บทความนี้ยาวมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
หากรู้ว่าสมาธิมีไม่พอเกิน 8 บรรทัด อนุญาตให้หยุดอ่านแล้วกินขนมพักเบรคได้ขอให้อ่านให้สนุกค่ะ
"เรียนจบไปอยากทำอะไร"
"ยังไม่รู้เหมือนกัน"
เรายังคงตอบแบบเดิม จนกระทั่งปี 2015 หลังเรียนจบจากมหาวิทยาลัยทางภาคเหนือของประเทศไทยเรายังล้มลุกคุกคลาน เข้างานนั้น ออกงานนี้ อินดี้ขึ้นมาก็กำเงินหนีไปทะเลเงียบๆ เราใช้ gap year ไปกับการเรียนรู้ตัวเองพร้อมๆกับเรียนรู้โลกใบนี้
เราเคยฝัน เคยหวังว่า อยากทำงานที่ตรงกับตัวเอง และตัวเองมีความสุข
และแน่นอน มันต้องได้ตังเยอะด้วย
ทีนี้ถ้าคุณอยู่ในโลกใบเดียวกับเรา คุณก็รู้ว่ามันแทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะได้ทุกอย่างครบอย่างใจนึก
ในเวลาหนึ่งปี เราได้ทำงานที่ชอบแค่บางส่วน และเกลียดบางส่วน และเงินโอเค
ได้ทำงานที่ชอบทุกส่วน และเงินน้อย
ได้ทำงานที่โคตรชังเลย และสรุปก็ออกโดยไม่สนใจเงิน
และในปีนั้น เราก็ได้พบว่าเรากำลังจะอายุ 24 ในไม่ช้า
แม้ว่าแม่จะไม่ได้เอ่ยปากพูดอะไรแต่เราควรหางานทำเป็นหลักเป็นแหล่งได้แล้ว
ในขณะที่เรายังเหมือนงมเข็มในมหาสมุทร ควานหาของในที่มืด
วันนึงเราก็ไปสะดุดตากับโพสของเพื่อนบางคนในรุ่น เผ้าผมที่เกล้าอย่างเป็นระเบียบ
เสื้อผ้าที่ดูเรียบร้อยและเนี้ยบจนเราก็รู้สึกว่าเพื่อนดูแปลกไป แต่ก็เป็นไปในทางที่ดี
เรากดถูกใจ อ่านแคปชั่นอย่างผ่านๆ
" EK open day. wish me luck. "
อะไรคือ EK อะไรคือ Open Day แล้วจะ wish me luck ทำไมวะ คำถามเยอะแยะเต็มไปหมดหลายคนอ่านมาถึงตรงนี้คงเบ้ปากในความไม่เดียงสาของเราโง่จริงโง่ปลอมวะ บางคนก็คงคิดแบบนี้
แต่ใครที่เรียนมากับเราตลอดช่วงมหาลัยฯจะรู้ว่าเราพูดตลอดว่า
"หัวเด็ดตีนขาด ชีวิตนี้ก็จะไม่เป็นแอร์"
เพราะฉะนั้นเราไม่เคยมีความคิดอยากเป็นแอร์ หรืออยากแม้แต่จะลองหาข้อมูลเลย
สาเหตุง่ายๆ ก็แค่เพราะเราเคยได้ยินมาว่า สังคมในนั้นมันร้าย (ซึ่งร้ายจริง ร้ายปลอมก็ไม่รู้ แต่ได้ยินมาก็หลอนแล้ว สังคมแบบคนต่อหน้ายิ้มให้แล้วลับหลังจ้วงแทงข้างหลังกัน แล้วยังอะไรต่อมิอะไรที่มันแบบ ละครช่อง 7 เนี่ย กลัวจริงจัง มันร้ายนะคะหัวหน้า อีนี่ยิ่งไม่ค่อยชอบบู๊กับใคร แล้วยังเกลียดระบบ seniority แรงๆ อยากกลับไปอยู่เชียงราย ปลูกชา ปลูกสตอเบอร์รี่ slow life ดีกว่า)
แต่คุณขา อาถรรพ์แรงเหลือเกิน ที่พ่อที่แม่เตือนว่าไม่ชอบอะไรอย่าพูดน่ะ มันเข้าตัวจริงจริ๊ง T v T)
และกว่ารู้ตัวอีกที ปลายเดือนมิถุนายนปี 2016 เราก็ถือตั๋วเครื่องบิน บินไป Johor Bahru ซะแล้ว
(...)
Johor Bahru เป็นเมืองหนึ่งทางตอนใต้ของมาเลย์เซีย เมืองเงียบๆติดทะเล ใกล้สิงคโปร์ ไม่ค่อยมีใครเดินทางไปที่นั่น แต่เราไป เพราะอ่านเจอมาว่าเป็นสนามเปิด open day ของ Emirates ที่นี่คนไม่เยอะเท่าที่อื่น และแน่นอนว่านี่สนามแรกของเรา เรายังไม่อยากฮาร์ดคอร์กับตัวเองนัก
ทีนี้สำหรับคนที่ยังไม่เคยสมัครแอร์ก็อาจจะงงว่า open day คืออะไร
ขออธิบายก่อนว่า ในการรับสมัครแอร์ของทาง Emirates ของเราโดยปกติจะมีสองแบบค่ะ
สามารถเข้าไปเช็คได้ใน http://www.emiratesgroupcareers.com
โดยช่วงที่รับสมัคร เค้าก็จะมีข้อมูลให้ไว้ว่าสนามไหน ใช้การรับแบบไหน
(แต่ตอนนี้ปิดรับอยู่ เลยไม่มีข้อมูลอะไร ขอน้องๆทุกคนสวดมนต์ ภาวนา และหมั่นเช็คทุกวันค่ะ)
- Open Day วันที่ใครๆก็สามารถไปสมัครได้ เพียงพกเอกสารที่เขาต้องการ และเตรียมใจไปให้พร้อมสำหรับทุกด่าน ทุกอย่างที่จะเกิดขึ้นในวัน open day โดยจะมีกี่วันนั้น แล้วแต่ process และความคึกของกรรมการค่ะ เราขออนุญาตไปขยายความต่อในย่อหน้าถัด ถัด ถัด ถัด ถัด ถัด ไป
- Invitation Only ใครที่อยากสมัครต้องลงทะเบียนสมัคร online ในเว็บก่อนค่ะและเมื่อได้รับอีเมลล์ตอบกลับให้เข้าร่วม ก็แปลว่าคุณได้รับเชิญ ได้ไปต่อค่ะ เย้
ซึ่งโดยทั่วไป Open Day จะคนเยอะกว่า และสนามฮ็อตฮิทของสาว/หนุ่มไทยก็คือ Malaysia !!!
