เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
PAPAYAH's ARCHIVERocket man
ตูน–ณัฐธีร์ อัครพลธนรักษ์ , ‘t_047’ และ Yerm : ตัวตน , ท้องฟ้า และบ้านข้างๆ
  • สัมภาษณ์ & ภาพ : กฤษฎ์ พรหมใจรักษ์


    ผมไม่แน่ใจจริงๆว่าผมไปติดตามเพจ ‘บ้านข้างๆ’ ตั้งแต่เมื่อไหร่ จากตอนนั้นถึงตอนนี้ก็น่าจะผ่านมานานพอสมควร ผมชอบความเรียบง่ายและวิธีการนำเสนอที่มันไม่มีอะไรมากไปกว่า ภาพถ่ายท้องฟ้าข้างบ้านและความรู้สึกในแต่ละครั้ง การได้เห็นเฉดสีและบรรยากาศที่รูปที่ตูนเป็นผู้บันทึกจึงทำให้เกิดความเพลิดเพลินกับตัวเองที่เป็นคนที่ชอบมองดูท้องฟ้าจากระเบียงบ้านตัวเองเป็นอย่างยิ่ง ประหนึ่งว่าเราได้มีโอกาสไปแอบดูท้องฟ้าจากบ้านคนอื่นบ้าง จากการแบ่งปันท้องฟ้าของตัวเองให้คนอื่น เพจที่เป็นเหมือนงานอดิเรกนี้ของ ‘ณัฐธีร์ อัครพลธนรักษ์’ หรือ ‘ตูน’ ที่เริ่มเก็บสะสมท้องฟ้ามาตั้งแต่สมัยมัธยมปลาย งานอดิเรกดังกล่าวได้พาตูนและผองเพื่อนออกเดินทางไปดูท้องฟ้าในที่ต่างๆ ในนาม ‘t_047’ วงดนตรีโฟล์กที่ได้รับแรงบันดาลใจและเป็นเหมือนส่วนขยายจากท้องฟ้าของ ‘บ้านข้างๆ’ วันนี้เราได้มีโอกาสพูดคุยกับตูนเกี่ยวกับตัวตน ท้องฟ้า และการเติบโตในฐานะศิลปินอาชีพ รวมไปถึงนิทรรศการภาพครั้งแรกที่จังหวัดขอนแก่น ในชื่อ ‘t_047 EXHIBITION’ Tontann Artspace Gallery & Shop ณ ตลาดต้นตาล จังหวัด ขอนแก่น

       
         

     

    มีคนเคยบอกผมว่าคุณเป็นคนที่มีสามตัวตนในคนเดียว คุณมี ‘t_047’ ที่ชอบมองท้องฟ้า , ‘ตูน’ ที่เป็นนักร้องนำวงไซคีเดลิคร๊อกที่ชื่อว่า ‘Yerm’ และ ‘ตูน - ณัฐธีร์’ ที่เป็นปัจเจกชนทั่วไป อยากให้ช่วยอธิบายหน่อยว่าการเป็นคนที่มีหลายคาแรกเตอร์นี่มันเป็นยังไงกัน


    t_047 : มันไม่ได้ถึงขั้นเป็น 3 ตัวตนหรอก มันเหมือนกับว่าตอนนั้นเราอยู่ในบทบาทไหนมากกว่า ที่กำลังทำอยู่ 


    แล้วอย่างวันนี้ที่เราเจอคุณมาในฐานะ ‘t_047’ เนี่ยมันเป็นยังไง


    t_047 : เรารู้สึกว่ามันจะมีความรับผิดชอบในส่วนของแบรนด์ดิ้งและภาพที่ส่งออกไปประมาณนึง ประมาณว่า พอเราทำงานเกี่ยวกับเรื่องท้องฟ้า เราคงจะไม่สามารถทำตัวเละเทะได้มาก เพราะว่าเพลงมันค่อนข้างต้องใช้สมาธิในการเล่า มันต้องเล่าเรื่องประมาณนึง มันก็ต้องมีสติเพียงพอเพื่อที่จะconcentrateกับเนื้อเพลงประมาณนึง


