อย่างที่บอกในบทที่แล้วว่าผู้ป่วยย้ำคิดย้ำทำอาจปรากฏแค่อาการเดียว คือ อาการย้ำคิดหรือ Pure Oและฉันก็เป็นผู้ป่วยประเภทนั้น ในสมองของฉันเต็มไปด้วยความคิดชั่วร้าย, ความตาย,ความเจ็บป่วย ไม่ว่าจะของตัวฉันเองหรือคนรอบข้าง
ในด้านของลักษณะของภาพหรือภาพเคลื่อนไหวความคิดพวกนั้นมันฉายออกมาเหมือนเครื่องฉายหนังโบราณและฉันเป็นคนนั่งดูมันฉายไปเรื่อย ๆ โดยไม่รู้ว่าจะปิดเครื่องฉายหนังสนิมเขรอะนั้นได้ยังไงถ้านึกภาพไม่ออกลองนึกถึงฉากที่ อีธาน ฮอร์ก ในเรื่อง Sinister ไปเจอฟิล์มเก่า ๆ ในห้องใต้หลังคาแล้วนั่งดูภาพจากม้วนฟิล์มนั้น แต่มันต่างกันที่ตอน อีธานเห็นภาพความตายในภาพเคลื่อนไหวเขาสามารถปิดมันได้ทันที ต่างกันกับสมองของฉัน ที่ทำอย่างนั้นไม่ได้
ในด้านปริมาณความคิดพวกนั้นฉันเปรียบมันเหมือนกับน้ำเนื่องจากมันมีจำนวนมหาศาล และสามารถไหลเข้ามาในสมองของฉันอย่างเกินความควบคุม มันไหลเข้ามาเรื่อยๆ เหมือนสายน้ำที่ไม่เคยไหลย้อนกลับฉันจำไม่ได้ว่าไอ้น้ำนี่มันเริ่มไหลเข้ามาในสมองของฉันตั้งแต่เมื่อไหร่ฉันเพียงแต่จำได้ลาง ๆ ว่าเมื่อตอนสมัยประถมศึกษาปีที่ 6 ก่อนวันแจกสมุดสะสมคะแนนสมัยนั้นต้องมีการประชุมผู้ปกครองและคุณครูประจำชั้นจะแจกสมุดสะสมคะแนนเล่มสีชมพูให้พ่อแม่แต่ละคนฉันไม่แน่ใจนะว่าสมัยนี้ยังเป็นอย่างนั้นอยู่หรือเปล่าคืนก่อนวันแจกใบเกรดฉันนอนร้องไห้คนเดียวในห้องนอน เพราะในหัวคิดวนเวียนว่า
ฉันต้องได้เกรด0 วิชาคณิตศาสตร์แน่ ๆ พ่อแม่ต้องไม่พอใจฉันแน่ ๆ
ฉันร้องไห้จนปวดหัวไปหมดแม่ของฉันตกใจมากที่เห็นฉันในสภาพนั้น
“เป็นอะไรร้องไห้ทำไม เจ็บตรงไหนหรือเปล่า”
“ลูกต้องได้เกรด0 คณิตแน่ ๆ เลยม้า ลูกเรียนไม่เก่งเลย”
แม่ปลอบใจฉันอยู่พักใหญ่ก็ยังไม่หยุดร้องไห้เสียทีจนท่านต้องโทรไปถามครูคณิตศาสตร์ว่าฉันได้เกรด 0 หรือเปล่า คำตอบคือเปล่า แต่ฉันก็นอนไม่หลับเพราะกังวลถึงวิชาอื่นๆ อยู่ดี จากหยดน้ำหยดเล็ก ๆ นี้เริ่มสะสมมากขึ้นเรื่อย ๆ จนชั้นมัธยมตอนต้น
ตอนมัธยมปีที่3 ฉันโดนย้ายจากห้องเรียนธรรมดาไปเรียนห้องคิงเพราะบังเอิญว่าเกรดเฉลี่ยของฉันถึงเกณฑ์มาตรฐานเพื่อนในกลุ่มของฉันทุกคนยังอยู่ห้องเดิม ฉันรู้สึกโดดเดี่ยว สิ้นหวังชีวิตไม่สนุก และไม่มีกำลังจะมีชีวิตอยู่ ฉันต้องนั่งคนเดียวหลังห้องข้าง ๆ ถังขยะมันเป็นโต๊ะเดียวที่ว่างอยู่เนื่องจากไม่มีใครต้องการนั่งดมกลิ่นขยะไปทั้งคาบนอกจากนี้บรรยากาศการเรียนยังต่างออกไปมาก ในห้องมีแต่คนเก่ง ๆ อาจารย์ถามอะไรก็ตอบได้หมดในขณะที่ฉันนั่งตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นขยะเหม็นเน่าและเรียนตามคนอื่นไม่ทันเลยสภาพการเรียนอย่างนั้นเปรียบเสมือนเขื่อนกั้นน้ำที่มีรอยร้าว ปริมาณความคิดร้าย ๆ ไหลเข้ามาในสมองของฉันตามรอยร้าวของสันเขื่อนฉันเริ่มคิดถึงความตายมากยิ่งขึ้น