สาเหตุ ตามการสังเกตของเรา การสมัครต่างประเทศอาจเพิ่มโอกาสให้เราได้งาน
เพราะ เรากำลังแสดงออกถึงความกล้าที่ก้าวออกจาก comfort zone ซึ่งก็คือบ้านเกิดของตัวเอง นอกจากนั้นเรายังกำลังเปิดโลกให้ตัวเองโดยไม่รู้ตัว ในวันที่ไปสมัคร อย่าคิดว่ากรรมการไม่สังเกตเรานะจ๊ะ อ๊ะอ๊ะ ไปถึงก่อนเวลาคนแรกๆ แล้วพยายามรวมกลุ่มเพื่อนๆเข้ามาพูดคุยกัน ก็ดูเป็นการแสดงถึงการเข้าถึงผู้คนง่ายๆที่ดูโดนเด่นและน่าสนใจมาก และอีกข้อนึงคือ ความแตกต่าง หน้าตาเราไม่เหมือนใคร สำเนียงเราแปลกจากคนอื่น ไม่ต้องเป็นกังวล นั่นแหละค่ะจุดขาย จงมั่นใจและเปล่งประกายเจิดจ้าจนแสบตากรรมการไปเล๊ย
(สำหรับใครที่ผ่านเข้ามาได้จากสนามไทย เราขอบอกเลยว่าเรายกว่าพวกเธอสุดยอดมากๆ เพราะจากจำนวนคน และความแข่งขันสูงลิ่วแล้ว เธอคือสุดยอดผู้รอดชีวิต ปรบมือ!!)
วัน Open Day มาถึงในเช้าวันที่เราไม่ได้นอน ไม่คิดว่าตัวเองจะตื่นเต้น แต่ก็นอนไม่หลับจริงๆ
ลุกมานั่งทาเล็บตั้งแต่ตีสาม ทาสีแดงอย่างที่เค้าว่ากันมาว่ามันแจ่มจิตพิชิตใจกรรมการแน่นอน
แต่สุดท้ายยิ่งทายิ่งเลอะ ยิ่งไม่มั่นใจ ลบออกจ้า เทแม่ง ทาสีใสก็พอ ตัดเล็บด้วย เป็นตัวเองแค่นั้นยังไม่พอ จากการยืนเกล้าผมหน้ากระจกมาค่อนชั่งโมงจนเริ่มหงุดหงิดตัวเอง จากคนที่ปกติผมยังไม่ค่อยจะหวี แล้วต้องมาเกล้าผมสวยๆภายในสองชั่วโมงเนี่ย ทำให้ไม่ได้จริงๆ ขอโทษนะคะ เทค่ะ!
ไม่ได้เท open day นะ เทผมนี่แหละ เสียเวลาทำมาหากิน มัดหางม้าต่ำลวกๆ แล้วเอาเจลปาดเก็บลูกผมข้างหูพอ แล้วก็จบแค่นั้น ไปค่ะ ออกไปลุยกัน!!
ต่อให้เรามาเช้ามากๆแล้ว แต่ก็ยังมีคนที่มาเช้ากว่าเรา เราเจอเพื่อนร่วมอุดมการณ์หลายคน
ยืนเตร่อยู่มุมโถงทางเดิน บางคนนั่งบนโซฟาเริ่มจับกลุ่มหาคนคุยได้แล้ว มีเรานี่สิ
โชคดีของเราที่วันนั้นเอ๋อตั้งแต่เดินเข้าโรงแรม หาลิฟท์ไม่เจอค่ะ ! ก็เลยได้เจอผู้ร่วมชะตาสองคน เป็นชายหนุ่มที่อายุมากกว่าเราหลายปี จากการพูดคุย นี่ไม่ใช่ครั้งแรกของพวกเขา แล้วเราล่ะ เราล่ะ เราล่ะ... ใช่ค่ะ อิฉันเด็กใหม่ ไม่เจนสนาม ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย เอาแต่ใจและความเอ๋อมาล้วนๆ
เรายืนฟังเรื่องของเขา สะท้อนใจหลายอย่าง ขออภัยจริงๆที่จำชื่อของทั้งสองคนไม่ได้ แต่หนึ่งในนั้นบอกเราว่านี่ครั้ง 28 ของเค้าแล้ว และถ้าเค้าตกรอบวันนี้มันก็ไม่ใช่เรื่องใหม่ เค้าจะยังลองอีกในรอบต่อไป และต่อไป ความฝันมันเป็นพลังที่ไม่น่าเชื่อจริงๆนะ
มาถึงตรงนี้ เรารู้สึกผิดประมาณนึงนะพูดตรงๆ เกือบทุกคนในที่นั้นมาด้วยความฝันอันแรงกล้าที่จะเป็นแอร์แล้วเรามาทำอะไร.. เรารู้ว่าตัวเองชอบอะไร เราชอบเจอคน เราตื่นเต้นที่จะทำอะไรดีๆให้ใครก็ได้ เราชอบช่วยเหลือคน แค่ช่วยฝรั่งที่ถามทางได้เราก็มีความสุขไปทั้งวันแล้ว
เราคิดว่าเป็นแอร์มันก็คงฟีลนั้น แต่มันมีแค่นั้นจริงเหรอ การเที่ยวรอบโลกดูเป็นโบนัสมากกว่าจะเป็นสิ่งที่ได้จากงานจริงๆ เพราะส่วนตัวเราโฟกัสที่ช่วงเวลาของกรทำงานมากกว่าว่ามันใช่สิ่งที่เราชอบทำและอยากทำจริงๆใช่ไหม เรายืนสงสัยในตัวเอง และปล่อยให้พ่อหนุ่มคนนั้นพูดต่อไป
ไม่นาน หน้าห้องประชุมก็คลาคล่ำไปด้วยผู้คนจากทั่วสารทิศ ไทย จีน เกาหลี ฝรั่ง มาเลย์ แขก
กลุ่มวงสนทนาของเราขยายใหญ่ขึ้นมาก จนเราไม่อยากเชื่อ หลายคนในนั้นเป็นคนที่เรามองเห็นตั้งแต่เขาเดินเข้ามาคนเดียว และเดินหลีกไปอยู่ในมุม กอดแฟ้ม มองไปรอบห้อง ไม่เริ่มบทสนทนากับใคร
แต่วันนั้นเราเป็นคนบ้า เป็นคนแปลกหน้า ถือวิสาสะทำลายช่วงเวลาเงียบๆของหลายคนด้วยการเริ่มแนะนำตัว และถือโอกาสลากพวกเขาเข้ามาในวง
เพราะเรารู้ว่า การได้พูดคุยกับใครซักคน โดยเฉพาะคนที่กำลังจะผ่านวันนี้ไปกับเราน่ะมันช่วยลดความตื่นเต้น และทำให้เราใจสงบขึ้นก่อนเวลาสำคัญมาถึงได้เยอะเลย
และเมื่อเวลานั้นมาถึง เราจินตนาการไปไกลมากว่ากรรมการจะต้องมีหลายคนอาจจะเป็นฝรั่งหน้าเฟี๊ยซๆ ที่พร้อมฆ่าเราให้ตายได้ด้วยการมองเพียงครั้งเดียวแต่ทว่าสิ่งที่เห็นในเช้าวันนั้นคือ สุภาพสตรีเอเชี่ยนตัวเล็ก ๆ คนหนึ่ง เธอเปิดประตูกล่าวทักทายแล้วบอกให้ทุกคนเข้าไปในห้อง หาที่นั่ง แล้วเราจะเริ่ม Open Day กัน ไม่มีท่าทีน่ากลัวอะไรเลย
แต่นี่มันเพิ่งจะนาทีแรก open day ของเราอีกยาวไกล อย่าเพิ่งวางใจค่ะคุณขา
ทุกคนเข้ามาในห้องเรียบร้อย ทุลักทุเลนิดหน่อย ที่นั่งไปพอ แม้แต่โบยูเองก็บอกว่า เธอไม่คาดคิดเหมือนกันว่าจะมีคนสนใจมาสมัครมากมายขนาดนี้ ใช่ค่ะ โบยู คือชื่อของกรรมการของเราในวันนี้
เธอคือผู้ตัดสินชะตาชีวิตของมนุษย์ร่วมๆ 400 คนในห้อง
