ผมคิดว่าผมเดินผ่านความเจ็บปวดนั่นมาได้แล้ว
ผมคิดว่าผมคงไม่เป็นอะไรแล้ว
แต่
เวลาตีสามอันแสนเงียบสงบกลับมีเสียงเรียกเข้าจากโปรแกรมแชทดังขัดขึ้นมาในยามวิกาลระหว่างที่ผมดูหนังเรื่องโปรดอยู่
เขาอาจจะโทรผิด ใช่
แต่แล้วกลับไม่ใช่อย่างที่คิดเมื่อชื่อเดิมได้ปรากฏขึ้นอีกครั้งเสียงเสียงเข้าดังอย่างต่อเนื่องไม่มีทีท่าจะหยุดลงจนคนตัวเล็กเลือกรับสาย
“แซน”ปลายสายทักขึ้นทันทีที่กดรับ
“อือ…พี่มีไร”
“ยังไม่นอนเหรอ”
พี่องเมาแล้วโทรมาหาผมอีกแล้ว
“กำลังจะนอนแหละ เราดูหนังอยู่”
“เหรอ..”ปลายสายเว้นจังหวะจนเกิดความเงียบก่อนจะเอ่ย“เราอะเป็นไงบ้าง”
“สบายดี พี่องมีอะไรเหรอ หรือ เมา..?”
“ไม่ ๆ พี่ไม่ได้เมา แซนก็รู้เวลาเมาพี่เป็นไงไม่ใช่แบบนี้หรอก จริงปะ”เสียงของพี่องตอบกลับมาอย่างทีเล่นทีจริง
“ก็เป็นแบบนี้แหละ”
“โห เดี๋ยวนี้นะ..”
“อะไรล่ะ”
“เถียงเก่ง”ปลายสายขำใส่ทั้งที่มันไม่มีอะไรน่าขำเลยสักนิด
“ตกลงพี่มีอะไรอะ โทรมาดึกไปเปล่า”
“ก็อยากคุยกับน้องชายสุดที่รักไง ได้ปะครับ”
อยากจะขำสิ้นดีกับประโยคนี้
น้องชายสุดที่รักงั้นเหรอ
ตอบแบบนี้ทุกทีเลยนะ
“พี่อง เอาดี ๆ โทรมามีอะไร”
มันไม่ใช่ครั้งแรกที่พี่องโทรมาไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมต้องรับสายคน ๆ นี้ในเวลาหลังเที่ยงคืน พี่องมักจะเป็นแบนนี้ทุกครั้งเวลาที่เขาเมาโดยเหตุการณ์มันวนเวียนอยู่แบบนี้จนผมไม่อยากจะนับแล้วว่าครั้งที่เท่าไร
เรารู้จักและเคยคุยกันเพราะเขามาจีบผมตอนมอสี่แต่คุยไปได้ไม่ถึงเดือนก็จบลงแบบงง ๆ ที่เขาบอกให้ผมเป็นน้องชายของเขาซะอย่างนั้น นั่นทำให้เกิดคำถามตามมามากมายในใจว่าทำไม
ทำไมถึงให้ผมเป็นแค่น้อง ทั้งที่ตัวคนบอกก็ชอบผมอยู่ไม่ใช่เหรอ
แต่รู้ไหมว่าเหตุผลที่เขาบอกผมและทำให้ผมจำมันได้ดีคืออะไร
…เป็นพี่น้องที่สนิทกันมันยืนยาวกว่า เชื่อพี่สิ
เขาบอกแบบนั้น
ระหว่างเราเป็นแบบนั้นตลอดเกือบสี่ปีจนตอนนี้ผมอยู่ปีสี่ และพี่องเรียนจบไปได้สองปีแล้ว
…ระหว่างเราเป็นความสัมพันธ์ที่ไม่รู้ว่าเพราะเขาไม่ยอมปล่อยหรือเพราะผม ไม่ยอมไปกันแน่…ราวกับว่าในเวลาที่ผมกอดรั้งเขาไว้เขาก็พร้อมจะหนีไปจากผมทุกครั้ง แต่ในเวลาที่ผมคิดจะปล่อยเขาไปจริง ๆเขากลับรั้งผมไว้ให้กลับมาจุด ๆ เดิมทุกที
“ก็แค่อยากคุยด้วยไง”
ทั้งที่ล่าสุดที่คุยกันเมื่อสี่เดือนก่อน พี่องเล่าว่าเขากำลังคุยกับเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งอยู่ทุกอย่างไปได้ดีจนน้องชายอย่างผมเลยได้แต่ยินดีด้วย ระหว่างสี่เดือนที่หายไป เขาไม่ทักมาผมก็ไม่คิดจะทักไปหา แต่ในเวลานี้ผมคิดว่าเขามีบางอย่างในใจถึงได้กลับมา
“พี่เลิกคุยกับเขาแล้ว”
“….” คิดไว้แล้วไม่มีผิด
“เงียบทำไมอะ”
“ก็ไม่รู้ว่าต้องตอบยังไงทำไมถึงเลิกคุยล่ะ ไหนว่าไปได้ดี..”