    ถ้าอย่างงั้นเวลาเขียนเพลง มีการแบ่งหรือเลือกยังไงว่าเพลงแบบไหนควรจะเป็นของ ‘t_047’ และเพลงแบบไหนควรนำมาใช้กับ ‘Yerm’


    t_047 : มันจะเป็นเรื่องของลักษณะที่ใช้ในการสื่อสารมากกว่า แบบว่า ถ้าเกิดวันนี้เรามีอารมณ์แบบนี้ อยากจะระบายเรื่องความเสียใจ ในลักษณะที่เสียใจก็พูดว่าเสียใจตรงๆ ถ้าเป็นลักษณะนี้ก็จะเป็นเพลงของของ ‘Yerm’ คืองานของ ‘Yerm’ มันจะค่อนข้างตรงไปตรงมา แต่ถ้าเกิดเป็นของ ‘t_047’ มันจะเป็นไปในลักษณะของการพยายามหาทางออกให้กับปัญหา มันมีความพยายามคิดหามุมมองในการมองโลกอีกทีเพื่อรับมือกับความเศร้า ซึ่งมันก็อยู่ที่ว่า ณ ตอนนั้น เรารู้สึกอะไร เพราะบางที เวลาเรามีเรื่องทุกข์ เราก็ไม่ได้อยากจะหาหนทางดับทุกข์ทันที บางทีเราก็อยากจะดื่มด่ำกับมันไปก่อน มันก็กลายมาเป็นเพลงของ ‘Yerm’  




    คนฟัง ‘t_047’ กับ ‘Yerm’ นี่คือคนฟังกลุ่มเดียวกันทั้งหมดเลยไหม 


    t_047: มันก็มีคนที่เขาตามทั้งสองวง จริงๆ เราแยกไม่ออก เป็นคนไม่ค่อยสังเกตแฟนเพลงเท่าไหร่ เพราะเวลาไปเล่นแต่ละที่คนที่มาดูก็จะมีลักษณะแตกต่างกัน แต่สำหรับ ‘Yerm’ เท่าสังเกตเหมือนผู้ชายจะฟัง ‘Yerm’ เยอะกว่า เพราะความที่มันหนักหน่วงกว่ามั้ง ส่วน ‘t_047’ ก็จะเบาๆ ฟังได้ทุกเพศทุกวัย บางคนเขาก็ตามภาพมาก่อนแล้วก็ค่อยมาฟังเพลง บางคนก็รู้จักเพลงก่อนแล้วค่อยมาตามภาพ ฐานแฟนเพลงก็มีหลายวัย มีตั้งแต่เด็ก 11-12 ไปจนถึงเป็นแม่คนแล้วก็มี


    ระหว่าง ‘t_047’ กับ ‘Yerm’ คุณคาดหวังกับงานไหนกว่ากัน


    t_047 : เราพยายามไปให้มันสุดทุกทางเลย แต่เอาเข้าจริงเราก็ไม่ได้ตั้งเป้าหมายว่าคนจะต้องฟังเยอะหรือจะให้มันพาเราไปสู่อะไร เพราะตอนเริ่มทำเราก็ทำแค่อยากให้มันเป็นพื้นที่ไว้ระบาย เป็นพื้นที่ไว้ทำอะไรสนุกๆ ของเรา ภาพที่ออกไปมันก็เลยจะสบายๆ ไม่ต้องคีพลุค ไม่ค่อยต้องพยายามทำทุกอย่างให้เป็นมาเก็ตติ้งหรือว่าอะไรมาก ก็ปล่อยไหลไปชิลๆ ส่วน ณ ช่วงนี้มันก็ทำให้เราหาเลี้ยงชีพได้ เราก็ลุยไปกับมันเต็มที่