เราเริ่มพิธีกรรมของวันนั้นกันด้วยวิดีโอเกริ่นนำสายการบินเจ้าของเอกลักษณ์หมวกแดง ผ้าพันคอสีขาว และริมฝีปากแดงสวย EMIRATES นั่นเอง เป็นไปตามคาด หลายคนฮือฮา ปรบมือ ยอมรับว่าก็ดูน่าตื่นตา เย้ายวนใจไม่น้อย แต่ที่เราหวั่นใจน่ะ คือสิ่งที่จะตามมาต่อจากนี้ต่างหาก
พิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่ง
การยื่น CV หรือหลายคนอาจเรียกว่า resume
เป็นด่านแรกที่เปิดมาก็ปัดคนทิ้งไปครึ่งนึงของผู้สมัครซะแล้วเพราะฉะนั้น อย่าได้ประมาทด่านแรกเชียว
ด่านนี้ความยากอยู่ที่ ผู้สมัครแต่ละคนมีเวลาทำให้กรรมการประทับใจเพียงไม่เกินหนึ่งนาที บางคนมีน้อยกว่านั้น และทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก ไม่มีใครรู้ว่า ณ วินาทีที่กรรมการมองหน้าเรา หรือถามคำถามอะไรเรา เค้ากำลังมองหาอะไรจากเรา เพราะฉะนั้น สติค่ะ กอดสติไว้แน่นๆ แล้วยิ้มเยอะๆ หายใจเข้าลึกๆ เป็นตัวของตัวเอง อย่าเกร็ง ทุกอย่างจะเป็นไปได้ด้วยดี อย่าสติแตก
ด่านแรกของเราในวันเริ่มด้วยการจัดวางเอกสารตามลำดับที่โบยูบอก และรับหมายเลขมาติดหน้าอก หมายเลขนี้จะเป็นเลขประจำตัวเราจนจบวัน หรือจนกระทั่งเราหลุดจากด่าน และเมื่อโบยูกล่าวเรียกผู้สมัครคนแรกให้เดินไปหา ทุกอย่างก็เริ่มขึ้น
เราหมายเลข 13 เดินอย่างเป็นธรรมชาติที่สุด แต่เป็นธรรมชาติที่หลังตรง ยิ้มกว้าง ประหนึ่งว่ากำลังต้อนรับสามีลงจากเวทีคอนเสิร์ต ตรงไปหากรรมการ ยื่น CV ให้ โบยูก้มอ่าน CV ของเราไม่ถึงห้าวินาที ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาถามถึงงานล่าสุดที่เราทำว่าเริ่มทำเดือนไหน ใช่ค่ะ คำถามมันเบสิกเบอร์นั้นแหละคุณ และมันก็โชว์หราอยู่บน CV เรานั่นแหละ แต่ความเอ๋อก็ทำเราแหงนหน้า ขมวดคิ้ว ยกมือนับนิ้วให้กรรมการดูต่อหน้า เวลานั้นลืมจริงๆว่าตั้งใจจะวางตัวสวยๆ ทุกอย่างหลุดจนธรรมชาติจนอยากย้อนเวลาไปเขกหัวตัวเอง เราให้คำตอบไปแล้วยิ้ม โบยูพยักหน้าแล้วยิ้ม บอกว่าเสร็จแล้ว คนต่อไป..
มันเร็วกว่าอะไรที่ฉันเคยพบเจอมาในชีวิต เร็วกว่าต้มมาม่า เร็วกว่าบอกรักผู้ชายแล้วโดนเท เร็วกว่าบัตรคอนเสิร์ตวางขายแล้วบัตรหมดทันที มันเร็วเกินไป อีช้อยรับไม่ไหว แต่ไม่ได้ค่ะ the show must go on ! รวบรวมสติแล้วยิ้มสวยๆ" it's lovely to see you today, Boyu. have a nice day." เราเชคแฮนด์กันก่อนเราจะหันหลังเดินออกจากห้องไปด้วยหัวใจที่ไม่รู้ว่าจะหยุดเต้นดี หรือแหลกไปเลยดี
จบพิธีกรรมที่หนึ่ง
ปล. มีตัวอย่าง CV จริงที่ใช้ผ่านสมรภูมินี้แนบอยู่ท้ายบทความนะคะ
เนื่องจากวันนี้มีผู้สมัครเยอะมาก พิธีกรรมแรกกินเวลาจนเกือบเที่ยงกว่าจะสัมภาษณ์หมดทุกคนเราที่ออกมาคนแรกๆก็มานั่งกัดเล็บรอเพื่อนอยู่นอกห้อง เวลานั้น anxiety จะกินหัวจริงๆ ทั้งที่ตอนแรกใจจริงไม่ได้อยากเป็นแอร์เลยนี่หว่า แต่เหมือนว่ามันสนุกที่ได้มาตรงนี้ ได้มาเจอเพื่อนจากหลายๆที่ ได้ฟัง ได้พูด ได้หัวเราะ ได้มีส่วนร่วม ด่านแรกมันก็สนุกแล้วอะ แล้วเราอยากผ่านเข้ารอบไปลึกๆกว่านี้ อยากรู้ว่ามันเป็นยังไง ความเป็นคนอยากรู้อยากเห็นแท้ๆที่ขับเคลื่อนอีฉัน
หลังจากเพื่อนร่วมชะตาของเราออกมาจนครบหมดแล้ว เราทุกคนได้คำถามต่างกันไป บางคนคำถามดูจริงจัง บางคน คำถามดู... ไม่รู้ถามทำไม แต่ทุกคนมีอย่างหนึ่งที่เหมือนกันคือ ความตื่นเต้นจนเหมือนหัวใจจะหลุดจากอก
และเมื่อเรากลับขึ้นไปหน้าห้องประชุม ประตูห้องประชุมถูกปิดไว้ตามเดิม แต่มีสิ่งหนึ่งเปลี่ยนไปแผ่นกระดาษหลายแผ่นถูกแปะบนประตู มีหมายเลขอยู่บนนั้น หมายเลขที่ถูกขีดไฮไลท์คือผู้อยู่รอด เรามองหาหมายเลขของตัวเอง หวาดหวั่น มือสั่น หัวใจเต้นแรง และเราก็มองเห็นหมายเลข 13 มีไฮไลท์สีชมพูคาดทับ
นาทีนั้นอยากกรี๊ดแรงๆ แล้ววิ่งกระโดดตบรอบทางเดิน เต้นซัลซ่าสะบัดกระโปรงฮัดช่าาาา แต่พอหันไปเห็นเพื่อนๆหลายคนมีสีหน้าผิดหวังชัดเจน เรารู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ในวันนั้นจากทั้งกลุ่มที่เราไปลากๆมาอยู่ด้วยกัน เรารอดอยู่คนเดียว มันเป็นความดีใจที่เราก็เศร้าไปด้วย มีเพื่อนหลายคนในนั้นที่เรารู้สึกคุยถูกคอ ถูกชะตาและอยากให้ได้ผ่านเข้ารอบไปด้วยกัน แต่ว่าต่อจากนี้ เราต้องเดินเข้าไปด่านที่สองคนเดียว ไปเจอกับผู้รอดชีวิตคนอื่นๆ มันเศร้านะ แต่ต้องไปต่อ และหนึ่งในสาวๆของเราก็กอดเราแล้วบอกว่า "ดีใจด้วยอลิซ สู้นะ สู้เผื่อพวกเรา พวกเราจะเอาใจช่วยอยู่ข้างนอก" ใจมันฮึดขึ้นมาเลย
(ทุกวันนี้ยังมีกรุ๊ปใน facebook ที่ชื่อว่า the nervous people อยู่เลยสาวๆวันนั้นก็ยังอยู่ในกรุ๊ป
