เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Miwako : It’s All Ride.
BUNBOOKISH
02 จักรยานตอนเด็ก



  • จะว่าไปความหลังของเรากับจักรยานก็คงเหมือนเด็กทั่วไป ที่เริ่มจากจักรยานสี่ล้อ แล้วพัฒนาไปเป็นสองล้อ ยิ่งตอนนั้นในหมู่บ้านมีเพื่อนเล่นอายุไล่เลี่ยกันหลายคน เวลามีของเล่นใหม่ก็จะเอามาอวดกัน พอมีคนหนึ่งในแก๊งอัพเลเวลไปปั่นจักรยานสองล้อได้ คนที่เหลือก็จะไม่ยอมน้อยหน้าต้องกลับบ้านไปให้พ่อแม่ช่วยโมดิฟายจักรยานสี่ล้อ ให้กลายเป็นสองล้อโดยพลัน

    ตอนเริ่มฝึกปั่นจักรยานสองล้อใหม่ๆ เหมือนเป็นช่วงเวลาล้มลุกคลุกคลานของเพื่อนๆ แข้งขาเต็มไปด้วยร่องรอยแห่งประสบการณ์ (แผล) ส่วนเราน่ะเจ็บไม่กลัว กลัวปั่นไม่ได้แล้วโดนล้อมากกว่า (เรียกว่าฆ่าได้หยามไม่ได้) เลยมีการซุ่มฝึกปั่นจักรยานสองล้อที่บ้านก่อนจะไปปั่นประชันกับเพื่อน โดยมีโค้ชใหญ่คือพ่อของเราเอง

    วิธีการสอนปั่นจักรยานของพ่อเราก็คือให้ประโยคศักดิ์สิทธิ์มาหนึ่งประโยคว่า “อย่าก้มมองล้อ ให้เงยมองทางข้างหน้า” บอกครั้งเดียว เราก็ปั่นได้ตั้งแต่ครั้งแรกเลยจ้ะ (ไม่อยากจะคุยว่าเก่ง)






  • พอปั่นจักรยานสองล้อจนกล้าแกร่ง ไม่เที่ยวไปเฉี่ยวชนใครซี้ซั้ว เราก็ได้ฤกษ์อัพเกรดจากจักรยานเด็กน้อยที่ถอดล้อเสริม ขึ้นมาเป็นจักรยาน BMX และได้บรรจุตัวเองเข้าหน่วยโอ๊เยของหมู่บ้านเป็นที่เรียบร้อย ตอนนั้นรู้สึกเหมือนได้เลื่อนยศ สังคมยอมรับ สปอตไลท์สาดส่องพร้อมเสียงปรบมือเกรียวกราว ความมั่นใจที่เพิ่มขึ้นทำให้หลงระเริงก๋ากั่นปั่นตั้งแต่เช้ายันค่ำ ข้าวไม่กิน บ้านช่องไม่กลับ จมดิ่งสู่การผจญภัยบนโลกกว้าง (ความจริงก็ปั่นวนอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ) พอหายไปทั้งวัน พ่อแม่ก็เป็นห่วง ดุก็แล้วตีก็แล้วก็ยังไม่เข็ด แม่จึงลงโทษขั้นเด็ดขาดคือยึดจักรยาน ยึดไม่พอ ยังเอาขึ้นไปแขวนไว้บนเพดาน ประมาณว่าถ้ามีปัญญาก็ปีนขึ้นไปยกลงมาแล้วกัน โอ้ ความรู้สึกของการขาดเธอไปมันปวดร้าวราวกับนกโดนหักปีก ทั้งจ๋อยทั้งเชื่อง (ก็มันออกไปไหนไม่ได้แล้วนี่) หลังจากนั้นแม่ก็เลยเอาจักรยานมาเป็นตัวประกันต่อรองเวลาที่เราดื้อเราซนอยู่บ่อยๆ






