เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
In Relation Shit!BUNBOOKISH
คำนำ








  •          


  • คำนำสำนักพิมพ์

                 เรื่องหนึ่งที่เรามักจะหยิบมาล้อเล่นกับพี่เพลียเสมอ คือเวลาที่เราสองคนไม่ค่อยได้เจอหน้า หรือไม่ค่อยมีเวลาได้พูดคุยกันมากนัก พอหาเวลาเจอกันได้ ก็ต้องคอยบอกให้พี่เพลียอัปเดตเรื่องราวในชีวิตให้ฟัง ว่าไม่กี่สัปดาห์ หรือไม่กี่เดือนที่ผ่านมาไปคบกับใครหรือเลิกกับใครมาบ้าง...     
               เพราะคลาดกันไปนิดเดียว เราก็ไม่รู้ว่าพี่เพลียอาจจะเที่ยวไปก่อร่างสร้างความสัมพันธ์ และปล่อยให้ล่มสลายจบไปภายในเดือนเดียวก็เป็นได้    

             เรากับพี่เพลีย ถึงแม้จะเป็นเพื่อนกัน คุยกันถูกคอ พูดกันเข้าอกเข้าใจ แต่ถ้ามองกลับมาในแง่การใช้ชีวิต โดยเฉพาะเรื่องการสร้างความสัมพันธ์แล้ว เหมือนจะต่างกันคนละขั้ว เปรียบให้เห็นภาพง่ายๆ จะเรียกว่าเป็นคนประเภท introvert กับ extrovertเลยก็ยังได้          
             ไม่ใช่แค่ความสัมพันธ์ในรูปแบบของคนรัก แต่พี่เพลียเป็นคนที่เปิดกว้างและค่อนข้างเปิดใจให้กับการสร้างมิตรภาพในทุกรูปแบบ ซึ่งทัศนคติแบบนี้ทำให้พี่เพลียเป็นคนน่ารัก น่าคบ และแน่นอน เมื่อเปิดโอกาสให้มีความสัมพันธ์เกิดขึ้นได้ง่าย ก็ย่อมมีโอกาสที่จะเจอความวินาศสันตะโรมากหน่อย                      ในยุคที่คนเราชอบแสดงสถานะทางความสัมพันธ์ของตัวเองให้โลกรู้ ตอนที่สมหวัง สถานะ  in relationship กับใครสักคนอาจเป็นเรื่องน่ายินดีที่คนรอบข้างต้องมาแสดงความกริ๊วกร๊าวแต่สำหรับเจ้าของความสัมพันธ์แล้ว คำว่า in relationship อาจเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราว shit! shit! ที่จะตามมาต่างหาก        
              พี่เพลียชอบบอกว่าเราไม่ค่อยอิน เวลามัน (ขออนุญาตเรียกกันอย่างคนสนิท) เล่าเรื่องทุกข์โศกและเศร้าใจให้ฟัง ก็ต้องขอใช้พื้นที่นี้ขอโทษ ที่บางครั้งเสียมารยาทถึงกับแอบขำ
                แต่ก็นั่นแหละ ทั้งหมดทั้งปวง เป็นเพราะเรารู้ว่าพี่เพลียผ่านเรื่องราวเหล่านั้นมาแล้ว และผ่านมาได้อย่างคนที่พร้อมจะหัวเราะให้กับความผิดพลาดและไม่สมหวังของตัวเองเช่นกัน


    BUNBOOKS


  • คำนำนักเขียน

    (ที่ บ.ก. บอกให้เขียนยาวหน่อยก็ได้ ก็เลยเขียนมายาวมาก)


    “เล่มต่อไปเขียนเรื่องอะไรดีอะ”  เราถามคำถามนี้กับ บ.ก. ในมื้อเย็นของวันธรรมดาวันหนึ่ง

