เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
LOST CONTROLminimore
Chapter 1
  • CHAPTER 01

    เหมือนหลงทางอยู่กลางเขาวงกต

     

    ไว้ใจใครไม่ได้ ต่อให้คนคนนั้นเป็นเจ้าของรอยยิ้มอบอุ่นก็ไม่ได้ ไม่ได้เด็ดขาดเลย

    เขาเผลอหลับไปตอนไหนก็ไม่รู้ เรียกว่าสลบไปจะดีกว่า พอตื่นขึ้นมาก็รับรู้ว่าตัวเองโดนทิ้งแล้ว แท้จริงจุดหมายของผู้ชายคนนั้นคือโรงพยาบาลที่อยู่ใกล้ที่สุดนั่นเอง เขาไม่รู้ตัวเลยว่าเข้ามาข้างในได้อย่างไร ความทรงจำสุดท้ายคืออุณหภูมิชวนง่วงเหงาหาวนอนจากแผ่นหลังอุ่นของมนุษย์ รู้ตัวอีกที เขาก็มาอยู่ตรงนี้แล้ว ผ้าม่านที่กั้นรอบๆ ทำให้ไม่สามารถมองเห็นอะไรได้อีกนอกจากเตียงผู้ป่วยกับตัวเขาเอง

    ชายหนุ่มลุกขึ้นนั่งสำรวจร่างกาย เสื้อผ้าหน้าผมไม่มีอะไรผิดปกติแต่อย่างใด หวังว่าระหว่างที่หลับไปคงไม่มีใครมาเจาะขุดแทะส่วนใดส่วนหนึ่งของเขาไปตรวจ ไม่อย่างนั้นคงเป็นเรื่องใหญ่แน่ๆ

    ร่างสูงใหญ่ลุกขึ้นยืนอย่างมั่นคงเกินกว่าจะเป็นคนไข้ของห้องฉุกเฉินได้ เขาเปิดม่านออกไปพบความวุ่นวายระดับย่อม หมอ พยาบาล เจ้าหน้าที่ และคนไข้อีกจำนวนมาก บ้างวิ่ง บ้างเดิน บ้างนั่ง บ้างนอน สีหน้ากับพฤติกรรมที่แตกต่างกันเกินขีดจำกัดที่เขาจะแยกแยะได้นั้นทำให้สับสน ไม่ควรจะเป็นอย่างนี้สิ ต้องเดินไปทางเดียวกันสิ ต้องทำหน้าเหมือนกันสิ

    หลบหน่อย

    ใครสักคนพูดด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย เขาหันไปมองไม่ทันด้วยซ้ำว่าคือคนไหนในบรรดาผู้คนเหล่านี้ เขาตื่นตระหนกจนไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ ร่างกายตอบสนองอย่างรวดเร็วโดยการยกมือขึ้นปิดหู ไม่อยากได้ยินเสียงอะไรทั้งนั้น ออกไป หนีไป ใช่ หนีไป

    เมื่ออยู่ในโรงพยาบาล ไม่มีใครสนใจคนธรรมดาเพียงหนึ่งคนท่ามกลางคนเจ็บนับสิบนับร้อยหรอก ชายหนุ่มเดินออกไปทางประตูอย่างง่ายดาย และออกไปจากโรงพยาบาลง่ายดายกว่า ทำอย่างเช่นที่เคยทำ นั่นคือเดินต่อไปเรื่อยๆ เมื่อใดที่รู้สึกไม่ปลอดภัย ก็แค่วิ่งหนี

    ช่วงสายของวันร้อนจัด เขาเดินอยู่นานเท่าไรก็ไม่รู้ ไม่มีจุดหมาย สุดท้ายจึงนั่งลงตรงป้ายรถเมล์ที่เต็มไปด้วยขยะวางทิ้งเกลื่อนกลาด แฝงตัวเป็นขยะอีกชิ้นของป้ายรถเมล์อย่างแนบเนียน

    พยายามแล้วที่จะครุ่นคิด แต่สิ่งที่ประมวลผลได้มีเพียงโดนทิ้ง เขาโดนทิ้ง ผู้ชายคนนั้นที่ขับรถชนเขาพาเขาไปทิ้งไว้ที่โรงพยาบาล แล้วก็หายจากกันไปเลย เขาลองทำความเข้าใจ หาเหตุผลประกอบ ก็ได้ข้อสรุปว่าไม่สามารถใช้คำว่าทอดทิ้งได้ในเหตุการณ์นี้ ในเมื่อเราไม่มีข้อผูกมัดกันมาก่อน ทั้งทางวาจา หรือทางใจ เราเป็นเพียงคนแปลกหน้าที่เพิ่งเจอกัน อันที่จริง ในอุบัติเหตุครั้งนี้เขาเองที่ผิดวิ่งไปตัดหน้ารถ เพราะฉะนั้นเขาไม่ควรรู้สึกเสียใจ

