1.
8.00 น.
ตื่นนอนด้วยเสียงนาฬิกาปลุก สิ่งแรกที่ทำคือ ไถดู messenger ที่เพื่อนในกรุ๊ปแชทคุยกันค้างไว้เมื่อคืน
บทสนทนาก่อนผมจะหนีไปนอนแถวๆ ตีหนึ่งกว่า คือการลง Windows ให้กับคอมเครื่องใหม่ของเพื่อนคนหนึ่ง
ผมไถผ่านเร็วๆ จนไปสะดุดที่คำนึง
"สงสัยจะได้ฟัง lp ทั้งวัน"
ประโยคนี้มันมาไงวะ ผมคิด
จนกระทั่ง ไถไปจนถึงจุดเริ่มต้นบทสนทนา
น้ำตามันก็ไหลมาเองแบบอัตโนมัติ
.......
2.
พูดได้อย่างเต็มปาก เต็มเสียง เต็มแรง ว่าวงดนตรีที่เปลี่ยนชีวิตของตัวเองคือ Linkin Park
ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสมัยหัวเกรียน การที่เด็กเนิร์ดๆ คนนึง ลุกขึ้นมาหัดร้องแร็ป ปรินท์เนื้อเพลงมานั่งท่อง เปิดพจนานุกรมไล่แปลเนื้อเพลงเพราะอยากรู้ว่ามันแปลว่าอะไร จากเพียงแค่ฟังเพลงๆ เดียว เพลงที่ชื่อว่า In The End
ลองคิดดูสิมันยิ่งใหญ่ขนาดไหน
ในวินาทีนั้น (และตอนนี้ก็ยังคิดเช่นนั้นอยู่) คิดว่าฉากที่ Chester ร้องเพลงหน้ากล้อง พร้อมบรรยากาศแสงที่เปลี่ยนจากกลางวันเป็นกลางคืนใน ท่อน “Pushed as far as I can go” ของ MV In The End เป็นหนึ่งในช็อตมิวสิควิดีโอที่เท่ที่สุดที่เคยดูมา
พอโตขึ้นมาอีกนิด ไปสิงร้านการ์ดเกม เจ้าของร้านเป็นแฟนตัวยงของวงนี้ (ไม่ใช่แฟนธรรมดา เป็น LP Underground แฟนคลับแบบ Official ด้วยนะ) ก็ยิ่งไปกันใหญ่ นั่งเล่นการ์ดไป ฟัง LP วนไปเรื่อยๆ ทั้งวัน
Hybrid Theory / Reanimation / Meteora
นั่นแหล่ะ ยิ่งไปกันใหญ่
.......
3.
Linkin Park Live in Texas คือ การดูไลฟ์คอนเสิร์ตวงดนตรีต่างประเทศครั้งแรกในชีวิต
แม่งโคตรพลัง แม่งโคตรบ้า แม่งโคตรสุด อยากไปสัมผัสบรรยากาศแบบนี้สักครั้งในชีวิต
แต่จนแล้วจนรอด ก็ไม่เคยได้ดู Linkin Park เล่นสดสักที
ก็ช่วงที่เขามา
เด็กขนาดนั้นไปขอพ่อแม่ในตอนนั้น คงโดนด่ากลับมาอย่างไม่ต้องคิด
เมื่อต้นปี มีข่าวว่าวงจะมีแวะไปทัวร์ที่ญี่ปุ่น ก็หวังลึกๆ ว่าจะแว้บมาไทย
เงินพร้อมแล้ว เท่าไรก็จะไป
เงินซื้อไม่ได้ทุกอย่าง เข้าใจคำนี้ก็ตอนนี้แหล่ะ
ไลฟ์สุดท้ายที่ได้ดูคือดูผ่าน Facebook Live ที่วงไปออกรายการ Saturday Night Live
…….
4.
ผมว่า Linkin Park เป็นวงแห่งยุคสมัยที่แท้จริง
พิจารณาจากการที่ยามไปร้องคาราโอเกะ ถ้าไปกับคนในรุ่นราวคราวใกล้ๆ กัน ต่อให้จะเป็นเพื่อนคนละกลุ่มก้อน เราก็ยังสามารถเลือกเพลง In The End แทรกเข้าไปในลิสต์รอร้องได้อย่างไม่เคอะเขิน
แถมแบ่งกันเสร็จสรรพ ว่าใครจะเป็น Mike ใครจะเป็น Chester
และทุกคนร้องตามกันได้อย่างพร้อมเพรียง
…….
5.
หลังจาก Minutes to Midnight ตัวเองก็ไม่ค่อยได้ฟัง LP อีกสักเท่าไร
พออัลบั้มถัดๆ มา ก็ได้แค่ฟังวันรอบสองรอบ แล้วก็ปล่อยผ่านไป
จนมาถึง One More Light
ผมก็เริ่มฟังไปเรื่อยๆ เหมือนปกติ
จนมาถึงแทร็คที่มีชื่อเหมือนอัลบั้ม “One More Light”
น้ำตาซึมกลางรถเมล์ออกมาแบบไม่ทันตั้งตัว
ต่อให้ใครจะว่าอัลบั้มใหม่มันกาก ขายวิญญาณ วงเดิมที่เคยรู้จักตายไปแล้วขนาดไหน
แต่ One More Light คือหนึ่งในเพลงที่งดงามที่สุดในชีวิตสำหรับตัวผม
เนื้อเพลงความรักแบบอุ่นๆ เข้าใจโลก ผ่านอะไรมาหลายอย่าง
และวินาทีที่ได้ยินข่าวร้ายของ Chester เพลงนี้คือเพลงแรกที่ดังขึ้นมาในหัว
“Who cares if one more light goes out?
Well I do
…….
#RIPChesterBennington
แด่หนึ่งนักร้องที่เข้ามาเปลี่ยนชีวิตผมไปตลอดกาล
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in