เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ความทรงจำอยู่ที่ไหน ความคิดถึงอยู่ที่นั่นBUNBOOKISH
02: คับที่อยู่ได้

  • บ้านที่ผมอยู่กับอี๊เป็นตึกแถวหลังเล็กในซอยแคบๆ 

    เล็กชนิดที่ถ้าวันหนึ่งผมมีครอบครัวก็อาจต้องย้ายออกไปอยู่ที่อื่น เพราะลำพังแค่ผมอาศัยอยู่กับอี๊ พื้นที่ว่างในบ้านก็แทบไม่เหลือแล้ว ที่จอดรถยิ่งไม่ต้องพูดถึง นั่นเป็นสาเหตุที่ความฝันจะมีรถสักคันของผมยังเป็นหมัน เพราะซื้อมาก็ไม่รู้จะไปจอดที่ไหน

    แต่อี๊กลับไม่เคยมองว่าบ้านหลังนี้มันแคบเกินไปเลย

    ผมอยู่บ้านหลังเล็กๆ นี้มาตั้งแต่ยังเด็ก มีเพียงบางช่วงของชีวิตที่โยกย้ายไปอาศัยที่อื่น ส่วนอี๊อยู่บ้านหลังนี้มามากกว่าห้าสิบปีแล้ว

    สมัยเรียนมัธยม หนึ่งในกิจกรรมที่ผมชอบคือการได้ไปนอนค้างที่บ้านหรือคอนโดฯ เพื่อนในช่วงใกล้สอบ และทุกครั้งผมมักรู้สึกในใจว่าทำไมเพื่อนถึงโชคดีมีบ้านหลังใหญ่ จะเล่นเกมหรือดูหนังก็มีห้องแยกโดยเฉพาะ ยังไม่นับสนามหญ้าขนาดย่อมๆ ที่เอาลูกฟุตบอลไปเลี้ยงฝึกฝีเท้าได้ตอนว่างๆ ส่วนเพื่อนที่อยู่คอนโดฯ ก็มีสระว่ายน้ำให้ว่ายเมื่อไหร่ก็ได้เท่าที่ใจอยากสดชื่น แถมยังมีโต๊ะปิงปองให้ตีได้ทุกเมื่อ

    ทุกครั้งที่เพื่อนชวนกันไปบ้านใครสักคนในกลุ่ม ผมจึงไม่ค่อยปฏิเสธ ในขณะที่ผมเองไม่เคยกล้าเอ่ยปากชวนใครมาบ้านเลยสักครั้ง

    ด้วยความคิดแบบเด็กๆ ในตอนนั้น ผมรู้สึกอายเพื่อนที่ต้องมาเห็นบ้านที่ทั้งเล็กและเต็มไปด้วยข้าวของที่ไม่ค่อยเท่หรือเก๋ในสายตาใคร ตรงกันข้ามกับอี๊ที่ภูมิใจในบ้านเล็กๆ หลังนี้เหลือเกิน

    “มีบ้านอยู่ก็ดีแค่ไหนแล้ว” อี๊เคยบอกผมด้วยประโยคนี้ ซึ่งผมเข้าใจเอาเองว่าอี๊คงเปรียบกับคนไม่มีที่อยู่อาศัย
  • ดีแค่ไหนที่มีบ้านอยู่—ผมพอรู้ เพียงแต่ในความคิดตอนนั้นถ้าเลือกได้ผมก็อยากได้บ้านหลังใหญ่และสวยกว่านี้ ซึ่งอี๊อาจไม่เข้าใจ

    “ทำไมซื้อบ้านหลังนี้” ผมถามอี๊ไปแบบนั้นในเช้าวันหนึ่ง ทั้งที่ในใจอยากถามว่า “ทำไมซื้อบ้านหลังแค่นี้”

    “ตอนนั้นบ้านเก่าไฟไหม้” อี๊เปิดประโยคด้วยสิ่งที่ผมไม่เคยรู้มาก่อน เมื่อได้ยินอย่างนั้นก็รู้สึกประหลาดใจ เพราะปกติถ้าใครสักคนเคยผ่านประสบการณ์บ้านไฟไหม้ เขาน่าจะเอามาเล่าซ้ำไปซ้ำมาคล้ายว่าสลัดอดีตอันเลวร้ายไม่หลุด แต่อี๊กลับไม่เคยปริปากถึงเรื่องนี้ กว่าจะมารู้ก็ตอนผมอายุ 27 ปี และถ้าไม่ถามเรื่องบ้าน ก็คงไม่มีทางได้รู้

    อี๊เล่าว่า หลังจากไฟไหม้ที่บ้านลำบากมาก อาม่า—แม่ของอี๊หยิบของมีค่าติดมือออกมาได้เพียงไม่กี่อย่าง นอกนั้นหายวับไปกับเปลวไฟคล้ายเวลาเผากระดาษไหว้เจ้าอย่างไรอย่างนั้น ยังดีที่ทุกคนในบ้านหนีออกมาได้ทัน เมื่อบ้านหายไป ไม่มีที่ซุกหัวนอน อาม่าจึงต้องหอบลูกๆ ไปอยู่กับญาติ แรกๆ ก็ไม่มีปัญหา แต่อยู่ไปอยู่มาอาม่าเริ่มได้ยินเสียงกระแหนะกระแหน ประชดประชันจากเจ้าของบ้านโทษฐานย้ายมาเป็นภาระ

    “จะทำอะไรได้ มันไม่ใช่บ้านเรา” อี๊ตอบด้วยน้ำเสียงเข้าใจไม่เคืองแค้น เมื่อผมถามว่าตอนนั้นอาม่าทำยังไง ที่น่าเจ็บช้ำหัวใจในฐานะคนฟังรุ่นหลังคือ อี๊เล่าว่าวันสุดท้ายที่ย้ายออกมา เจ้าของบ้านถึงกับราดน้ำหน้าบ้านไล่หลัง คล้ายว่าต้องการล้างความซวยให้หมดไป

    อาม่าเอาเงินที่ได้จากการประกันบ้านหลังเก่า รวมเงินกับญาติผู้ใหญ่อีกคนซื้อบ้านหลังใหม่ ซึ่งก็คือหลังที่ผมอาศัยอยู่กับอี๊

    อี๊เล่าว่าตอนย้ายมาใหม่ๆ บ้านหลังนี้อยู่กันเป็นสิบคน ห้องนอนหนึ่งห้องนอนเบียดเสียดกันสี่ห้าคนแต่ไม่มีใครบ่นสักคำ ทุกคนดูมีความสุขกว่าตอนอยู่บ้านหลังใหญ่ที่ไปอาศัยเขาเสียอีก

    เมื่อฟังอี๊เล่าจบ ผมพอจะเข้าใจประโยคที่อี๊เคยบอก

    “มีบ้านอยู่ก็ดีแค่ไหนแล้ว” 

    ใช่, ไม่ต้องไปอาศัยใครเขาอยู่ก็ดีแค่ไหนแล้ว

    ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมอี๊ถึงรักบ้านเล็กๆ หลังนี้ เพราะมันเป็นบ้านของเรา ถึงมันจะคับแคบยังไง ก็ไม่มีใครทำให้เราอึดอัดได้

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in