    รถขับผ่านไปคันแล้วคันเล่า สูดดมกลิ่นเหม็นจากควันรถกับฝุ่นที่คละคลุ้งอยู่ในอากาศนานจนไม่อาจนั่งอยู่อย่างนี้ต่อไปได้อีก พอรถเมล์คันหนึ่งเข้ามาจอดที่ป้าย ชายหนุ่มก็เดินขึ้นรถเมล์คันนั้น เป็นประสบการณ์การขึ้นรถเมล์ครั้งแรกแต่ไม่มีอะไรต้องกังวล เขาเพียงทำในสิ่งที่ถูกตั้งระบบมาแล้วเท่านั้น

    เขาล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงเพื่อหยิบเงินค่าโดยสาร น่าแปลกที่นอกจากจะมีซองกระดาษที่ใส่สมบัติทั้งชีวิตของเขาอยู่แล้ว ยังมีแผ่นกระดาษแปลกปลอมแผ่นหนึ่งรวมอยู่ในนั้นด้วย กระดาษพับครึ่งมีตัวหนังสือไม่เป็นระเบียบเขียนไว้

     

    นึกขึ้นได้ว่าต้องไปจ่ายค่าไฟให้เจ้านาย เลยต้องรีบออกมาก่อน

    ถ้าตรวจร่างกายแล้วมีปัญหาอะไรที่เกิดจากรถบุโรทั่งของผม

    ผมยินดีรับผิดชอบเท่าที่จ่ายไหว สามารถติดต่อกลับมาได้ที่เบอร์นี้

     

    หวังว่าจะไม่ได้รับสายของคุณ

    นิรันดร์

     

    ชายหนุ่มอ่านอยู่หลายรอบ ประมวลผลใหม่อีกครั้ง

    ไม่ได้ถูกทิ้งจริงๆ ด้วย

    เขาโล่งอกในเรื่องที่ไม่ควรโล่งอก อย่างไรก็ตาม อุบัติเหตุเล็กน้อยแค่นั้นไม่สามารถทำอะไรเขาได้หรอก จะว่าไปก็เป็นอีกฝ่ายต่างหากที่ได้แผลถลอก ด้วยเหตุนี้กระมังถึงทำให้รู้สึกผิดอยู่ลึกๆ ที่การหนีเอาตัวรอดของเขาทำให้คนอื่นลำบาก คนที่ควรแสดงความรับผิดชอบต้องเป็นเขาไม่ใช่เหรอ

    นอกหน้าต่างรถเมล์คือโลกใบใหม่ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ไม่ถึงหนึ่งวันเต็มไปด้วยเรื่องราวที่เขาไม่สามารถวางแผนรับมือได้ เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าปลายทางของตัวเองคืออะไร

    ลงที่ไหน เสียงห้วนๆ ของกระเป๋ารถเมล์ที่ยืนค้ำหัวกันอยู่ชวนให้หายใจไม่ออก ผู้โดยสารหนุ่มกะพริบตาปริบๆ ประมวลผลตำแหน่งที่เขาอยู่กับสถานที่ที่ควรจะเป็นจุดหมาย เขาตอบกลับไปตามที่ระบบสั่งการเท่านั้น

    อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ

    หญิงวัยกลางคนผู้เป็นกระเป๋ารถเมล์เลิกคิ้วทันทีที่ได้ยินอย่างนั้น ทั้งคู่จดจ้องกันอยู่พักหนึ่ง เห็นว่าชายหนุ่มมีสีหน้าจริงจังก็ได้แต่ทวนคำ

    อนุฯ?

    ผู้โดยสารกะพริบตาถี่ขึ้น ก่อนจะทำเพียงพยักหน้ารับ ไม่กล้าสบสายตาอีกเมื่อยื่นธนบัตรใบสีแดงไปแล้วถูกมองตาขวาง

    เขาถอนหายใจหลังจากรับเงินทอน แค่ขึ้นรถเมล์ยังยากขนาดนี้ แล้วเขาจะเอาตัวรอดอยู่บนโลกนี้ได้จริงๆ เหรอ

     

    ..............................................................