    อย่าง ‘t_047’ เนี่ย มันมีจุดเริ่มมาจากแอคเค้าท์ Instragram อันหนึ่งของคุณ สิ่งที่มันเกิดขึ้นกับคุณในทุกวันนี้มันเป็นสิ่งที่ตั้งใจไว้ตั้งแต่ตอนเริ่มถ่ายภาพท้องฟ้าเลยหรือเปล่า


    t_047 : ไม่ ไม่เลย ตอนแรกแค่จะถ่ายรูปบ้านลง Instragram อย่างเดียว แล้วก็เริ่มเปิดเพจเพราะต้องมีพื้นที่ในการติดต่อสื่อสารกับคนที่เขาติดตามงานเราด้วย ไปๆมาๆ เหมือนเราอยากเล่าเรื่องที่มันยาวขึ้น เรามีแมสเสจบางอย่างที่อยากจะเล่าที่การเขียนเล่าผ่านแคปชั่นมันมีพื้นที่ให้ไม่พอ เพราะว่าการเขียนมันไม่มีน้ำเสียง ไม่มีเรื่องราว ก็เลยเริ่มเขียนเพลง ร้องและอัดกีต้าร์โปร่งง่ายๆ ไม่ได้ตั้งใจทำให้มันเป็นโฟล์กเป็นอะไรแบบนั้นด้วย เราแค่อยากจะทำยังไงก็ได้ให้แมสเสจที่เราอยากจะสื่อสารมันออกไปสู่สาธารณะได้ 


    แล้วจากความต้องการดั้งเดิมที่จะขยับขยาบวิธีการเล่าเรื่องท้องฟ้าด้วยการเขียนเพลง มันกลายมาเป็น ‘t_047’ แบบทุกวันนี้ได้ยังไง


    t_047 : ตอนที่ทำออกมา 3 เพลงแรก เราใช้วิธีทำเพลงอัดเองแบบง่ายๆ แล้วพอมาถึงเพลง ‘จันทร์’ มันเป็นเพลงพูดถึงพระจันทร์ มันมีบรรยากาศของความกลางคืนเข้ามา ซึ่งบางทีกีต้าร์โปร่งตัวเดียวมันไม่สามารถเล่า ไม่สามารถใส่ความเป็นกลางคืนเข้าไปได้เต็มที่ เลยเอาเพื่อนมาช่วยเล่นแอมเบียนต์ อันนี้เลยเป็นจุดเริ่มต้นที่เรามองว่า เครื่องดนตรีไฟฟ้ามันก็สารมารถสร้างบรรยากาศในเพลงได้เหมือนก้ัน ในเพลงหลังๆที่ตามมาอย่างเพลง ‘เพียงฤดู’ ก็เลยเริ่มใส่แอมเบียนต์เข้าไปอีก



    แล้วเพลงไหนที่มันทำให้มัน ‘t_047’ กลายเป็นวงดนตรีในลักษณะที่ต้องออกมาเล่นสด มาทัวร์ จริงๆ จังๆ แบบปัจจุบัน


     t_047 : หลังจากปล่อยเพลงที่ 5 ชื่อเพลงว่า ‘เพียงฤดู’ ก็เริ่มมีงานจ้างเข้ามา จากนั้นมันก็มาเรื่อยๆ เราก็แต่งเพลงเพิ่มไปเรื่อยๆ จนในที่สุดตัดสินใจฟอร์มเป็นวง เพราะเวลาเราไปทัวร์ เราไม่ได้อยากไปคนเดียว อยากมีเพื่อน มีทีมไปด้วย แล้วพอจากที่เคยเล่นงานเล็กๆ เคยเล่นแบบด้วยเครื่องดนตรีเล็กๆ สามคน พอเวทีมันเริ่มใหญ่ขึ้น ไอ้วงดนตรีที่เคยเล็กๆ มันก็เอาไม่อยู่แล้ว พอมีคนรับแมสเสจเรามากขึ้นเราก็ต้องขยายให้มันใหญ่ขึ้น