  • พอขึ้นชั้นประถมปลาย ความสัมพันธ์ของเรากับจักรยานก็เริ่มมีปัญหา ทะเลาะกันบ่อย ใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผล เลยรู้ตัวว่าเราคงไปด้วยกันไม่ได้อีกแล้ว หยุดความรักเอาไว้เท่านี้ (เพ้อเจ้อ!) เรื่องจริงคือตอนนั้นเป็นช่วงที่ร่างกายกำลังเจริญเติบโต ขาก็เริ่มยืด แขนก็เริ่มยาว แต่เจ้า BMX กลับไม่สามารถวิวัฒนาการรูปร่างตามผู้ขับขี่ได้ จึงเกิดเป็นภาพอันแสนรันทด ปั่นทีหัวเข่าก็ติดแฮนด์ แขนก็หุบไม่ได้ แต่ก็ทู่ซี้ปั่นอยู่อย่างนั้น จนแม่คงทนเห็นภาพอันน่าอนาถนี้ไม่ไหว ถึงกับต้องบอกว่า “ปั่นจักรยานคันเล็กจิ๋วเป็นเด็กโข่งไม่อายเขาเหรอ...เปลี่ยนมาปั่นจักรยานแม่แทนสิ”

    ปั่นจักรยานแม่แทนสิ” ประโยคสุดท้ายของแม่ดังก้องในใจ—ไม่มีวันซะหรอก! (อันนี้คิดในใจ) เพราะนอกจากจักรยานแม่จะสูงจนขาเราเหยียดไม่ถึงแล้ว มันยังมีเรื่องของภาพลักษณ์เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย นี่ไม่ได้จะแอนตี้จักรยานแม่บ้านนะคะ แต่แอนตี้จักรยานแม่บ้าน ‘ของแม่!’ เท่านั้นค่ะ เพราะคุณแม่สุดที่เลิฟเป็นสตรีที่รักสวยรักงามและมีความคิดสร้างสรรค์เป็นเลิศ เธอจะตกแต่งทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวให้ดูฟรุ้งฟริ้งพริ้งพรายเสมอ เช่นซื้อเสื้อผ้าเรียบๆ มา แม่จะรับความเรียบง่ายนั้นไม่ได้ ก็จะต้องตกแต่งเพิ่มเติม เย็บริบบิ้นเข้าไปตรงนั้นนิด หรือติดลูกปัดเข้าไปตรงนี้หน่อย เพราะฉะนั้นจักรยานของแม่ก็ย่อมไม่ธรรมดา และด้วยความที่แม่เป็นคนชอบปลูกไม้ดอกไม้ประดับมาก พอมีจักรยานแม่ก็เลยจัดสวนดอกไม้มันบนจักรยานซะเลย อันนี้รับไม่ไหวจริงๆ



  • แม่บอกว่า “จักรยาน (สวนดอกไม้) ของแม่ดีจะตาย แม่ปั่นไปไหนใครก็จำได้ ยิ่งถ้าเราเอาไปปั่นด้วย คนเค้าก็จะได้รู้ว่าเราสองคนเป็นแม่ลูกกัน” แม้เหตุผลของแม่จะน่ารัก แต่เราก็ยังคงปั่นเจ้า BMX ต่อไป คิดเอาเองว่าเป็นเด็กโข่งเทียบกับปั่นจักรยานพฤกษชาติมันก็คงน่าเกลียดไม่ต่างกันสักเท่าไหร่หรอก

    จนกระทั่งวันหนึ่ง เราปั่นเจ้า BMX ไปเซเว่นฯ อย่างทุลักทุเล (ตามปกติ) สายตาก็ดันไปประสานกับแก๊งเด็กแว้นในซอย แล้วพวกนั้นก็พากันระเบิดเสียงหัวเราะพลางชี้นิ้วมาที่เรา เส้นความมั่นใจบางๆ ที่ยังหลงเหลืออยู่น้อยนิดได้ขาดสะบั้นทันที และนั่นก็คือวันสุดท้ายของเรากับ BMX คู่ใจ
    ปิดฉากชีวิตการปั่นจักรยานวัยเด็กไปโดยสิ้นเชิง
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in