     

    ขณะต่อแถวรอจ่ายค่าไฟให้คุณยายเจ้าของร้านที่เคาน์เตอร์เซอร์วิส นิรันดร์ลังเลว่าควรจะกลับห้องไปนอน หรือกลับไปที่โรงพยาบาลดี เมื่อเช้าหมอนั่นสลบเหมือดจนถึงที่หมายแล้วไม่ยอมตื่น เขาเลยต้องขอให้เจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลช่วยเข็นรถมารับ ตั้งใจว่าจะพาคู่กรณีไปตรวจร่างกายเพื่อความสบายใจของเขาเอง แม้ภายนอกจะไม่มีบาดแผลอะไร แต่เขาก็กลัวว่าอุบัติเหตุครั้งนี้จะกระทบกระเทือนถึงอวัยวะภายใน

    อยากจะรออยู่หรอก แต่เขาก็เห็นแก่ตัวเกินกว่าจะสละเวลาของตัวเองเพื่อการรอคอยใครสักคน ผู้ชายคนนั้นก็โตพอที่จะดูแลตัวเองได้แล้ว เขาจึงขอกระดาษกับปากกาจากเจ้าหน้าที่ เขียนโน้ตแสดงความรับผิดชอบทิ้งไว้ว่าเขาไม่ได้คิดจะหนีแต่อย่างใด แล้วออกจากโรงพยาบาลมา

    หลังจากจ่ายเงินและรับใบเสร็จค่าไฟเรียบร้อย นิรันดร์ก็ตัดสินใจตรงกลับห้องแล้วรอว่าจะมีสายเข้าจากคู่กรณีหรือเปล่า ถ้า โทร.มาเรียกให้เขาไปรับผิดชอบเขาก็จะไป แต่ถ้าไม่ เราก็จะเลิกแล้วต่อกัน เขาอยากให้เป็นอย่างหลังมากกว่าเพราะนั่นหมายความว่าเขาจะได้ไม่ต้องเสียเงินเสียเวลา และอีกฝ่ายก็ปลอดภัยดี

    ความง่วงเพราะเลยเวลานอนมามากแล้วทำให้ละทิ้งความหิว เขาขับรถมอเตอร์ไซค์คู่ใจกลับห้อง ไม่นานก็ถึงที่ซุกหัวนอนที่เป็นห้องแถวสองชั้นเก่าๆ ในย่านแออัด ห้องชั้นสองติดบันไดนั่นเองคือห้องที่นิรันดร์อาศัยอยู่ตั้งแต่เข้ามาอยู่เมืองหลวงเมื่อหลายปีก่อน

    ผ่านมาหลายปีแล้วเขาก็ยังอยู่ห้องเดิม จากนักศึกษาเติบโตเป็นพนักงานออฟฟิศ เปลี่ยนงานมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง จนมาจบที่พนักงานร้านสะดวกซื้อซึ่งไม่ตรงกับสายศิลปกรรมที่เรียนมา เขาต้องหางานประจำทำใหม่หากไม่อยากหยุดอยู่กับที่ แต่บางที แค่บางทีที่นิรันดร์อยากหยุดนิ่งอยู่อย่างนี้อีกสักพัก

    ขณะที่เขาเติบโตขึ้น ห้องก็ทรุดโทรมลง ข้าวของบางส่วนยังวางอยู่ตรงตำแหน่งเดิมกับตอนที่ย้ายเข้ามาอยู่ใหม่ ๆ บางส่วนก็สูญหายไปตามกาลเวลา ทั้งหมดนั้นเป็นเพียงสิ่งของจำเป็น ไม่มีอะไรเลยที่เรียกได้ว่าของฟุ่มเฟือย จะว่าไปห้องนี้ก็ขาดมากกว่าเกิน

    กิจวัตรหลังกลับมาถึงห้องคืออาบน้ำ ปิดม่านให้สนิท แล้วก็นอน แต่วันนี้กลับหลับยากกว่าปกตินี่สิ โทรศัพท์มือถือรุ่นเก่าที่เปิดเสียงแจ้งเตือนไว้ดังสุดยังคงเงียบกริบ เงียบจนบางทีเขาต้องหยิบมันขึ้นมาดูว่าพังไปแล้วหรือเปล่า แต่ก็เปล่า เพียงแค่ไม่มีใครติดต่อมาเลยเท่านั้น

    นิรันดร์หลับไปตอนบ่ายโมง ต่อให้นอนไม่เต็มอิ่มแต่เขาก็มักจะตื่นเวลาเดิมเสมอ ราวๆ สี่โมงเย็นดวงตาจึงปรือเปิด ภายในห้องสลัวจากแสงอาทิตย์ที่ทำมุมตรงกันข้ามกับหน้าต่างห้อง สิ่งแรกที่เขาทำคือหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดู ยังคงว่างเปล่าดังเดิม