    เพื่อนสมาชิกที่มาทัวร์ ณ ปัจจุบัน เป็นสมาชิกชุดเดิมตั้งแต่แรกเลยหรือเปล่า


     t_047 : จริงๆ ตอนที่เริ่มเล่นสดช่วงแรกๆเลยจะมี 3 คน จะมี เรา ร้อง เล่นกีต้าร์โปร่ง ‘ไบร์ท’ เล่นกีต้าร์ไฟฟ้า แล้วก็ ‘ป๊อป’ เล่น เจมเบ้ เป็นแค่วงอคูสติกเล็กๆ แล้วพอมันเริ่มได้เล่นบนเวทีใหญ่ๆอย่างงาน ‘Cat Expo’ เราก็เริ่มรู้ว่ามันต้องมีเบส มีกลองชุดมาซับหน่อยเพื่อเราสามารถครอบคลุมให้ทุกคนได้อยู่บรรยากาศ ในห้วงเดียวกันได้ เพื่อให้แมสเสจที่เราต้องการจะสื่อสารมันส่งไปพึงคนดู

     




    ช่วยเล่าเรื่อง ‘บ้างข้างๆ Cafe & Gallery’ ให้ฟังหน่อย


    t_047 : เริ่มจากตอนออกจากงานประจำ เราอยากจะมีเวลาไปเล่นดนตรี มีเวลาไปทำนู่นนี่ ก็เลยคิดว่าถ้าเปิดแกลลอรี่ของตัวเองมันก็น่าจะสบายดี อยากจะปิดเมื่อไหร่ก็ปิด เปิดเมื่อไหร่ก็เปิด ประกอบกับที่เรามีรูปที่ถ่ายไว้ใน instragram ในอะไรอยู่แล้ว แต่เรารู้สึกว่ามันเป็นที่ที่ไม่ได้ปลอดภัย เพราะถ้าวันหนึ่งถ้าเกิด facebook หรือว่า instragram มันล่มขึ้นมา งานเราก็จะหายหมดเลย การที่เราไปฝากรูปไว้กับพวกแพลตฟอร์มต่างๆ มันเหมือนการเอางานไปฝากไว้กับใครก็ไม่รู้ แต่การมีแกลลอรี่ของตัวเอง รูปภาพที่เราถ่ายได้ถูกอัดกรอบแล้วก็มาอยู่ในพื้นที่ที่เป็นของเราจริงๆ เราก็จะสามารถพราวได้ว่า เฮ้ย อันนี้คือรูปภาพของเรา นี่คือของๆเราจริงๆ





    จนถึงตอนนี้คุณมีรูปท้องฟ้าไปทั้งหมดกี่รูป


    t_047 : น่าจะประมาณ 6-700 รูป แต่ที่เอามาอัดกรอบจริงๆ ไม่ถึง อย่างที่เลือกมาวันนี้คือ 19 รูป แต่ถ้ามีทั้งหมดก็น่าจะประมาณ 100-200 รูป เก็บไว้ที่แกลลอรี่ เวลานำมาแสดงก็ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไป


    ซึ่งปัจจุบันคุณก็ยังคงถ่ายรูปบ้านข้างๆ บ้านเดิมอยู่ ตกลงบ้างข้างๆ เขาเป็นใคร


    t_047 : ไม่รู้จัก (หัวเราะ) แล้วเราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาจะรับรู้เกี่ยวกับสิ่งที่เราทำหรือเปล่า ไม่ได้ติดต่อกัน ไม่รู้ว่าเคยเห็นภาพที่เราถ่ายบ้างหรือเปล่า