เรายังติดต่อกัน เป็นแรงใจให้กันเสมอ)
อย่างนึงที่อยากจะบอก
ไม่อยากให้คิดว่าเรามาแข่งกับใคร
อยากให้มาเพื่อทำให้เต็มที่ แข่งกับตัวเอง มีของเท่าไหร่ใส่ไป แต่อย่าฆ่าเพื่อน
เราไม่ได้มาเป็นนางร้าย โอบอ้อมอารีกับเพื่อนๆที่มาร่วมคว้าฝันด้วยกัน
ยิ่งผ่านไปด้วยกันได้ยิ่งดี มันจะดีกับกำลังใจของเราเองด้วย
พิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สอง
ไม่ต้องพึ่งเสียงกลอง หัวใจน้องเต้นดังพอแล้วด่านนี้เป็นด่านปูทางสำหรับด่านที่สาม
ด่านนี้แบ่งเป็นสองกลุ่มใหญ่ ตามจำนวนของผู้รอดชีวิตกลุ่มแรกจะเข้าไปในห้องก่อน
แล้วก็โดนจับแยกเป็นสองกลุ่มอีกที โดยจะมีสมาชิกประมาณกลุ่มละ 20 คน
ใน 20 คนนั้นก็โดนแยกออกไปอีกเป็นกลุ่มเล็กๆ กลุ่มละ 3 คน
ด่านนี้เป็น Group Discussion I หรือ ด่านการ์ดคำศัพท์ นั่นเอง
กติกา กรรมการจะแจกการ์ดเล็กๆให้กลุ่มละ 2 ใบ
1. ชื่ออาชีพ 2. ไอเท็ม
และให้เวลาเราปรึกษากับทีมว่า เราจะออกไปนำเสนออาชีพนี้ยังไงดี เลือกเอา qualifications ที่ดีๆของอาชีพนี้ ควรเป็นยังไงอธิบายยังไง ใบ้ยังไงให้ให้เค้าเดาว่าเราได้อาชีพอะไร
อันนี้เน้นการสื่อสารระหว่างเรา ทีม และคนอื่นๆที่อยู่ในห้องค่ะ ด่านนี้อย่าเครียด และอย่าเครียดค่ะ
ชิว ทำหัวโล่งๆ ใช้ความคิดสร้างสรรค์และเป็นตัวของตัวเองใครที่มีสกิลดีๆ จ้อเก่ง เป็นนักนำเสนอ
ไม่ค่อยเกร็ง ก็หายห่วงไปได้เลย
พอดีทีมเราได้อาชีพ Architect และเราได้เป็นตัวเปิดของทีมเราสนุกสิคะ อลิซปล่อยโจ๊กแม่งเลย
เปิดมายังกับโชว์สามช่า ก็เป็นอันว่าเฮฮากันไปรับส่งมุกกันในทีมไป โยนให้คนในห้องเล่นบ้าง กว่าจะเดาถูกก็หัวเราะกันทั้งห้อง
พอมาถึง item ทีมเราได้ eyeshade ค่ะทีนี้เป็นหน้าที่ของทีมเราจริงๆแล้วค่ะ ที่จะโชว์ศักยภาพการนำเสนอความคิดยัังไงพวกเราต้องเล่าให้ทุกคนในห้องฟังว่า พวกเรามีความคิดที่จะนำ eyeshade มาใช้กับอาชีพนี้ยังไง ไม่เอาคำตอบเบสิคๆแบบ ก็เอามาปิดตาตอนนอนไงจะใช้ทำอะไรล่ะ ตำส้มตำปลาร้างี้เหรอออ ไม่เอา ๆ ค่ะลูกขา พยายาม think outside the box ยิ่งล้ำยิ่งดี จินตนาการที่มีใส่ไปให้เต็มที่ค่ะ ไม่ใช้ตอนนี้ก็ไม่รู้จะใช้ตอนไหนแล้ว
ด้วยความที่ตอนแรกทีมเราเตี๊ยมกันมาว่า ตอนนำเสนอเรื่อง item จะให้หนุ่มคนนึงในทีมเปิด แล้วเราแทรกให้ เพราะตอนนั้นเวลาน้อย และเพื่อนร่วมทีมของเราอีกคนฟังหนุ่มฝรั่งคนนั้นพูดไม่ทันจริงๆ ก็เลยวางแผนกันมาแบบนี้ิ เปิดมาก็ตามแผนค่ะ แต่ขณะนี่พ่อหนุ่มของเรากำลังอธิบายในความมหัศจรรย์โอ้ลัลล้าของ eyeshade นั้นเอง โบยูก็ชี้ปากกามาที่เพื่อนร่วมทีมของเราคนนั้น........... dead air ที่น่ากลัว มัันมาแล้ว
เรารู้ว่าเพื่อนกำลังไปไม่ถูก เราจะช่วยพูด โบยูยกมือห้าม ซีนนั้นอารมณ์มัน intense มาก ทั้งห้องเงียบกริบ เราได้แต่ยืนกุมมือตัวเอง มองเพื่อนที่พยายามจริงๆ พยายามที่สุดที่จะด้นสดตอนนั้น เรานับถือหัวใจและสติของเค้าจริงๆ ถึงมันจะติดๆขัดๆ แต่สุดท้ายมันก็ผ่านไปได้ เป็นด่านที่ดูเหมือนง่าย
แต่ทำเอาใจหายใจคว่ำกันไปได้เหมือนกัน
จบด่านสอง กระดาษแปะหน้าประตูเช่นเคย
และเป็นอีกครั้งที่เราต้องโบกมือลาหลายๆคนไปอย่างน่าเสียดาย
เราผ่านไปด่านสามโดยที่หัวใจยังไม่ได้เต้นช้าลงแม้แต่จังหวะเดียวเลย
ทริคเอาชีวิตรอดสำหรับด่านนี้ รวมกันเราอยู่ ค่ะ teamwork ล้วนๆ พยายามให้ความสนใจคนในทีมตัวเองก่อนคนอื่นๆ แม้แต่กรรมการก็ตาม การนำเสนอ เมื่อมันมาจากไอเดียของพวกเรารวมๆกัน แม้เราจะเป็นคนพูดแต่เราพูดในนามของทีม สรรพนามที่ใช้ก็ควรเป็น we
แสดงความเป็น team player ที่มีไหวพริบ
และมีหัวใจที่แคร์คนข้างๆตัวเองด้วย
พิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สาม
จากผู้รอดชีวิต 80 คนในตอนแรก ตอนนี้เหลือโดยประมาณ 40 คนเท่านั้น
ด่านนี้เป็น Group Discussion II เป็นด่านอันเลื่องลือในเรื่องความเรียล จะเรียลยังไง มาดูกันค่ะ
ในด่านนี้ก็จะโดนแบ่งเป็นสองกลุ่มใหญ่อีกเช่นเคย กลุ่มแรกเข้าห้องเชือดเลยจ้า
เข้ามาห้องก็เอื้อมแตะกันเลยการเอื้อมแตะ
ต้องถอดรองเท้าแล้วเอื้อมมือแตะให้ถึง หรือเลย 212 เซนติเมตร สามารถเขย่งได้สำหรับคนที่ตัวเล็กๆนะคะ ใครยืดแขนไม่ถนัด จะถอดเสื้อสูทออกก็เอาเลยตามสบาย แตะให้ได้ก็พอ หลายคนผ่านมาจนถึงตอนนี้ ต้องหลุดไปเพราะแตะไม่ถึงก็น่าเสียดาย ก่อนมาสมัครถ้ารู้ตัวว่าตัวเล็ก โอกาสแตะถึงหมิ่นเหม่ แต่อยากลองเสี่ยงแนะนำให้ลองเล่นโยคะยืดตัวนะคะ มีคนลองทำแล้วได้ผลมาหลายคนแล้ว สู้เค้า !