    เขาควรจะหายห่วงว่าหมอนั่นคงไม่เป็นอะไรมากหรอก แต่ความคิดที่มักจะนำพาไปยังแง่ร้ายก็แวบเข้ามาในหัวอยู่เป็นระยะ หรือยังไม่ฟื้น อาการอาจจะหนักกว่าที่เขาคิดก็เป็นได้

    ความเป็นไปได้อันชั่วร้ายนั้นเองที่ผลักให้นิรันดร์รีบอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วขับรถมอเตอร์ไซค์กลับไปที่โรงพยาบาลอีกครั้ง ยี่สิบแปดปีที่ผ่านมาไม่เคยมีวันไหนเลยที่เขากลัวว่าความเห็นแก่ตัวของตนจะทำร้ายใครสักคนเท่าวันนี้ ไม่ใช่ความเป็นห่วง เขากลัวเรื่องเลวร้ายที่จะเกิดขึ้นกับเขาหากคนคนนั้นเป็นอะไรขึ้นมาต่างหาก

    นิรันดร์ขับรถมอเตอร์ไซค์ควันคลุ้งเต็มถนนลัดเลาะหาทางลัด กว่าจะไปถึงโรงพยาบาลก็ตกเย็นแล้ว เขาไล่ถามเจ้าหน้าที่จนแน่ใจว่าคนที่เขาพามาทิ้งไว้เมื่อเช้าไม่ได้อยู่ที่โรงพยาบาลในตอนนี้ เป็นความรู้สึกว่างเปล่าประหลาด ใครคนนั้นปรากฏตัวอย่างไม่ทันตั้งตัว และหายไปในลักษณะเดียวกัน

    หรือแค่ฝันวะ เขาเริ่มสับสนเพราะนอนไปไม่กี่ชั่วโมง แต่ความเจ็บที่แขนซ้ายก็ให้คำตอบว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อเช้ามืดนั้นเป็นเรื่องจริง นิรันดร์พรูลมหายใจ ไหนๆ ก็อยู่โรงพยาบาลแล้วจึงใช้สิทธิ์รักษาฟรีเพื่อทำแผลเลยก็แล้วกัน

    ทันทีที่ทำแผลเสร็จเขาก็ตรงไปที่ร้านสะดวกซื้อแม้จะยังไม่ถึงเวลางาน นอกจากห้องกับที่นี่ เขาก็ไม่มีที่อื่นให้ไปอีก นิรันดร์จอดรถตรงที่ประจำข้างร้าน อย่างกับรอกันอยู่แล้ว เพียงเขาถอดหมวกนิรภัยออก เจ้าแมวสีดำตัวเดิมก็เดินมาต้อนรับ คลอเคลียขาของเขาเหมือนที่ทำเมื่อตอนเช้า ต่างออกไปก็เพียงตอนนี้นิรันดร์ย่อตัวลงเพื่อลูบหัวมันเบาๆ

    ว่าไง เขาส่งเสียงทักทาย เนื้อตัวที่มอมแมมของมันทำให้นึกถึงหมอนั่นขึ้นมา มาจากไหนเหรอ

    เหมือนรู้ว่าไม่ได้คุยกับตน เจ้าแมวหลงทางจ้องมองชายหนุ่มที่เหม่อลอย จนต้องเรียกร้องความสนใจโดยการเอียงคอรับสัมผัสจากปลายนิ้ว นิรันดร์เห็นอย่างนั้นจึงหลุดยิ้มให้กับความออดอ้อนของมัน

    แก้วกุดั่นยืนมองลูกจ้างจากด้านในร้าน พ่อหนุ่มนั่นกำลังนั่งย่อเข่าเล่นกับแมวจรอยู่ เป็นภาพที่ชวนให้รู้สึกเงียบเหงาอย่างประหลาด หญิงชราเห็นว่าตอนนี้ไม่มีลูกค้าจึงเดินเปิดประตูออกไปทักทาย

    วันนี้มาเร็วนะ

    ความคิดฟุ้งซ่านหยุดชะงักเมื่อได้ยินเสียงนั้น นิรันดร์หันไปหาเจ้าของร้านที่เดินเอามือไพล่หลัง ตัวโน้มมาข้างหน้าเล็กน้อยเป็นท่าประจำ ความเคยชินนั้นเองที่ทำให้หลังของหล่อนคุดคู้ จากที่ตัวเล็กอยู่แล้วก็แลดูเล็กจ้อยเหมือนเด็ก

    อ้าว ไปไหนล่ะนั่น แก้วกุดั่นพูดกับเจ้าแมวที่วิ่งหนีไปเมื่อมีผู้มาใหม่ ทั้งคู่มองตามจนมันลับหายไปจากสายตา