ฉันกลับบ้านไปวันนี้แล้วเห็นศพพ่อแม่นอนกองอยู่ที่บ้านฉันจะต้องโทรแจ้งใครดี ภาพพ่อและแม่นอนจมกองเลือดบนพื้นบ้านฉายขึ้นมาในหัวรึไม่ก็
ถ้าฉันตายไปตอนนี้จนศพเน่าเหม็นจะมีใครสังเกตไหมนะ?หรือเขาคงนึกกันว่าเป็นกลิ่นขยะสกปรกทั่วไปมากกว่าจะเป็นศพของมนุษย์คนหนึ่ง ฉันมองไปที่เพื่อนๆทั่วห้องแล้วน้ำตาก็เริ่มไหล
ภาพจำของฉันสมัยมอสามคือผู้หญิงที่นั่งน้ำตาซึมอยู่หลังห้องเรียนและผู้หญิงที่เดินตาแดงๆ ออกมาจากห้อง จมูกสูดน้ำมูกฟืดฟาดและสะอื้นอีกเล็กน้อย
นั่นเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ฉันคิดฆ่าตัวตาย
ชะตาชีวิตของฉันมันเล่นตลกเมื่อถึงเทอมสองเพื่อนเก่าสมัยประถมที่ตอนนั้นบังเอิญเรียนอยู่ห้องเดียวกันชวนฉันไปนั่งใกล้ ๆ คอยเป็นเพื่อนตอนไปกินข้าวจัดกลุ่มทำงาน หรือเดินด้วยเวลาเปลี่ยนคาบเรียน ความคิดฆ่าตัวตายของฉันลดลงแต่ความคิดร้าย ๆ บทใหม่ของฉันเริ่มต้นขึ้น
เขาทำไปเพราะเวทนาสงสารฉันไม่มีใครอยากอยู่ใกล้ฉันหรอก
เพื่อนกลุ่มนั้นเหมือนคนที่กำลังใช้มือช่วยกันอุดรอยรั่วของสันเขื่อนแต่ก็ยังหยุดหยดน้ำเล็ก ๆ ที่ไหลออกมาตามง่ามนิ้วไม่ได้อยู่ดี
“ฝากดูเขาด้วยนะ”
“ฝากพาเขาเข้ากลุ่มด้วยนะ”
“ฝากชวนเขากินข้าวด้วยนะ”
และอีกหลายสารพัดฝากที่คนพูดกับเพื่อนกลุ่มนั้นของฉันฉันรู้สึกเหมือนเป็นสิ่งของที่ใคร ๆ ก็ไม่ต้องการต้องฝากคนอื่นหิ้วไปนั่นมานี่อยู่ตลอดเวลา ฉันรู้ว่าความคิดเหล่านั้นมันไร้สาระเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ฉันพบเจอเปรียบเสมือนเป็นอิฐมอญก้อนแรกที่ฉันเริ่มก่อมันขึ้นในภายหลังทีละก้อนๆ เป็นกำแพงสูงใหญ่ เพื่อแยกตัวฉันออกจากสังคมรอบข้างหยดน้ำแห่งความคิดเป็นตัวเชื่อมอิฐแต่ละก้อนให้แข็งแรงมั่นคงขึ้นจนไม่สามารถมีใครมาทำลายมันได้
ฉันตัดสินใจหนีจากทุกอย่างทิ้งสิ่งเลวร้ายไว้ที่บ้านเกิดและไปเริ่มต้นชีวิตใหม่สมัยมอปลายที่จังหวัดใกล้เคียง แน่ล่ะฉันไม่ได้หนีจริง ๆ ฉันแค่ย้ายโรงเรียนไปเรียนที่ต่างจังหวัดเท่านั้นแต่ที่นั่นฉันก็ได้พบสังคมใหม่ เพื่อนใหม่ และสารพัดสิ่งใหม่ ๆ ที่ดึงดูดความสนใจของฉันได้ความคิดฆ่าตัวตาย สิ้นหวัง หดหู่เริ่มจางลง ผนังเขื่อนแข็งแรงขึ้นน้ำไม่มีทางซึมออกมาได้อีก จนกระทั่งวันประกาศผลการเรียนเทอมแรก
