถาวรไม่ได้มีผลงานในวงการบันเทิงอีกต่อไป แต่ก็ได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขและเป็นที่รักของทุกคน ทั้งในพระราชวังและประชาชนในโมนาโคล้วนแต่ก็รักพระองค์

     

    เจ้าหญิงเกรซ ♥


    โดยเรื่องราวของเจ้าหญิงเกรซ ได้ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ในปี 2014
    ในชื่อ Graceof Monaco นำแสดงโดย นิโคล คิดแมน

    เจ้าหญิงเกรซเป็นต้นแบบแห่งเจ้าหญิงที่ดีพระองค์รู้จักการวางตัว และยิ่งเป็นที่รักมากขึ้นไปอีกเมื่อได้มีทายาทตัวน้อยอีก 3คนเกิดขึ้น ตลอดมาความรักของทั้ง 2 ก็เป็นไปด้วยดีตลอด จนช่วงหลังๆประมาณยุค 70’s ก็อาจจะมีระหองระเหงกันไปบางแต่ก็ยังอยู่ด้วยกันเรื่อยมา

    จนในปี 1982 เจ้าหญิงเกรซเชื่อว่าเจ้าชายเรนิเยร์นั้นหมดรักในตัวพระองค์แล้ว (ว่ากันว่าเป็นช่วงเริ่มวัยทองแล้วเจ้าหญิงมีอารมณ์แปรแรวน)จึงเกิดการน้อยใจและหอบบุตรสาว เจ้าหญิงสเตฟานี หนีไป แต่ไม่นานพระองค์ก็รู้สึกดีขึ้นและในระหว่างการขับรถกลับพระราชวังนั้นเองก็เกิดอุบัติเหตุรถเสียหลักตกเขา เจ้าหญิงเกรซเสียชีวิตแต่เจ้าหญิงสเตฟานีกลับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

    โดยหลังจากเสร็จสิ้นงานศพแล้ว เจมส์ สจ๊วต ได้กล่าวถึงเจ้าหญิงเกรซไว้ว่า

    “พวกคุณคงรู้อยู่แล้ว ว่าผมน่ะรัก เกรซ เคลลี่ แต่ไม่ใช่เพราะเธอเป็นเจ้าหญิง
    ไม่ใช่เพราะเธอเป็นนักแสดง ไม่ใช่เพราะเธอเป็นเพื่อนผม
    แต่เป็นเพราะเธอคือ ผู้หญิงที่ดีที่สุด ที่ผมเคยเจอมา”...

    “สิ่งที่ เกรซ มอบให้ผม ก็คงเหมือนกับที่เธอมอบให้พวกคุณนั่นล่ะ
    เธอมอบความรักและความอบอุ่นให้เราทุกครั้งที่เราได้เห็นเธอ
    และในทุกครั้งที่ผมมองไปที่เธอผมก็รู้ทันทีว่าความสุขคืออะไร”

    ... “ไม่ต้องถามเลย ผมคงคิดถึงเธอ
    พวกเราทุกคนจะคิดถึงเธอ
    ขอให้พระเจ้าคุ้มครองเธอ เจ้าหญิงเกรซ”

     

    ภาพจากงานศพเจ้าหญิงเกรซ ใครว่าเจ้าชายทรงหมดรักพระองค์ ตลอดการทำพิธี
    เจ้าชายทรงร้องไห้เป็นระยะ เห็นแล้วก็น่าเห็นใจ คนที่ยังรักกันไม่ควรจากกันไปแบบนี้เลย

    โดยก่อนเจ้าชายเรนิเยร์สิ้นพระชนม์ คำสั่งเสียสุดท้ายของพระองค์คือ ให้ฝังพระองค์ไว้ข้างกับเจ้าหญิงเกรซ
    และมันก็เป็นเช่นนั้น ทั้งเจ้าหญิงเกรซ และเจ้าชายเรนิเยร์ถูกฝังอยู่เคียงข้างกันที่ โบถส์เซนต์นิโคลัส ประเทศ โมนาโค

     . . .

    ในครั้งนี้ขอเขียนเป็นเรื่องราวโดยรวมของเจ้าหญิงเกรซไปก่อน ถ้ามีโอกาสจะมาเขียนเจาะ ในชีวิตแต่ละส่วนของเธอในตอนหน้าก็แล้วกัน เพราะถ้าเขียนให้หมดในคราวเดียวคงอ่านกันตาลาย แค่นี้ก็คิดว่ามึนแล้วล่ะ อิอิ

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
NUt Rewthong (@fb1015601744944)
เป็นบทความที่ดีมากๆครับ