    อยู่ร้านคนเดียวเหรอ นิรันดร์ลุกขึ้นยืนเต็มตัว คำถามนั้นส่งไปพร้อมกับใบเสร็จค่าไฟ

    วันนี้วินลา

    ยายแก้วหมายถึงเด็กมัธยมปลายที่เพิ่งเข้ามาทำงานได้ไม่ถึงเดือน เห็นว่าหางานทำช่วงปิดเทอมซึ่งพอเหมาะพอเจาะกับที่ร้านต้องการคนอยู่พอดี ลำพังเขากับไพลินก็สลับกันเข้ามาดูแลร้านจนแทบจะเป็นเจ้าของร้านไปด้วยแล้ว แต่ก็ยังไม่เท่าแม่มด (เขากับไพลินมักจะเรียกอย่างนี้เพราะยายแก้วสามารถอยู่ร้านแทนเมื่อไรก็ได้โดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย และมักจะมาทันเวลาทุกครั้งที่พวกเขาต้องการตัว)

    เพลงกลับไปแล้วเหรอ

    เพิ่งออกไปเมื่อบ่ายสองโมง แก้วกุดั่นตอบพร้อมรอยยิ้มที่ไม่เคยหายไปจากใบหน้า ใครๆ ต่างก็สงสัยว่าหล่อนเคยโกรธบ้างหรือเปล่า หรือถ้าใครสักคนทำให้แม่มดใจดีไม่พอใจ คนผู้นั้นต้องชั่วอย่างหาที่เปรียบไม่ได้

    และตอนนี้สายตาของแม่มดสังเกตเห็นผ้าก๊อซที่แขนข้างซ้ายของเขาเข้าให้แล้ว

    รถชนน่ะ ไม่เป็นอะไรมากหรอก นิรันดร์รีบอธิบายก่อนที่ยายเฒ่าจะทันได้ถามด้วยซ้ำ แก้วกุดั่นมองแขนสลับกับใบหน้าของชายหนุ่มด้วยความเป็นห่วง

    นิรันดร์รู้ตัวดีเสมอ สิ่งที่ทำให้เขาติดอยู่ในพื้นที่แห่งนี้และงานนี้คงเป็นความผูกพันนั่นแหละ ทั้งกับคุณยายเจ้าของร้าน ไพลินเพื่อนร่วมงาน หรือแม้กระทั่งตัวร้านเองก็ตาม เขาสามารถเรียกที่นี่ว่าเป็นบ้านอีกหลังหนึ่งเลยก็ว่าได้ นอกจากผู้คนเหล่านี้ คงไม่มีใครในโลกที่คอยเป็นห่วงเขาเหมือนคนในครอบครัวอีกแล้ว

    วันนี้ไม่ต้องทำงานแล้ว แก้วกุดั่นพูดขึ้น นั่นทำให้ชายหนุ่มส่ายหน้าพัลวัน

    แผลแค่นี้เองจะหยุดทำไม

    ไม่หักเงินหรอก

    ผมไม่เป็นไรจริงๆ ยายนั่นแหละไปพักได้แล้ว

    แก้วกุดั่นถอนหายใจอย่างเหนื่อยล้า เด็กคนนี้ดื้อเสียยิ่งกว่าใคร ถึงจะเป็นเจ้านายแต่ก็ใช่ว่าจะเชื่อฟังคำพูดกันง่ายๆ สุดท้ายเมื่อเห็นว่าไล่ให้กลับห้องไม่เป็นผลจึงจำใจต้องเปลี่ยนเรื่องคุย แล้วไปทำอีท่าไหนรถถึงชนได้ล่ะ

    ใครที่ไหนไม่รู้เดินไม่ดูตาม้าตาเรือน่ะสิ ยิ่งคิดก็ยิ่งหงุดหงิด เขาไม่ได้ทำอะไรผิดเลยด้วยซ้ำหากไม่นับว่าทิ้งหมอนั่นไว้ที่โรงพยาบาลคนเดียวน่ะนะ “มืดขนาดนั้นใครจะมองเห็น

    แล้วเขาเจ็บมากหรือเปล่า

    ก็ดูไม่เป็นไรมากนะ ลอยหน้าลอยตาตอบเมื่อยายแก้วเริ่มซักไซ้

    เขาเรียกค่าเสียหายไหม เดี๋ยวยายไปคุยให้

    ยิ่งแก้วกุดั่นใจดีกับเขามากเท่าไร นิรันดร์ก็ยิ่งรู้สึกผิดมากเท่านั้น สุดท้ายจึงยอมเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้ฟัง ทั้งพาไปทิ้งที่โรงพยาบาล และการที่หมอนั่นหายตัวไป

