ลองจินตนาการว่าเรื่องราวต่อจากนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวคุณดู
ติ๊ง
เสียงแจ้งเตือนโทรศัพท์ดังขึ้น
มีข้อความถูกส่งมา น่าแปลกมากที่ข้อความที่ส่งมานั้นมาจากคนที่เป็นทั้งเพื่อนร่วมงานและหัวหน้าของคุณ
‘พรุ่งนี้คุณพอจะมีเวลาว่างซักห้าหรือสิบนาทีมั้ย’
เป็นประโยคที่ใครได้ฟังก็คงคิดไปต่าง ๆ นานา ว่าจะถูกเรียกไปต่อว่าหรือเปล่านะ หรือจะถูกชวนไปขายตรงกันล่ะ หรือจริง ๆ แล้วเค้าไม่พอใจเราเลยจะนัดไปเคลียร์
จะทางไหนก็ดูมีแต่เรื่องเลวร้ายทั้งนั้น
จะตอบยังไงดีนะ
จะส่งสติ๊กเกอร์ไปเฉย ๆ ดี
หรือจะตอบว่าตกลงดี
แล้วถ้าตกลงต้องใส่คำลงท้ายแบบไหน
ทำยังไงดีนะ
.
.
.
.
สังเกตหรือเปล่า
ในระยะเวลาสั้น ๆ หลักวินาที หรืออาจจะเสี้ยววินาที สมองของคุณได้สร้างเหตุการณ์สมมติที่เลวร้ายหลายร้อยเหตุการณ์ขึ้นมาในหัว และพยายามหาทางออกให้ทุกเหตุการณ์จนคุณเกิดวิตกกังวลขึ้นมาเล็ก ๆ ในใจ
ถ้ามันเป็นแบบนี้ล่ะ ถ้ามันเกิดเรื่องนี้ขึ้นล่ะ
คุณลืมไปหรือเปล่าว่าเรื่องทั้งหมดนี้ยังไม่เคยเกิดขึ้นจริง ทุก ๆ อย่างเป็นแค่ภาพในหัวของคุณเท่านั้น
เหมือนกับที่คุณและคนอื่น ๆ เป็น เด็กหญิงคนนี้ก็เคยเป็นเช่นเดียวกัน
ลาพิสอายุสิบสอง
ตอนนั้นเธอไม่ค่อยจะมีเพื่อนหรือคนที่ไว้ใจมากสักเท่าไหร่ เวลาส่วนใหญ่เธอเลือกที่จะอยู่กับหนังสือและสิ่งอื่น ๆ สะมากกว่า
ไม่ใช่ว่าเธอไม่มีเพื่อน แต่เธอมีเพื่อนน้อยและก็รู้สึกว่าเข้ากับเพื่อนที่มีอยู่ได้ไม่ดีนักด้วย อาจะเป็นเพราะนิสัยใจคอค่อนข้างต่างกัน ทำให้เธอรู้สึกว่าเพื่อน ๆ น่าเบื่อหน่ายและไม่น่าสนใจ
เธอแอบเสียใจที่เข้ากับเพื่อนได้ไม่มากเท่าเด็กคนอื่น ๆ แต่เธอก็ไม่สามารถที่จะฝืนให้ตัวเองเข้ากับคนเหล่านี้ได้
ช่วงเวลานั้นเป็นช่วงที่นอกจากเธอจะไม่ค่อยได้คบเพื่อนแล้ว ยังเป็นช่วงที่เธอรู้สึกไม่สนิทใจกับแม่อีกด้วย จะว่าเป็นช่วงเวลาทีเธอขาดที่พึ่งทางใจมากที่สุดก็คงจะไม่ผิดนัก
ด้วยวัยที่เริ่มโตขึ้น กลายเป็นวัยรุ่น ไม่แปลกเลยถ้าเราจะไม่รู้สึกสนิทและอยากใช้เวลาร่วมกับครอบครัวเหมือนแต่ก่อน อีกทั้งยังเป็นช่วงที่อารมณ์ของคนเราแปรปรวนได้ค่อนข้างง่าย ทำให้มักเกิดอาการขี้รำคาญมากกว่าปกติ
ลาพิสในเวลานั้นรู้สึกไม่สบายใจและเสียใจทุกครั้งที่อยู่กับแม่ ส่วนหนึ่งก็เพราะเธอรู้สึกอยู่ในใจเสมอว่าแม่ของเธอไม่ค่อยจะมีเวลาให้เธอเลย แม้แต่ในเวลาที่ควรจะเป็นเวลาครอบครัว แม่มักจะทำงาน รับสายโทรศัพท์ของเพื่อนร่วมงาน หรือไม่ก็พูดถึงเรื่องธุรกิจของตัวเองอยู่เสมอ