เสร็จจากการเอื้อมแตะ โบยู ก็ถามถึงเรื่องรอยสักนอกร่มผ้า รวมถึงรอยแผลเป็น
ถ้าไม่มีก็ผ่านฉลุย แผลเป็นเล็กๆน้อยๆไม่ต้องไปกังวล ถ้าชัดแล้วกลบได้ก็โอเคค่ะ
จากนั้นก็เข้าสู่ช่วงที่สามของจริง โบยู ก็อธิบายกับพวกเราว่าในด่านนี้ จะมีสถานการณ์มาให้พวกยูทุกคนได้สถานการ์เดียวกัน คือพวกคุณเป็นพนักงานโรงแรมแล้วทีนี้ ความผีคือระบบจอโรงแรมรวน
แขกที่กดจองออนไลน์มาก็มาพร้อมกันที่เค้าเตอร์แล้วแต่เรากลับมีห้องเหลือแค่ 3 ห้องเท่านั้น
เราจะเลือกรับแขกคนไหนและกับคนที่ไม่รับ ไม่รับเพราะอะไร
โบยูจะจับเวลาให้ แล้วให้เราปรึกษากันในกลุ่ม
ใครเคยบอกมาว่าด่านนี้ให้เออออไป เนียนๆ yes, I agree with you. พยักหน้าหงึกหงักแล้วไม่เสนอไอเดียอะไร ระวังนะจ๊ะ ปลายปากกากรรมการพร้อมชี้ปั๊งมาที่ยูจ้า เซอร์ไพรซ์ !
ซึ่งเหตุการณ์ที่ว่าเกิดมาแล้วในกรุ๊ปเรา มีคนไม่เสนอไอเดีย พอหมดเวลา คุณแม่โบยูถามว่าตกลงเลือกใคร แล้วไม่เลือกใคร จากนั้นคุณแม่โบยูก็ไล่ชี้รายคนว่า แล้วคนนี้ที่ไม่เลือก ทำไมไม่ไม่เลือกเค้า คนอื่นๆโดนแค่นั้นไงคะ มาถึงอลิซซัง แจ็กพอตแตกอีกแล้วจ้า กรี๊ด !
ตอนแรกคุณแม่ถามว่า ยูไม่เลือกแขกคู่นี้ เค้าไม่พอใจ จะทำยังไงเราก็ตอบไปพื้นๆว่า
"I'd apologise them and explain why we couldn't accept them." จากนั้นของจริงก็มาค่ะ
คุณแม่โบยูโยนแฟ้มลงพื้น ปั๊ก ! เท้าเอว เสียงดังโวยวายใหญ่ว่า ยูขอโทษเหรอ แล้วยังไง ฉันจองโรงแรมล่วงหน้าเป็นเดือนๆ แล้วเนี่ยฉันมาฮันนี่มูนกันสามี เธอจะให้ฉันทำยังไง ไปนอนข้างถนนเหรอ !@#$%^YGVUJ(987^%$#@$%^&^&* ยาวจ้า
ฟีลลิ่งไลค์มหาลัยฯอีกครั้ง ฟีลลิ่งไลค์โดนลงอีกหน เธอทำให้ฉันรู้สึกเหมือนปีหนึ่ง /น้ำตามา
อลิซดึงสติในทัน โค้งขอโทษมาดาม มันคือ role play ดีๆนี่เอง ดีกรีนางเอกละครเวทีศิลปศาสตร์อย่างฉันจะต้องผ่านซีนนี้ไปให้ได้ ตอนนั้นเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในรองเท้าของพนักงานโรงแรมจริงๆ เพราะเมื่อคุณแม่ซีนอารมณ์ส่งมาเต็มขนาดนี้ เราจะไม่ให้เสียของค่ะ
"I do apologise ma'am. we all never wanted this to happen and now we are aware of it. It's the technical error of booking system and we don't have any choices to do since it's high season and we don't have any rooms left for you. But what we can do for you now is to provide you the private waiting space with welcome drinks and some sandwiches. I know you've been travelling looooooong way to here and you must be tired but please spare me a moment. We are trying our best to contact other hotels in our chain around here to see if they have some available rooms. And please rest assured, we will arrange the transportation for you. Would that be alright to you?"