    อย่างนั้นเหรอ ยายแก้วเหมือนรำพึงกับตัวเองมากกว่า ได้ฟังเรื่องจนจบก็พอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมนิรันดร์ถึงเอาแต่คิดมากอยู่แบบนี้ ถึงจะดูเหมือนเป็นคนไม่สนใจอะไร แต่ลึกๆ แล้วก็ไม่ใช่คนเลวร้าย ไม่เข้าใกล้คำนั้นเลยสักนิด

    ผมหวังว่าตอนนี้เขาจะกลับบ้านไปนอนตีพุงเล่นอย่างสบายใจอยู่ แต่พอนึกถึงคนที่เหมือนกำลังหนีอะไรอยู่ตลอดเวลา กับสายตาตื่นตระหนกคู่นั้น นิรันดร์ก็หลอกให้ตัวเองคิดในสิ่งที่พูดไม่ได้เลย

    อย่าเพิ่งคิดมาก ถ้ามีอะไรเขาคงติดต่อกลับมาเองนั่นแหละ หญิงชราทำได้เพียงปลอบใจ ก่อนจะพากันถอนหายใจด้วยความกังวลอยู่ข้างๆ กัน

    แสงสุดท้ายกำลังจะลาลับแล้ว ยามเย็นเงียบเหงาเมื่อยังไม่ถึงเวลาเมามายของผู้คน นิรันดร์ชอบช่วงเวลานี้ที่สุดของวัน พระอาทิตย์จะตกตรงสุดซอย แล้วชีวิตของเขาก็จะเริ่มต้นขึ้นหลังจากนั้น

    รอหน่อยนะ พอพระอาทิตย์ขึ้น ก็จะกลายเป็นวันใหม่แล้ว

    นิรันดร์หันไปมองคนพูดที่ผ่านยามเย็นมามากกว่าเขาหลายเท่าตัว

    ตอนอายุเท่าผม ยายทำอะไรอยู่เหรอ

    แก้วกุดั่นยิ้มรับ คืนวันฟื้นคืน เหมือนตอนนี้นั่นแหละ ต่างกันที่ตอนนั้นยายอยู่คนเดียว ไม่มีพวกเธอ

    อายุเท่านี้มีร้านเป็นของตัวเองเหรอ...

    รันคงไม่คิดว่ายายได้มาง่ายๆ หรอกใช่ไหม

    นิรันดร์นิ่งเงียบไปกับคำถามนั้น เขารู้ รู้ว่าตลอดมาไม่เคยหันมองความเหนื่อยยากของคนอื่นหรอก ลำพังชีวิตของตัวเองก็เอาไม่รอดแล้ว เขาเห็นแต่ตัวเอง เป็นความเห็นแก่ตัวที่รักษาไว้ดิบดีจนคิดว่าไม่อาจสูญเสียไปได้อีกแล้วตลอดชีวิต

    ยี่สิบแปดของยายคือการปล่อยวาง ยี่สิบแปดของรันอาจจะเป็นการเริ่มต้น เทียบกันไม่ได้หรอก

    นั่นสิ เทียบกันไม่ได้เลยสักนิด

    แดดอุ่นโอบรับผิวหนังเหี่ยวย่น ทุกร่องรอยคืนหลักฐานการผันผ่านของชีวิต แต่สายตากับรอยยิ้มกลับสุกใสเหมือนพระอาทิตย์ขึ้น

    ยายเป็นแม่มดจริงด้วย

    แก้วกุดั่นหัวเราะร่าให้กับประโยคนั้น เจ้าเด็กสองคนมักจะหยอกล้อหล่อนแบบนี้บ่อยๆ จนชัยชนะที่เป็นพนักงานใหม่ยังเรียกตาม

    ไปหาข้าวหาปลากินก่อนเถอะ หญิงชรากล่าวส่งท้ายก่อนจะเดินเข้าร้านไปพร้อมกับลูกค้าประจำคนหนึ่ง การชื่นชมบรรยากาศยามเย็นสิ้นสุดลงตรงนั้น

    ลมเย็นถักทอห่อหุ้มผิวเขาจนตัวสั่น นิรันดร์ขี้หนาวเกินกว่าจะทนยืนตากลมต่อไปได้จึงขอเริ่มงานก่อนเวลา สิ่งแรกที่เขาทำคือให้อาหารปลาทองที่แม่มดเลี้ยงไว้ ความจริงแล้วแก้วกุดั่นไม่ได้ชอบปลาหรอก แต่ชอบจัดตู้ปลามากกว่า