ความเศร้าเสียใจ นานวันเข้าก็แปรเปลี่ยนเป็นความโกรธเคือง ประจวบกับเป็นช่วงที่เธอมักใช้เวลาอยู่กับหนังสือและโทรศัพท์สะมาก ความสัมพันธ์ของเธอและแม่ก็เริ่มห่างเหินมากขึ้นเรื่อย ๆ ชีวิตของเธอในช่วงนั้นสามารถพูดได้ว่า เต็มไปด้วยอารมณ์ลบ
ในใจของเธอคิดแต่ว่า ‘ทำไมแม่ถึงไม่เคยมีเวลาให้เราบ้างเลย’ แต่ไม่เคยเป็น ‘แม่จะรู้สึกเหนื่อยบ้างไหมนะ’
ถ้าเธอลองมองให้ดีๆเธออาจะได้เห็นมุมมองอื่น ๆ ที่แตกต่างกันและทำให้เธอมีความสุขมากกว่านี้
ชีวิตที่เต็มไปด้วยความเศร้าเสียใจ และความโกรธเคืองดำเนินไปได้เกือบหนึ่งปี จนกระทั่งวันหนึ่งที่จะเปลี่ยนชีวิตของเธอก็ได้มาถึง
วันนั้นเป็นวันธรรมดา
เป็นวันที่ลาพิสเดินทางไปหาญาติที่ต่างจังหวัด เหมือนอย่างปกติ
ทุกอย่างดำเนินไปตามปกติเหมือนอย่างทุกครั้ง จนกระทั่งในตอนที่กำลังจะกลับ
ทุกอย่างในความทรงจำของเธอเรือนรางไปหมด แต่สิ่งหนึ่งที่เด่นชัดคือเรื่องที่เธอได้เรียนรู้จากแม่วันนั้น
บทสนทนาบนรถระหว่างทางกลับบ้านบางอย่างทำให้แม่พูดกับเธอเรื่องนี้
ประโยคต้นตอที่แทบจะจำไม่ได้แล้ว เหมือนจะเป็น
‘ทำไมถึงทำแบบนี้นั้นล่ะ’
ในบริบทที่ไม่ว่าเป็นใครก็คงเข้าใจว่ากำลังถูกตำหนิติเตียนทางอ้อมอยู่เป็นแน่
เธอในตอนนั้นไม่ได้ตอบคำถามนี้ แต่กลับเอ่ยปากออกไปว่า
‘ขอโทษ’
ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้เธอเอ่ยออกไปเช่นนั้น แต่สุดท้ายแล้วเธอก็พูดออกไป
แม่ที่ได้ยินคำคำนั้นก็หยุดนิ่งไปสักครู่หนึ่งแล้วถามขึ้นมาว่า ‘ขอโทษทำไม’
ช่างเป็นคำถามที่น่าสับสนนักสำหรับเด็กวัยสิบสอง ไม่ใช่ว่าคนเราทำผิดก็ต้องขอโทษหรอกเหรอ
แม่บอกกับเธอว่านั่นไม่ใช่การตำหนิติเตียน แต่เป็นการถามเธออย่างตรงไปตรงมาเพื่อให้ได้คำตอบ แม้ว่าสีหน้าท่าทางหรือบริบทจะไม่ส่งก็ตาม
การทำความเข้าใจไม่ใช่เรื่องที่ยาก แต่สิ่งที่ยากยิ่งกว่าคือการยอมรับความจริง กว่าเธอจะสามารถเข้าใจและยอมรับได้อย่างเต็มอก เธอก็ต้องเสียน้ำตาไปมากกับความไม่รู้ว่าไม่รู้ของตัวเอง
คงเป็นเรื่องจริงที่ว่า ปัญญาสูงสุดคือการรู้ว่าเราไม่รู้อะไรเลย
การเปลี่ยนแปลงก้าวนี้อาจนับได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ชีวิตของเธอก้าวกระโดดยิ่งกว่าครั้งไหน ๆ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in