"ขออภัยจริงๆค่ะคุณผู้หญิง ทางเราไม่ได้ต้องการให้เหตุการณืนี้เกิดขึ้นเลย แต่เมื่อมันเกิดขึ้นแล้วเรากำลังพยายามแก้ไขกันอยู่ เนื่องจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเพราะความผิดพลาดทางเทคนิคที่การจองห้องออนไลน์เกิดเอ๋อขึ้นมา และช่วงนี้เป็นไฮซีซั่น เราจึงไม่เหลือห้องว่างจริงๆ แต่สิ่งที่เราทำให้คุณได้ตอนนี้คือ เราจัดเตรียมพื้นที่ต้อนรับส่วนตัวให้คุณทั้งคู่ พร้อมทั้งเครื่องดื่มและแซนด์วิชรอรับ อิฉันเข้าใจจริงๆค่ะว่าคุณเดินทางมาตั้งไกลแส๊นนนนนไกลเพื่อมาพักที่นี่ และคุณก็คงจะเหนื่อยล้า แต่อิฉันรบกวนขอเวลาซักครู่นะคะ ทางเรากำลังพยายามอย่างเต็มที่เพื่อที่จะติดต่อโรงแรมในเครือที่อยู่รอบๆนี้เผื่อว่าจะมีห้องว่างให้คุณทั้งคู่ และได้โปรดอย่ากังวลไป สำหรับการเดินทาง ทางเรากำลังจัดเตรียมรถให้นะคะ โอเคไหมคะ"
ไม่โอเคก็ต้องโอเคนะคะคุณแม่ขา ลูกขูดซากสมองในกะโหลกมาบูชายัญแล้วค่า
แล้วขุ่นแม่โบยูของเราก็พายุสงบ พยักหน้าอย่างพึงพอใจ หยิบแฟ้มขึ้นมาวางบนตัก
แล้วจี้ถามคนต่อไป แต่ไม่มีโรล์เพลย์เล่นใหญ่
อ้าว!! แม่!! ทำไมเป็นหนูอ๊ะ !!
ตอนนั้นอยากควักมือตัวเองขึ้นมาแทะเล็บแหง็กๆๆๆมากๆเลย ตอบถูกใจเค้าไหมวะ เอ๊ะ หรือเค้าหาเรื่องเชือดเรา จะรอดมั้ยน้า จะรอดมั้ยเอ่ย อยากเต้นสามช่าแก้เครียด แต่ก็ต้องคีพลุคนั่งหลังตรง pay attention ที่เพื่อนร่วมชะตากรรมคนต่อๆๆๆๆไปจนครบทั้งวง แต่เชื่อเราเถอะ การพยายามวางท่าสง่า ถ้ามันฝืนมากไปจนปวดร้าวกระดูกสันหลัง การเอนหลังลงมาพิงพนักเก้าอี้ซักนิด แล้วยังเก็บขาให้เรียบร้อยก็ไม่เลวนะ
และเมื่อทุกคนได้พูด ได้ตอบจนคุณแม่ของเราพึงพอใจ เราก็ถูกปลดปล่อยจากห้องเชือด
มองเวลา อ้าว หกโมงกว่าแล้วจ้า ยิงยาวมากๆ แต่ยังมันยังไม่จบ
ในด่านที่สามนี้ สิ่งเราเรียนรู้คือ
get along กับกลุ่มได้ก็ดี
แต่อย่าถูกกลืนหายไป เราควรมีประกายของตัวเอง
เข้ากับคนอื่นได้โดยที่ตัวเองยังโดนเด่น
เป็นความตรงกลางที่ยากเหลือเกิน
แต่เชื่อเราเถอะค่ะว่าคนที่วางตัวในจุดนั้นได้คือ สเป็คของ Emirates เค้าแหละ
อย่ากลัวที่จะเสนอไอเดีย แม้เราจะไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่ใครพูดออกมา เราอยู่ทีมเดียวกัน เรามีสิทธิเสนออีกมุมมองที่ต่างออกไปด้วยความสุภาพ ไม่ผิดกฎค่ะ ถ้าเรามองต่างออกไป ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยตลอดเวลา ด้วย culture ขององค์กรนี้ เค้าเน้นว่าใครมีอะไรพูดออกมา เสนอความคิด คุยกัน ช่วยกัน ซึ่งถ้าใครชอบวัฒนธรรมที่เสียงของทุกคนมีค่าเท่ากันและควรได้รับการฟังเท่ากัน ก็อยากให้มาลองกัน
และอีกอย่างนึงคือความสมองไวในการแก้ปัญหา ความเป็นธรรมชาติ เวลาที่ต้องดีลกับอารมณ์ของคนอื่น โดนเฉพาะอารมณ์ด้านลบ ฉะนั้นมีสติค่ะ และยิ้มเยอะๆ อย่าลืม รอยยิ้มสำคัญมาก
หลังจากจบด่านสามทั้งสองกลุ่มกระดาษ เช่นเคย แปะอยู่หน้าประตูพร้อมรอยมาร์กของปากกาไฮไลท์และหมายเลข 13 ยังคงถูกคาดด้วยสีชมพู เย้!!
พิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สี่
พิธีกรรมขั้นที่สี่ English Testหลายคนถามกันเยอะมากว่าเหมือน Toeic มั้ย ยากมั้ย ตอบตรงนี้เลย เรื่องของความยากนี่แล้วแต่ดวงเลยค่ะว่าจะได้ข้อสอบชุดไหน เพราะมันมีข้อสอบสองชุด ชุดนึงโอเค พื้นๆ อีกชุดค่อนข้างยากขึ้นมาหน่อย ฉะนั้นเตรียมตัวมาให้ดี สติพร้อม พกแต้มบุญแสตนบายไว้ เวลาเรียกใช้จะได้มาทัน
มีเวลาให้หนึ่งชั่วโมง เป็นข้อสอบปรนัย 55 ข้อ มีทั้งอ่านแล้วตอบคำถาม จับคู่คำศัพท์กับความหมาย
แกรมม่า อะไรประมาณนี้ มีสติ ค่อยๆอ่าน อย่าลน อย่ารีบค่ะ หนึ่งชั่วโมงพอถมเถ อันไหนไม่ได้ วางไว้ก่อน ไปทำอันที่ทำได้ แล้วค่อยกลับมาดีลกับมันใหม่
เสร็จจากด่านนี้ ส่งข้อสอบเสร็จ คุณแม่ก็อัญเชิญให้ออกไปนั่งจับวงสวดมนต์กันข้างนอกจ้า
การเฉลยผลของด่านนี้บอกเลยว่า แหกอกหักใจกันยิ่งกว่าประกาศมงนางงาม
เพราะครั้งนี้คุณแม่โบยูไม่แปะกระดาษแล้วค่ะ คุณแม่เปิดประตูออกมาประกาศเรียกตามเบอร์ให้เข้าไปในห้อง ไล่ไปเรื่อยๆจนเหลืออยู่ข้างนอกกันไม่กี่คน