“ทำไมได้เกรดแค่นี้ ไม่เข้าใจอะไรตรงไหนเหรอ มันยากขนาดนั้นเลยเหรอ”เสียงของแม่ฟังดูผิดหวังมาก ฉันรู้ดี
“ก็มันได้แค่นี้แล้วจะให้ทำยังไงได้” ฉันบอกแม่ไปแค่นี้และวางหูน้ำตาหยดที่หนึ่งไหลออกมาจากตาตามมาด้วยหยดที่สองสามสี่อย่างห้ามไม่ได้ในหัวของฉันมีแต่ความคิดวนๆว่า
ฉันมันไม่เก่งฉันเป็นลูกที่แย่ ฉันทำให้พ่อแม่ผิดหวัง
หลังจากวันนั้นโลกของฉันมันมืดมนสิ้นหวัง หดหู่อีกครั้ง ผนังเขื่อนที่เคยแข็งแรงโดนแม่ใช้ค้อนทุบแรง ๆ ด้วยคำพูดไม่กี่คำความคิดเลวร้ายไหลซึมออกมามากกว่าที่เคยเป็นมาก่อน สมาธิของฉันถูกพัดหายไปด้วยความคิดนั้นเกรดของฉันตกลงเรื่อย ๆ จากสามกว่า ๆ เหลือสองกว่า ๆ ความหมกมุ่นในสมองผลักดันให้ฉันคิดฆ่าตัวตายอีกแล้วฉันรู้สึกเหนื่อยกับความโดดเดี่ยวเหนื่อยกับการต้องนอนร้องไห้คนเดียวในหอพักจนปวดหัวทุกคืน
“ไปแลกเปลี่ยนกันไหม”เพื่อนคนหนึ่งชวนฉันลงสมัครเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนตอนนั้นฉันกำลังจะเรียนจบมอห้าพอดี
ความคิดนั้นเป็นความคิดที่น่าสนใจในตอนนั้นฉันยังไม่ตระหนักถึงอาการป่วยทางจิตใด ๆ เพราะยุคสมัยนั้นคำว่าอาการป่วยทางจิต หรือ โรคจิตเวช หมายถึงคนบ้าตัวเหม็นสกปรกที่นอนอยู่ข้างถนนฉันคิดเพียงแค่ว่าชีวิตฉันอาจจะขาดสีสัน ฉันอาจต้องการค้นหาสิ่งใหม่ ๆ มาเติมเต็มอะไรสักอย่างที่ขาดหายไปและดึงดูดความสนใจออกไปจากความเศร้าหดหู่ที่มีอยู่
แน่นอนหลังจากนั้นฉันได้ไปแลกเปลี่ยนในประเทศที่ไกลแสนไกลประเทศหนึ่งช่วงแรก ๆ สิ่งแปลกใหม่ของประเทศนี้มันเบี่ยงเบนความสนใจของฉันได้จริง ๆ มันได้ผลฉันไม่รู้สึกหดหู่หรือเศร้าอีกต่อไป ชีวิตของฉันช่วงนั้นมีแต่ความสนุก ประหลาดใจอาจจะเหนื่อยล้าจากการเรียนภาษาและการปรับตัวบ้าง แต่ฉันก็รู้สึกดี
ยังไงก็ตามกำแพงอิฐมอญที่ฉันเคยก่อเอาไว้เพื่อป้องกันตัวเองจากสังคมรอบข้างตั้งแต่สมัยมอต้นมันก็ยังตั้งตระหง่านอยู่อย่างนั้นไม่หายไปเดิมทีฉันเป็นคนเงียบ ไม่ค่อยพูดคุยกับใคร เริ่มบทสนทนาไม่เป็นและไม่ชอบให้ใครมายุ่มย่ามกับชีวิตส่วนตัวของฉันมากนัก ยิ่งมีความเศร้าความหดหู่เข้ามาเสริมทัพ ทำให้ฉันยิ่งเงียบและปิดกั้นตัวเองจากสังคมมากยิ่งขึ้นหลังจากสิ่งแปลกใหม่กลายเป็นสิ่งคุ้นชินสำหรับฉันแล้ว ความคิดชั่วร้ายเริ่มไหลออกมาทำลายความสุขของฉันอีกครั้ง