    ลูกค้าที่มาถามหาถุงซักผ้าเดินออกไปพร้อมสินค้าที่ต้องการ ลูกจ้างหนุ่มหยิบข้าวกล่องที่เจ้าของร้านซื้อตั้งไว้ให้ เดินไปนั่งตรงตำแหน่งเดิมกับที่ไพลินนั่งเมื่อเช้านี้ ลงมือกินข้าวที่ไม่รู้จะนับเป็นมื้อไหนของวัน หันมองยายเฒ่าที่กำลังวุ่นอยู่กับการรวบรวมขยะชิ้นเล็กชิ้นน้อยใส่ถุงขยะ

    วันนี้มีคนมาซื้อลูกอมคาราเมลไหม

    คำถามจากคนที่นั่งกินข้าวอยู่ชวนฉงนไม่น้อย แต่คำตอบนั้นชวนฉงนมากกว่า

    มี เขาซื้อไปตั้งสี่แท่ง แต่ถามคำถามแปลก ๆ

    อย่างแรกเลยคือนิรันดร์พอใจที่ลูกค้าคนนั้นกลับมาที่ร้านอีกครั้งแม้จะไม่ได้ตกปากรับคำกันไว้ อย่างที่สองนิรันดร์สงสัยเรื่องคำถามแปลกๆ ที่ว่า

    เห็นผู้ชายตัวสูงเท่าเขา ท่าทางไม่รู้เรื่องรู้ราว ผ่านมาทางนี้บ้างไหม

    แก้วกุดั่นทวนสิ่งที่ลูกค้าหนุ่มถาม นั่นทำเอานิรันดร์นิ่งค้างไป ไม่สามารถนึกถึงคนอื่นได้อีก

    ...ยายก็บอกไปว่าไม่เห็น เขาสูงสักร้อยเก้าสิบ ถ้าเห็นคงจำได้ แต่นี่จำไม่ได้

    ฟังถึงตรงนี้ นิรันดร์ค่อนข้างมั่นใจแล้วว่าคนที่ลูกค้าคนนั้นถามถึงคือคนคนเดียวกับที่เขาเจอเมื่อเช้าแน่ๆ ถ้าอย่างนั้นพวกเขาเกี่ยวข้องกันอย่างไร แล้วคนที่วิ่งดุ่มๆ ไม่ดูตาม้าตาเรือแบบนั้นกำลังหนีอะไรกันแน่

    ยาย...

    เสียงเรียกเบาหวิว แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้แก้วกุดั่นเดินเข้าไปหาด้วยความเป็นห่วง

    เป็นอะไรไป

    เหมือนกันเลย ท่าทางเหมือนคนที่ผมเจอเมื่อเช้าเลย

    รันบอกว่าเหมือนเขากำลังหนีอะไรอยู่ใช่ไหม

    ใช่ครับ

    ยายแก้วถอนใจ ขอให้พ่อหนุ่มคนนั้นปลอดภัยด้วยเถิด ตอนที่กำลังกังวลอยู่นั้นเองเสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์มือถือของนิรันดร์ดังขึ้น

    นิรันดร์ชะงักไปชั่วขณะ เขารับมือกับสิ่งที่รอคอยมาทั้งวันไม่ได้จึงนิ่งไป แต่แค่ครู่หนึ่ง ครู่เดียวเท่านั้นที่หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาดู หน้าจอเป็นเบอร์ที่ไม่ได้อยู่ในรายชื่อติดต่อ เขาสบตากับคุณยายอีกครั้ง สายตาคู่นั้นช่วยปลอบประโลมว่าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง

    เขากดรับ รอให้ปลายสายพูดขึ้นก่อนแต่กลับได้ยินเพียงเสียงรอบข้าง ที่ไหนสักแห่งที่ค่อนข้างพลุกพล่าน ริมถนน รถขับผ่านไปมา เสียงตะโกนโหวกเหวกของผู้คน เสียงโฆษณาเรียกลูกค้า คุ้นอย่างไรชอบกล

    ครับ? นิรันดร์ยอมแพ้ในที่สุด แต่รอแล้วรอเล่าก็ไม่มีเสียงใดเด่นชัดขึ้นมาจากความวุ่นวายเหล่านั้น อาจจะเป็นคน โทร.ผิดมาก็ได้ เขาเกือบจะวางสายอยู่แล้ว

    ขอสายนิรันดร์

    เสียงไม่คุ้น แต่นิรันดร์มั่นใจ พูดอยู่ ว่าต้องเป็นคนที่เขารอสายอยู่แน่ๆ ผมกลับไปที่โรงพยาบาล แต่คุณไม่อยู่แล้ว

    ครับ...