    คุณมีวิธีการเลือกรูปที่จะเอามาแสดงในแต่ละครั้งอย่างไร


    t_047 : เวลาเราจะงานไปโชว์ในแต่ละครั้ง เราจะพยายามเลือกรูปที่มันเป็นปัจจุบันมากที่สุด เพราะมันจะเป็นรูปที่ใกล้เคียงกับความรู้สึกนึกคิดและช่วงอายุ ณ เวลานั้นๆ มากที่สุด 


    ทำไมถึงเรื่องที่จะแขวนรูปแต่ละรูปไว้ต่างระดับกัน


    t_047 : แค่อยากให้เสปชกับรูปแต่ละรูป อยากให้คนที่เข้ามาดูรู้สึกว่าเหมือนได้ใช้เวลาดูท้องฟ้าที่ต่างกันออกไปในแต่ละวัน มีเวลาใช้ความคิด ความรู้สึก ไปกับสิ่งที่เราเขียนสิ่งที่เราบันทึกไว้ในแต่ละวัน คือถ้ามันถูกแขวนไว้ระดับเดียวกันแล้วเดินผ่านวูปเดียวมันก็….จบ เราอยากให้ทุกคนดูแล้วรู้สึกว่า เฮ้ย วันนั้นที่ท้องฟ้าเป็นแบบนี้เนี่ย เรามีความรู้สึกแบบนี้ แล้วคุณล่ะ เคยมีความรู้สึกแบบนี้บ้างหรือเปล่า มันก็จะเชื่อมโยงกันได้ ( ผู้สัมภาษณ์  : ส่วนข้อความใต้ภาพก็คือเอามากจาก instragram ทั้งหมดเลยหรือเปล่า ) ใช่ๆ วันนั้นเราเขียนอะไร คิดอะไร ก็บันทึกไป


    ในบรรดารูปที่คุณถ่ายมาทั้งหมด มีรูปไหนที่คุณชอบเป็นพิเศษไหม


    t_047 : รูปที่ชอบเป็นพิเศษเหรอ จริงๆมันมีรูปนึง แต่ไม่ได้เอามา เพราะว่ามันจะใส่กรอบใหญ่เอาไว้อยู่ที่แกลลอนี่ 


    ถ้าให้เลือกจากรูปที่นำมาแสดงในครั้งนี้ล่ะ


    t_047 :จริงๆก็ชอบหมดทุกรูปนะ มันทำให้เราจำได้ว่าวันนั้นเรารู้สึกอะไร แล้วเราก็ให้คุณค่ากับแต่ละความรู้สึกเท่าๆ กัน มันมีทั้ง ความรัก ความเศร้า ความเหงา ความเบื่อรัฐบาลไรงี้ก็มี (หัวเราะ)


    ตอนช่วงซาวด์เช็คได้มีโอกาสฟังเพลง ‘แม่กำปอง’ มีเนื้อร้องอยู่ท่อนนึงที่คุณร้องว่า ‘อยู่กับชีวิตที่ธรรมดา ไม่มีอะไรให้มองหา’ อยากให้ช่วยอธิบายให้ฟังนิดนึงว่า สำหรับคุณ ทำไมชีวิตที่ธรรมดามันถึงเป็นชีวิตที่ไม่มีอะไรให้มองหา


    t_047: มันเป็นโมเมนต์ตอนที่เราไปพักที่ แม่กำปอง ด้วยความที่มันไม่มีอะไรเลย มันมีแค่หมู่บ้าน เรารู้สึกว่าอันนี้มันคือชีวิตธรรมดาจริงๆ เราไม่ต้องมองหาว่าจะต้องทำอะไร เพื่ออะไร หรือ อยากจะได้ อยากจะมีอะไร คนที่นั่นเขาดูใช้ชีวิตกันแบบสบายๆ ชีวิตที่ธรรมดา ไม่มีอะไรให้มองหา