ตอนนั้นน้ำตามาแล้ว.. ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน เสียใจเหรอ ก็ไม่นะ วันนี้รวมๆก็เต็มที่แล้วก็สนุกกับมันมาตลอด ผิดหวังเหรอ ก็คงงั้นมั้ง รู้สึกเหมือนแพ้เลย ไม่ได้แพ้คนอื่นนะ แค่แพ้ตัวเอง แค่รู้สึกว่าทำไมวะ เกือบด่านสุดท้ายแล้วอะ กำลังจะกดโทรศัพท์หาแม่แล้วตอนนั้น น้ำตาคลอจริง ฟีลอารมณ์ของจริง
แล้วอยู่ๆคุณแม่โบยูก็เปิดประตูอีกครั้งพร้อมผู้สมัครหลายคนที่เดินออกมา บางคนปาดน้ำตา บางคนดูโมโห หลายคนข้างนอกเดินไปจับบ่า บางคนส่ายหัวร้องไห้ มันมีอะไรบางอย่างผิดไป ตอนนั้นเอ๋อเลย งงไปหมด
แล้วโบยูก็เรียกคนที่เหลือเข้าไปคุณแม่ปิดประตูแล้วกล่าวแสดงความยินดีกับพวกเราทุกคนในนั้น
ใช่ค่ะ พวกเราทำได้ พวกเราได้ผ่านเข้าสู่รอบ final แล้ว it's been a looooooooooooooooong day. ของจริงสำหรับสี่ด่านรวดเดียวจบ ไม่รู้ขุ่นแม่โด๊ปกระทิงแดงไปกี่ขวด แต่ที่แน่ๆทุกคนตอนนี้แฮปปี้มากที่รู้ว่าผลสำเร็จของความทุ่มเทตลอดวันนี้มันสวยงาม
ฮัดช่าาาาาาา คืนนี้ฉันจะระบำสามช่าแก้บน
แล้วทุกคนก็ลงวันที่ เวลา ตามสะดวก สำหรับการสัมภาษณ์ตัวต่อตัวในรอบสุดท้ายส่วนอลิซซังที่ขอแม่มามาเลย์อาทิตย์กว่านั้น นั่งแกว่งขาสบายใจเฉิบเลย เพราะชิว อยู่อีกเป็นอาทิตย์ เหลือวันไหนว่างก็เอาวันนั้นอะจ้า ทุกคนเต็มที่โลด ฉันยังเอนจอยกับการกินนาซิโกเร็งได้อีกหลายวัน และตามคาด ได้วันสุดท้าย เวลาเกือบท้ายสุด
พิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สี่ จุดสอง
Personality Test แบบทดสอบจิตวิทยา
สำหรับคนที่ผ่านด่านอรหันต์ทุกด่านมาได้ ก็จะได้รางวัลเป็นการเข้าไปนั่งทำแบบทดสอบจิตวิทยา
ที่จะหาว่าจริงๆแล้วเราเป็นคนแบบไหน มีสไตล์งานทำงานยังไง
ข้อแนะนำคือ จงเป็นตัวของตัวเอง และอย่าประดิษฐ์ เพราะคำถามมีเยอะ ตอบๆไปลืมคำตอบที่แสร้งตอบไปแล้วมันจะโป๊ะจ้า ข้อสอบใช้เวลา 15 นาทีโดยประมาณ อย่าไปซีเรียส ผ่านมาถึงจุดนี้แล้ว
เหมือนจะชิวแต่ก็ไม่ชิว เราใช้ช่วงเวลาหลายวันก่อนรอวัน final interview ไปกับการตระเวนกินของอร่อยในเมือง Johor Bahru และพบว่ามันเป็นติดทะเลที่ลงทะเลไม่ได้ ริมถนนที่ติดทะเลมีกำแพงสังกะสีสูงท่วมหัวกั้นไว้ เป็นความผิดหวังแบบตลกๆของอีช้อย และด้วยความเผือกก็เลยถามคนแถวนั้นว่าทำไมเค้าไม่ให้เล่นน้ำทะเล ไม่ใช่เพราะว่าลมแรง พายุอันตราย หรือคลื่นอะไรเลยจ้า เค้าบอกว่าคนชอบว่ายน้ำจากฝั่งนี้หนีไปขึ้นสิงคโปร์ เข้าประเทศแบบผิดกม. thug life สุด
พิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ลำดับสุดท้าย
FINAL INTERVIEW ด่านบอสด่านสุดท้าย หายใจเข้าลึกๆ แล้วไปลุยกัน
เรามาถึงก่อนเวลา ชุดสูทตัวเดิม ยกเว้นผมที่ถูกเกล้ามวยขึ้นอย่างที่โบยูขอในวันก่อนที่เจอกัน
โบยูขอว่าให้สาวๆเกล้ามวยผมแล้วทาปากสีแดงมาเพราะต้องการดูลุคว่าจะเข้ากับยูนิฟอร์มไหม
พกเอกสารไปให้ครบ เช็คดีๆ
- รูปถ่ายหน้าตรง ฉากขาว Business attire ครึ่งตัว และ เต็มตัว
- รูปถ่าย casual (อันนี้ส่งเมลล์ตามไปได้)
- CV / resume
- สำเนาใบจบการศึกษา transcript มีอะไรเอามา แต่ถ้าตราประทับเป็นแบบของม.เราที่เป็นปั๊มนูนบนกระดาษ ไม่ใช่แบบหมึก ก็แนะนำให้แนบตัวจริงไปด้วยเลยค่ะ (ขอใบจริงจากม.มาหลายๆอันนะตอนเรียนจบ ได้ใช้แน่นอน)
- สำเนา passport
เราจำไม่ได้ว่าใช้เวลาวันนั้นกี่นาที หรือกี่ชั่วโมงไปกับการถูกสัมภาษณ์ เป็นช่วงเวลาที่เหมือนจะนาน และอัดแน่นไปด้วยการพูด พูด พูด และพูด เราปากแห้งจนดื่มน้ำหมดแก้วในขณะพูดคุยกับโบยู
นั่นแหละ ไม่เรียกว่าสัมภาษณ์แล้วกัน ความรู้สึกวันนั้นเหมือนการเข้าไปพูดคุยกับเพื่อนที่ไม่ค่อยสนิท และไม่เจอกันมานาน โบยูบอกให้เราทำตัวสบายๆ นั่งพิงพนักก็ได้ถ้าเมื่อยหลัง แล้วก็เริ่มถามคำถาม
ทุกคำตอบของเราจะถูกพิมพ์บันทึกโดยกรรมการ และคำตอบของเราจะถูกส่งกลับไปที่ HR department ของ Emirates ที่ดูไบ ฉะนั้นแล้ว การตัดสินใจว่าเราจะมงลงได้หมวกแดง หรือจะวืด ก็เป็นเพราะคำตอบของเราและการพิจารณาจากฝ่าย HR ที่ยานแม่แล้วค่ะ
คำถามวันนั้นเริ่มต้นง่ายๆด้วยอะไรพื้นๆอย่างเช่นตอนสมัยมหาลัยฯ ทำกิจกรรมอะไรสายกิจกรรมที่ทำบ้าง เล่นบ้าง เรียนบ้าง ก็เล่าไปเรื่อยๆ จนกระทั่งโบยูสะดุดกับกิจกรรมจิตอาสา ที่รวมตัวกับเพื่อนในม.ไปทำกิจกรรมบนดอย ทำห้องสมุดให้เด็กๆที่โรงเรียนบนดอย หรือทาสีอาคาร ทำกิจกรรมสันทนาการบนดอย โบยูจี้จุดตรงนั้นว่าทำอะไร ทำยังไง แล้วถ้ามันมีอะไรที่เราทำเองไม่ไหว เราขอร้องให้คนอื่นช่วยยังไง