“เรื่องมันยาว”
“โทรมาเพื่อจะเล่าให้เราฟังไม่ใช่เหรอ”
“เล่ามาดิ”
เจ็บปวดจนอยากชินชา ปวดร้าวแต่ก็ต้องทนไว้
“ไม่อยากเล่าว่ะ เอาเป็นว่าก็จบกันแล้วมีเรื่องที่ไม่เข้าใจกัน พี่ไม่อยากยื้อ..”
“อ่า แล้วโอเค?”
“ตอนนี้เหรอ โอเคดิ”
“อืม”
“แล้วเราล่ะ คุยกับใครอยู่ปะตอนนี้”
“ถามทำไม”
“อยากรู้ครับ”
“ไม่อะ ไม่ได้คุยกับใครทั้งนั้น”
ถ้าคุยให้ตายก็ไม่ใช่ ผมก็ไม่อยากสานต่อ
“จริงอะ ไม่น่าเชื่อ”
“ถ้าคุยอยู่จะทำไมเหรอ”
“ไม่รู้ดิ…แล้วเราคุยกับใครอยู่เปล่าล่ะ”
จะอยากรู้ทำไมนัก จะอยากรู้ไปทำไม หวงหรือไงก็ไม่ใช่ไหมวะ!
“ถามจริงนะพี่อง ทำไมถึงโทรมาหาเราอีกล่ะ เหงาเหรอ”ผมพยายามหาเหตุผลที่เข้าข้างตัวเองให้น้อยที่สุดเพื่อจะได้ไม่เจ็บปวดแต่พอหาเหตุผลมาขยี้ตัวเองว่าเขาแค่เหงาเลยโทรหา ก็กลายเป็นว่าผมรู้สึกเศร้าอีกอยู่ดี
ไม่ว่าเหตุผลอะไรก็ไม่พ้นการสะกิดแผลเป็นในใจตัวเองไงล่ะ
เขาเงียบไม่ตอบก็เหมือนบอกให้รู้ว่าผมคิดถูกนั่นแหละ
“เราเคยบอกไปแล้วว่าไม่ชอบให้โทรมาตอนเมา เคยทะเลาะกันจำได้ไหม แต่พี่ก็ยังทำมันอีก ทำไมวะ…หรือว่าต้องให้บล็อกถึงจะหยุด?”
“เดี๋ยวดิ อย่าบล็อกนะ”
“ถ้าบอกว่าคิดถึง แซนจะว่าไง”
“ไม่เชื่อหรอก”
คิดถึงผมงั้นเหรอ
นี่คงเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อพอ ๆ กับเรื่องกกต
“เอาแต่ใจตัวเองจังนะ”
“แซนที่พี่จะบอกคือที่ผ่านมาพี่ลองคุยกับคนอื่นมาก็เยอะ แต่ทุกครั้งที่ความสัมพันธ์มันกำลังจะพัฒนา พี่แม่งก็คิดถึงแซนทุกทีเลยรู้เปล่า ไม่รู้ดิเหมือนระหว่างเรา..มันยังค้าง ๆ กันอยู่ แซนก็รู้ใช่ไหม”
“หมายความว่าไง”
“เราสองคนไม่เคยลองคุยกันจริง ๆจัง ๆ เลยสักครั้ง”
“ก็พี่ให้เราเป็นน้องชายหนิมันจะเคยคุยอะไรล่ะ” เออ!ขอตัดพ้อหน่อยเหอะแม่ง
“แล้วถ้าพี่ขอโอกาสล่ะ..”
“โอกาสอะไรอะ”
“เรื่องของเราไง..