    แล้วคุณมองว่าชีวิตคุณเป็นชีวิตที่ธรรมดาไหม


    t_047 : ธรรมดาไหมเหรอ เราว่า ไม่ธรรมดา เรารู้สึกว่าชีวิตเราได้รับโอกาสมากกว่าคนอื่น ได้มาโดยไม่ได้ตั้งใจ มันมีโอกาสให้เราได้ออกเดินทาง ให้เราได้ทำงานที่เป็นสิ่งที่ตัวเองรัก โดยที่ไม่ต้องไปเบียดเสียด สู้รบกับใคร อย่างเมื่อก่อนเรามักจะก็ได้ยินเสมอว่า โอโห้ ชีวิตวัยทำงาน มันเต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัวของเพื่อนร่วมงาน มันเต็มไปด้วยความกดขี่ เราก็อยากจะหลุดออกจากตรงนั้น จริงๆ ชีวิตเราก็อาจจะเป็นความธรรมดาในอีกรูปแบบนึงก็ได้ แค่คนอื่นเขาไม่ทำแบบเราเยอะเท่าไหร่ 

    จากสิ่งที่เราเขียนในเพลง ‘แม่กำปอง’ แล้วมองย้อนกลับมาที่ตัวเอง สำหรับเรา จริงๆ เราก็ยังมองหานะ มองหาความสุข มองหาความสนุก คือเรายังไม่ได้ใช้ชีวิตจนไปถึงในจุดที่จะสามารถ ปล่อยวาง ชิล ยังไม่ถึงจุดนั้น ในทุกวันเรายังพยายามที่จะตื่นมาแล้วได้ออกไปทำอะไรที่มันแฮปปี้  เรามองข้ามเรื่องเงินไปเลย แม้ว่าแต่จริงๆความสุขบางอย่างมันก็ต้องใช้เงินอยู่แล้ว แต่เราไม่ได้หวังว่าจะต้องรวย หรือจะต้องดังมาก หรือว่าจะต้องอะไร แค่ ณ ทุกวันนี้ มันได้ออกมา มีเงินเก็บนิดๆหน่อยๆ พอประมาณ เราก็แฮปปี้แล้ว เราจะเป็นคนที่ค่อนข้างซีเรียสกับความสุขมากกว่า เราเป็นคนที่อยากใช้ในแต่ละวันให้มันแฮปปี้มากๆ 



    สุดท้ายแล้ว ช่วยฝากงานนิทรรศการของตัวเองในครั้งนี้สักหน่อย


    t_047 : ไม่ต้องคาดหวังว่ามาแล้วจะได้อะไรกลับก็ได้ แต่แค่ให้รู้ว่า ณ วันนึง ที่ท้องฟ้าเป็นแบบนี้ มีคนๆ หนึ่งที่เขามีความรู้สึกนี้เหมือนกัน บางคนอาจจะรู้สึกว่า บางความรู้สึกหรือว่ามุมมองบางอย่างที่ตัวเองมี เราคิดอยู่คนเดียวหรือเปล่า รู้สึกอยู่คนเดียวหรือเปล่า ถ้ามาที่นี่แล้วบังเอิญเห็นความคิดเห็นมุมมองที่มันตรงกัน เราหวังว่ามันจะทำให้เขารู้สึกว่าเขามีเพื่อนนะ มีเพื่อนคนนึงที่อยู่ในอีกที่นึง เป็นเหมือนเพื่อนบ้านที่มีความคิดหรือมีความรู้สึกที่ตรงกัน ก็ขอให้มึความสุข มองท้องฟ้ากัน ไม่ต้องคิดอะไรมาก 





    นิทรรศการ ‘t_047 Exhibition’ จัดแสดงที่ หอศิลป์ ตลาดต้นตาล ถนน มิตรภาพ จังหวัด ขอนแก่น ระหว่าง  8 - 15 สิงหาคม 2563 เข้าฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย และ ถ้าไปกรุงเทพก็แวะมาหาและแฮงเอาท์กับ t_047 ได้ที่ ‘บ้างข้างๆ Cafe & Gallery’ พญาไท


Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in