แล้วก็มาถึงเรื่องสมัยทำงานมีวัฒนธรรมของเพื่อนร่วมงานต่างชาติอันไหน ที่วัฒนธรรมไทยเราไม่มี แต่เราเห็นแล้วเราอยากเอามาใช้
เวลาที่เราต้องหาข้อสรุปกับงานที่ทำกันเป็นทีม
เราทำยังไงแล้วเวลาที่ไม่พอใจเพื่อนร่วมงาน
เรามีทางออกยังไงเมื่อที่เรารู้สึกไม่โอเค
ทำไมถึงอยากมาเป็นแอร์ และทำไมถึงเลือกเอมิเรตส์
เคยเจอลูกค้าวีนแตกไหม แล้วแก้ไขยังไง
จากที่สังเกต คำถามทุกอย่างมาจากในใบ CV ที่เราเขียนไป ถ้าทำงานเกี่ยวกับการบริการมา ก็จะโดนถามเรื่องเชิงการบริการ ถ้าทำงานที่เน้นทีมเวิร์ค ก็จะถามเรื่องการทำงานเป็นทีม ทุกคำถามมาจากตัวตนที่เราเขียนในใบค่ะ ขอให้ตอบตามความเป็นจริง และเป็นตัวของตัวเองเข้าไว้ เหนือสิ่งใด ยิ้มเยอะๆ และพยายามผ่อนคลาย อย่าเกร็ง กรรมการอยากเห็นเราที่เราเป็นเรา เราที่มีชีวิตชีวา เป็นมนุษย์จริงๆ อย่าประดิษฐ์เยอะ เค้าต้องการคนที่เป็นตัวเองแล้วถูกสเป็คของสาย
และในท้ายที่สุด เราได้รับ golden call ในบ่ายวันที่นั่งรถเมล์สาย 8 มหกรรมความพีค รถเหวี่ยงสุด และนี่ได้แต่ yes yes yes จับได้แค่ว่าโทรมาจาก Emirates headquarter นะแล้วก็132456uywtdgs@#$%(+_-887%wreew@#$&9 ไม่มีเลยค่ะ มู๊ดดีใจปาดน้ำตาอะไรน่ะแบบ ห๊ะอะไรนะ I beg you pardon. Sorry. Would you mind repeating that again? ป่วงได้จนกระทั่งวันรับ Golden Call เลย
นี่และค่ะ บรรไดขั้นแรกก่อนการได้มาครองหมวกแดงทุกวันนี้ก็ยังบินอยู่ เบสดูไบบ้าง แวบกลับกรุงเทพบ้าง มีแฮปปี้บ้าง งอแงบ้าง หัวร้อนบ้าง เป็นบ้าบ้าง แต่รวมๆแล้วยิ่งทำยิ่งรักนะ
มาถึงตรงนี้ก็อยากขอบคุณที่อ่านจบ และขอโทษที่ดองเอาไว้นานเชียว (เกือบสองปี) อยากเป็นกำลังใจให้ใครที่อ่านอยู่และอยากติดปีกมาเป็นแอร์แขกเบสดูไบ ขอให้ตั้งใจระหว่างนี้ยังไม่เปิดรับก็อยากให้มองว่าเป็นโอกาสที่ดี จะได้มีเวลาฝึกฝน ใครยังไม่แข็งแรงเรื่องภาษา หรือเรื่องอะไร ตอนนี้แหละค่ะ ฝึกซะ เราเอาใจช่วย และพร้อมตอบทุกข้อสงสัยที่พอจะตอบได้ ยินดีรับทุกคำถาม แต่ช่วยกันนิดนึง ช่วยหาข้อมูลเบื้องต้นมาก่อน ทำการศึกษา หาข้อมูลมาก่อน ถ้าสงสัยแล้วถาม อิช้อยยินดีเจ้าค่ะ แต่หากอิช้อยไม่สามารถหาคำตอบให้ได้ ได้โปรดอย่าเกลียดชังและสาปแช่งช้อยเลยค่ะ บางครั้งอิช้อยก็ลืมสมองทิ้งไว้บนเครื่อง
ยังไงอ่านแล้วขอให้เก็บเอาทริคดีๆที่นำไปใช้ได้ ไปปรับใช้กับตัวเองนะคะอย่าจำคำตอบ หรือคาดหวังว่าด่านมันจะออกมาเป๊ะๆตามที่เราเจอมา เนื่องด้วยยานแม่ปิดรับมาเป็นปีแล้ว ถ้ากลับมารับอีกรอบ เราไม่แน่ใจว่าเค้าจะยังใช้ด่านแบบเดิมไหม จะยากขึ้น หรือหรรษาขึ้น อันนี้ไม่แน่ใจจริงๆ แนะนำให้ตามอ่านในเว็บไซท์ หรือลองเข้ากลุ่ม Emirates approval in progress status!!! ดู ก็จะได้เก็บเกี่ยวอะไรหลายๆอย่าง แลกเปลี่ยนความคิดเห็น ตามอ่านความเคลื่อนไหว เก็บไว้เตรียมตัวได้ทันค่ะ
ท้ายที่สุด ขอให้ความตั้งใจและความพยายาม ส่งผลให้ทุกคนได้ประสบความสำเร็จติดปีกมาบินด้วยกันไวๆนะคะ ถ้ามีคนอยากอ่านต่อ และไม่ขี้เกียจเขียน ก็จะขุดตัวเองมาเขียนตอนสอง เกี่ยวกับชีวิตตอนอยู่ใน training college ก่อนบินนะ
ด้วยรักและเต้นสามช่า ฮัดช่าาาาาาาาา,
อลิซ
ปล. ใครที่บอกว่าสายแอร์แขกชอบสาวฟันซี่โต มือสวย เล็บสวย ผอมเพรียวหุ่นดีเราขอยืนยันตรงนี้เลยว่า ในวันสมัครเราพิชิตใจกรรมการได้ด้วยน้ำหนักเกือบหกสิบและความสูงร้อยเจ็ดสิบ เล็บเราสั้นมากแบบไม่มีเล็บสีขาวเลย แน่นอนว่าไม่เคยทำเล็บเลย มันธรรมชาติ(ลงโทษ)มากๆ และเราเป็นคนฟันซี่เล็กมาโดยธรรมชาติ เล็กขนาดที่ว่าหมอแนะให้ใช้แปรงสีฟันของเด็กห้าขวบ เพราะฉะนั้นแล้ว อะไรก็ตามที่เราเป็น ถึงมันไม่เพอร์เฟคเป๊ะทุกระเบียบนิ้ว มันก็ไม่ใช่อุปสรรคเลยค่ะ เค้าไม่ได้ต้องการหาคนที่เพอร์เฟค เค้าหาที่พอดีกับงานของสายการบิน ถ้าใจบอกว่าใช่ ก็อย่ารอค่ะ ลุยเลย
(แต่ช่วงนี้ต้องรอเนอะ ยานแม่ยังไม่เปิดรับ อย่าถามนะคะว่าเปิดเมื่อไหร่ อีช้อยไม่ทราบจริงๆแนะนำให้สวดมนต์ พุธโธ ธัมโม สังโฆ แล้วกดรีเฟรชหน้าเว็บรัวๆ)
รางวัลสำหรับคนที่อ่านจบ หรือขี้โกงเลื่อนมาดูตอนจบ
แนบ CV ค่ะ: http://www.mediafire.com/file/rw54tr46ig07hai/CV.docx
งเลย