“มาขอตอนนี้เนี่ยนะ” ทั้งที่ตลอดมาผมเคยรั้งเคยขอให้เขากลับมาแทบตาย แต่เขายืนยันจะให้ผมเป็นน้องชายของเขา
“
เป็นคำถามที่ผมไม่รู้ว่าควรเสี่ยงอีกครั้งไหม ด้วยความกลัวที่กัดกินความรู้สึกจนผมไม่อยากคาดหวังเพราะทุกครั้งที่คาดหวังไว้สูง ก็มักถูกผลักตกลงมาเจ็บเสมอ
เศษซากความรู้สึกที่มันพังลงไปแล้วคงไม่สามารถต่อกลับมาได้ภายในหนึ่งคืนหรอก จริงไหม
เขากำลังถามหาโอกาส แต่ผมกลับให้คำตอบเขาไม่ได้ในตอนนี้ไม่แน่ใจว่าสมองมันประมวลช้าเพราะตอนนี้ดึกมาก หรือเพราะจริง ๆแล้วผมกำลังลังเลกันแน่
“ไม่ตลกเลยแซน”
ผมกำลังนึกถึงใบหน้าคมที่ชอบจ้องหน้าผมเวลานั่งทานข้าวตรงข้ามกันนึกถึงเสียงเข้ม ๆ ที่เขาชอบใช้ดุผมเวลาผมงอแง นึกถึงมืออุ่น ๆที่เคยลูบศีรษะผมเวลาหยอกล้อ
ความสุขเล็ก ๆ ที่ผมเคยได้จากเขามันจะกลบความรู้สึกที่เสียไปแล้วได้เหรอ
ผมจะไม่เสียใจเหรอถ้าให้โอกาสเขาอีกครั้ง
“ถ้าเราให้โอกาส เราจะได้อะไร”
“ได้ความจริงใจจากพี่ไงครับ”
น่าเชื่อตายแหละ
“นะ…เปิดใจให้พี่ได้ไหมครับ”
“ทำไมต้องกลับมาอีกแล้วเนี่ย”
…เบื่อตัวเอง
“แค่ให้โอกาสกัน พี่จะพยายามเองนะแซน”
แผลที่ไม่มีรอยฟกช้ำ
แผลที่ไม่มีเลือดออก
แผลในใจที่ต้องเยียวยามันด้วยตัวเองมาตลอด
..มันทรมานเกินกว่าคนอย่างเขาจะเข้าใจ
“พรุ่งนี้จะพี่ไม่ลืมใช่ไหมที่พูดมาทั้งหมด”เพราะผมเคยโดนเขาหลอกให้เชื่อมาแล้วต่างหากถึงถามแบบนี้เวลาเขาโทรมาหาเขามักพูดอะไรเยอะแยะตอนเมา สัญญาอย่างนั้นอย่างนี้ดิบดี แต่พอเช้ามาก็จำไม่ได้ว่าตัวเองพูดอะไรไว้บ้าง
“ไม่ลืม พี่จำได้น่า”
“เรายังไม่มีคำตอบให้พี่หรอกนะตอนนี้”
“ก็ได้ งั้นพรุ่งนี้จะทักไปหานะ”
“ครับ”ผมเหลือบมองนาฬิกาก็เห็นว่ามันล่วงเลยมาเกือบตีสี่แล้วจากที่ว่าจะนอนก็ไม่ได้นอนเพราะคน ๆ เดียว
“พี่ง่วงแล้วอะ โคตรมึนหัวเลยว่ะ”
“ก็ควรนอนแหละพี่อะ เมาขนาดนี้”
“ไม่ได้เมาขนาดน้านเชื่อกันหน่อยดิ”เขาท้วงเสียงอ่อน
“จ้า ๆ นอนกันเหอะ เราก็ง่วงละ”
“งั้นพรุ่งนี้จะทักไป ฝันดีนะแซน”
“อืม ฝันดีพี่อง”
บอกลากันเหมือนเคยแต่ผมกลับนอนไม่หลับเสียอย่างนั้นแม้จะบอกว่าไม่อยากคาดหวังแต่สุดท้ายลึกๆแล้วผมก็ยังอยากมีเขาอยู่ ยังอยากลองเสี่ยงดูอีกครั้ง
อยากมูฟออนแทบตาย
สุดท้ายเป็นวงกลม
แต่ผมคาดหวังอะไรกับเขาอยู่งั้นเหรอ
คนที่โทรมาหาโทรมาขอโอกาสคนนั้นก็ไม่เคยเปลี่ยนไปเลยสักนิด
หลังจากคืนนั้นที่คุยกัน จนเวลาก็ล่วงเลยมาเกือบสี่สัปดาห์
ผมไม่รู้หรอกว่าตอนนี้ควรรู้สึกแบบไหนดี เพราะบทสนทนาที่มีแต่ผมเป็นฝ่ายถามหรือต่อบทสนทนาเพียงฝ่ายเดียวมันไม่ได้ช่วยทำให้ผมรู้สึกว่าเขากำลังพยายามที่จะกลับมาจริงจัง