ฉันเป็นภาระก้อนใหญ่สำหรับครอบครัวอุปถัมภ์เขาต้องคิดแน่ๆว่าไม่น่ารับเด็กคนนี้เข้ามาอยู่ในครอบครัวเลย
ฉันเป็นภาระของเพื่อน ๆ ในห้องที่ต้องคอยมาทำให้ฉันยิ้มและร่าเริง
“ฝากเขาด้วยนะ”
“ฝากชวนเขาไปปาร์ตี้ด้วยนะ”
“ฝากชวนเขาคุยบ้างนะ”
คำสารพัดฝากพวกนี้มันยังตามฉันมาได้ไม่ว่าฉันจะหนีมาไกลสักแค่ไหนก็ตาม
มีหลายครั้งที่เพื่อนคนไทยของฉันมาเที่ยวและพักที่บ้านฉันก็มีความคิดอีกว่า
ครอบครัวอุปถัมภ์อยากได้เพื่อนของฉันเป็นลูกสาวแทนฉันแน่ๆ
ฉันคือคนนอกของครอบครัวฉันไม่ควรจะมายืนอยู่ตรงจุดนี้
เพื่อนของฉันดูสนุกมากเมื่ออยู่กับเพื่อนคนไทยอีกคนของฉันฉันพูดเก่งสนุกเฮฮาอย่างเขาไม่ได้หรอก
ทุกครั้งที่เพื่อนคนไทยมาเยี่ยมที่บ้านแทนที่ฉันจะสนุกสนานเหมือนนักเรียนแลกเปลี่ยนปกติฉันกลับรู้สึกทุกข์ใจ ไม่สบายใจ และมีความคิดด้านลบวนเวียนในหัว รวมไปถึงความกลัวว่าฉันจะรู้สึกเกลียดเพื่อนของฉันทั้งๆ ที่เขาไม่ได้ทำอะไรผิดเลย เขาแค่ดีกว่าฉัน ร่าเริงกว่าฉันเท่านั้นมีครั้งหนึ่งที่เพื่อนคนไทยมีโอกาสได้คุยกับแม่คนไทยของฉันทางโทรศัพท์แม่ของฉันถามเพื่อนว่า
“ทำไมลูกสาวฉันถึงดูไม่มีความสุขอย่างที่เขาควรจะเป็นเลย”
คำพูดนี้เหมือนเป็นการเอาลูกตุ้มเหล็กขนาดมหึมามาทุบผนังเขื่อนเสียงดังกังวาลจากรอยรั่วกลายเป็นรูโหว่เส้นผ่านศูนย์กลาง 3 เมตรน้ำแห่งความคิดทะลักออกมาจนฉันไม่รู้สึกสนุกหรือยินดียินร้ายกับสิ่งต่าง ๆ ในชีวิตอีกต่อไปมีครั้งหนึ่งที่ฉันกลับมาจากการทำกิจกรรมกลุ่มของนักเรียนแลกเปลี่ยนด้วยกันเองมีทั้งเกมให้เล่น มีทั้งได้พูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์ชีวิตกันแม่อุปถัมภ์เป็นคนมารับฉันกลับจากสถานที่ประชุม
“เป็นยังไงบ้าง”
“เฉย ๆ ค่ะ” ฉันตอบไปตามความเป็นจริง
“ชีวิตเธอไม่คิดจะมีความสุขกับเค้าบ้างเลยรึไง”นั่นสินะ ทำไมชีวิตฉันมันช่างนิ่งเฉย ไม่มีความสุขเลย
ไม่ไหวแล้วล่ะไม่อยากอยู่เป็นภาระให้คนที่นี่แล้วถ้าฉันตายที่นี่ค่าส่งศพกลับบ้านมันกี่ล้านกันนะ
ก่อนที่ฉันจะตัดสินใจฆ่าตัวตายได้อย่างเด็ดขาดก็ถึงกำหนดกลับบ้านเสียก่อน ถึงแม้ชีวิตของฉันจะลุ่ม ๆ ดอน ๆ ไปบ้างตอนใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นแต่ตอนนี้ฉันและครอบครัวอุปถัมภ์ก็ยังติดต่อกันไปมาบ้างบางครั้งอยู่ดี
พวกเขาคงรู้สึกโล่งใจขึ้นมากที่ฉันกลับบ้านเสียที
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in