    มีเพียงเท่านั้นที่ทำให้รู้ว่าเขาไม่ได้พูดอยู่คนเดียว

    เป็นอะไรไหม

    ไม่...ไม่ครับ

    คุณต้องการเท่าไหร่

    ผ่านไปหลายอึดใจกว่าจะได้คำตอบ

    ช่วยผมด้วย

    นิรันดร์ตื่นตกใจไม่น้อย แม้จะพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่เขาพอจะนึกสีหน้าของคนพูดออก แววตาตระหนก ริมฝีมากเม้มเป็นเส้นตรง คิ้วขมวดมุ่นยุ่งเหยิง วินาทีนั้นไม่รู้หรอกว่าลำพังตัวเขาเองจะไปช่วยใครที่ไหนได้ แต่จิตสำนึกที่ซุกซ่อนอยู่ในซอกหลืบหนึ่งของจิตใจก็สั่งให้ต้องทำอะไรสักอย่าง เขาหันไปพยักหน้าให้ยายแก้วที่จ้องมองอยู่เป็นสัญญาณว่าใช่แล้ว คนที่พูดถึงเมื่อครู่ติดต่อกลับมาแล้ว ก่อนจะลุกขึ้นเดินออกจากร้านไปอย่างรวดเร็ว

    เกิดอะไรขึ้น

    คือว่า...

    คำตอบฟังดูสับสน ดูเหมือนการอธิบายให้เขาเข้าใจจะเป็นเรื่องยาก นิรันดร์จึงเปลี่ยนคำถาม คุณอยู่ไหน

    ไม่รู้

    นิรันดร์เดินไปถึงรถมอเตอร์ไซค์ แต่สายตาว่องไวของเขาปราดไปเห็นร่างของใครคนหนึ่งยืนอยู่ในตู้โทรศัพท์ตรงหน้าปากซอยเสียก่อน ห่างจากร้านไปเพียงไม่กี่เมตร ถึงว่าเสียงรอบข้างจากปลายสายช่างคุ้นหูนัก

    ไม่รู้แล้วมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง คล้ายสบถกับตัวเอง นิรันดร์เดินเข้าไปหาด้วยย่างก้าวมั่นคง

    ออกจากโรงพยาบาล แล้วก็...แล้วก็เดิน ขึ้นรถเมล์ ลงตรงนี้

    ใครคนนั้นก้มหน้าก้มตาคุยโทรศัพท์โดยไม่สนใจสิ่งรอบข้าง ท่าทางหวาดระแวงทำให้นิรันดร์นึกสงสัยว่าอะไรทำให้หมอนี่เลือกที่จะขอความช่วยเหลือจากเขา

    รู้เหรอว่าผมอยู่ไหน

    ไม่ ไม่รู้...ใกล้กับเมื่อเช้า

    คุณไปที่ที่เราเจอกันเมื่อเช้าใช่ไหม

    สิบก้าว

    ครับ

    เสียงอ่อน

    ...เพราะนิรันดร์น่าจะอยู่ที่นี่

    คุณต้องการอะไรกันแน่

    ห้าก้าว

    ผมไม่มีที่ไป

    คนหลงทางพร้อมจะพุ่งหาทางออกไหนก็ได้ที่จะพาตัวเองไปถึงจุดหมาย โดยไม่รู้เลยว่าเส้นทางนั้นจะสว่างไสวหรือดำมืด ราบเรียบหรือขรุขระ สวรรค์หรือนรก

    นิรันดร์เดินเข้าใกล้ตู้โทรศัพท์ขณะที่ยังถือสายคุยกันอยู่ แน่นอนว่าเขาไม่ไว้ใจคนแปลกหน้าง่ายๆ หรอก เราเคยเจอกันแค่ครั้งเดียว เป็นครั้งเดียวที่น่าสงสัย

    ทันทีที่เขากดวางสาย คนที่ยืนอยู่ในตู้โทรศัพท์ก็คอตก ยกเศษกระดาษขึ้นมาดูตาละห้อย ชั่งใจว่าจะ โทร.ไปอีกดีหรือเปล่า

    หนึ่งก้าว

    ผมอยู่นี่

    ระยะทางสิ้นสุดลง นิรันดร์วางมือบนไหล่ของคนที่ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ามีคนอื่นยืนอยู่ใกล้เพียงนี้ ชายหนุ่มหันขวับด้วยความตกใจ ก่อนสายตากร้าวจะอ่อนลงเมื่อเห็นว่าเป็นใคร

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in