มีแต่ผมที่เป็นฝ่ายทัก ฝ่ายโทรหาก่อน มีผมพยายามเปิดใจให้เขาอย่างที่เขาขอ
มีแต่ผม! ที่วิ่งตามเขาอีกแล้ว
พี่องกำลังทำให้ผมกลับไปยังจุดเดิมจุดที่เขาเข้ามามีอิทธิพลกับหัวใจ มีผมต่อความรู้สึกจนรู้สึกทรมาน
จริง ๆ แล้ว..ผมไม่น่าไปคาดหวังกับคนที่ผมแทบไม่เหลือความเชื่อใจอย่างเขาเลย
ใช่…ไม่น่าเลย
“พี่อง…เอาจริงเราไม่เกทเลยที่พี่กลับมาหาเรา””
ทางเดียวที่จะหาคำตอบของคำถามที่เกิดขึ้นในใจของผมในตอนนี้คือการลองคุยกับเขาตรง ๆ
“…”เขาหันมามองผมที่กำลังก้มมองนิ้วมือตัวเอง
ผมไม่รู้หรอกว่าเขารู้สึกเหมือนกันไหม
แต่ถ้าเขารู้สึก…
“พี่ว่าเราเป็นน้องรักของพี่เหมือนเดิมดีที่สุดแล้วว่ะ”
อืม…
‘…เป็นพี่น้องที่สนิทกันมันยืนยาวกว่า เชื่อพีสิ’
ประโยคคุ้นๆ ว่าไหมล่ะ
ประโยคพวกนี้ไงที่ฉุดรั้งให้ผมยังอยู่ที่เดิมมาเกือบแปดปี
ประโยคพวกนี้ไงล่ะที่ทำให้ผมเริ่มใหม่ไม่ได้สักที!
“เราก็คิดงั้น”
“อื้ม พี่น้องกันมันยาว ๆ ไง”
“อื้อ ฝืนไปก็ไม่น่าไหวหรอก”เพราะตอนนี้ก็ไม่ไหวแล้วเช่นกัน อยู่ ๆ น้ำตาก็คลอเบ้า โดยที่ผมได้แต่พยายามกลั้นไว้อย่างถึงที่สุด
“ขอโทษ”
“จริง ๆ เราไม่อยากเป็นอะไรแล้ว แม้แต่พี่น้อง ..ต่างคนต่างอยู่น่าจะโอเคกว่า”ทุกครั้งที่ผมพยายามตัดใจจากเขา ผมมักบอกตัวเองว่าจะไม่กลับไปเป็นพี่น้องอะไรนั่นอีกแล้ว ย้ำตัวเองอย่างอย่างนั้นแต่แล้วตอนนี้เป็นไงล่ะ
ผมมันก็คนดื้อรั้นคนหนึ่งที่เอาความรู้สึกตัวเองมาให้เขาเล่นอีกอยู่ดี
“อย่าเลย ถ้ามีโอกาสทักทายก็ทักไงไม่ได้เหรอ”เขาขอเหมือนที่เคยขอ แต่ผมไม่อยากให้โอกาสเหมือนทุกครั้งอีกแล้ว
เพราะตัวผมเองยังรู้สึกอยู่
เพราะตัวผมเองยังเฝ้ารอเขาอยู่ มันถึงเจ็บปวดทุกครั้งที่เขากลับมาเล่นกับความรู้สึก
“ยาก”พี่องไม่รู้หรอกว่าที่ผ่านมาผมรู้สึกทรมานแค่ไหน. ไม่ใช่แค่เพียงครั้งนี้ แต่ทุกครั้งต่างหาก
ทุกครั้งที่เขากลับมามันยากสำหรับผมเสมอ
ที่บอกตัวเองว่าไหว
ผมโกหกเขา
และโกหกตัวเองด้วย
“แซน..”น้ำเสียงของพี่องราวกับกำลังรั้งผมไว้
“ระ..เราเสียความรู้สึกไปเยอะมากๆ มากจริงนะที่ผ่านมา” พยายามแล้วไม่ให้เสียงสั่นแต่มันง่ายซะที่ไหน. เหมือนมีอะไรไม่รู้มาจุกอยู่ที่คอ
“…”
“ครับ พี่เข้าใจ”
ไม่หรอก พี่ไม่มีทางเข้าใจ
“อืม”ผมบอกเพียงเท่านั้นก็เปิดประตูรถลงทันทีและเหมือนกับว่าเสียงปิดประตูรถนั่นของผมก็คงเป็นคำตอบแล้วว่าทุกอย่างมันจบ
เพราะยังรู้สึก
จึงไม่อยากกลับไปอีกแล้ว
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in