             เป็นคำถามที่เราชอบถาม บ.ก. ของเราเสมอ…        หนังสือเราสองเล่มก่อนหน้านี้คือ เรียนหมอหนักมาก และ FAIRYTALES CAN’T TELL EVERYTHING—เจ้าชาย, ไม่ได้กล่าว ก็เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับประสบการณ์ชีวิตอันน้อยนิดของตัวเอง เล่มแรกพูดถึงชีวิตนักศึกษาแพทย์ไปแล้ว เล่มต่อมาก็เล่าถึงสิ่งที่มีอิทธิพลกับชีวิตเรามากที่สุดไปแล้ว แต่คำถามคือ มันยังเหลืออะไรให้เขียนอีกเป็นเล่มที่สาม...      ตอนแรก บ.ก. ก็เลยบอกให้เราพักเรื่องงานเขียนไปก่อนก็ได้ลองใช้เวลาสะสมประสบการณ์ชีวิตไปอีกสักพัก แล้วถ้ามีอะไรที่น่าสนใจมากพอ ค่อยกลับมาเขียน
            ซึ่งเราก็…เออ จริงด้วย เรื่องในชีวิตที่พบเจอหรือพอนึกออกช่วงนั้น ก็ไม่รู้จะจับรวมกันมาเป็นหัวข้อหนังสือได้ยังไง 
           ตอนนั้นในใจแอบคิดว่า หรือเราจะเปลี่ยนเป็นสายฟิกชั่น ลองเขียนนิยายแฟนตาซีไปเลยดีไหมวะ…(แต่เกริ่นไปหลายทีบ.ก. ก็ดูไม่ตอบสนองอะไรกับไอเดียนี้)
           จนวันหนึ่ง เราอกหัก
           ก็เลยใช้วาระอกหัก นัดดริงก์เพื่อระบายปัญหาชีวิตให้ บ.ก. ฟังสักหน่อย
          คือคนอกหัก มันก็เศร้า ก็เหงา ไม่อยากอยู่คนเดียว (ทั้งที่ปกติก็อยู่ได้อะนะ) อยากหาอะไรทำอยากอยู่กับเพื่อน เป็นช่วงที่พยายามชวนเพื่อนสนิทมิตรสหายในชีวิตออกมากินข้าวบ้าง แฮงเอาต์บ้าง แม้แต่ บ.ก. ของเราก็ไม่เว้น  พอเริ่มเมาได้ที่ เราก็ระบายทุกอย่างออกมาแบบไม่หยุด คือถ้าเส้นเสียงไม่อักเสบจนเสียงหายไปก่อน เราก็คงยังไม่เลิกพูด และจากที่ตั้งใจจะมาเล่าเรื่องแฟนที่เพิ่งเลิกกัน ก็เริ่มระลึกชาติ


          ย้อนกลับไปพูดถึงความสัมพันธ์ครั้งก่อนๆ คนก่อนๆ กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง กี่คนต่อกี่คนที่ทำให้เราต้องเสียใจ แล้วก็จบลงตรงที่ต้องมานั่งพรั่งพรูระบายความเศร้าเสียใจให้คนอื่นฟัง 
         ถ้าเป็นคนอื่นก็คงจะปลอบประโลมหัวใจพังๆ ของเราด้วยวิธีอื่น แต่นี่เป็น บ.ก. สิ่งที่นางบอกเราหลังจากนั่งฟังเรื่องราวของเรามาค่อนคืนก็คือ “เรื่องพังๆ ของเธอเนี่ย เอามารวมกันน่าจะได้หนังสืออีกเล่มแล้วนะ
          พูดจบนางก็คิดชื่อหนังสือว่า In Relation Shit! มาให้เสร็จ
          เนี่ยยยย…    แล้วบทสนทนาคืนนั้น จากเรื่องดราม่าคลับฟรายเดย์ของเราก็กลายเป็นคุยไอเดียหนังสือเล่มใหม่ ที่ว่าด้วยความสัมพันธ์อันแสนจะพังพินาศของเราแทน และไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องความรักอย่างเดียวเท่านั้น จะเป็นความสัมพันธ์รูปแบบไหนก็ได้ที่นึกถึงมันแล้วเกิดอยากสบถหรืออุทานอะไรแรงๆ ออกมา
         คืออะไรวะ กูอกหักอยู่นะ...
         “เออ ก็ได้ ฉันมีเยอะเลยเรื่องแบบนี้” (อะ เข้าทางไปอีก)
        วันนั้นเลยกลับมานั่งทบทวนความสัมพันธ์ที่ผ่านมาในชีวิต เลือกเฉพาะเรื่องที่เคยทำให้เรารู้สึกว่า นี่มันอะไรวะเนี่ย!
  •         
             ที่จริงหลายเรื่องจะต้องมาเล่าให้คนอื่นฟังมันก็ออกจะน่าเขินน่าอายนิดหน่อย แอบกลัวว่าถ้าพ่อแม่ญาติพี่น้องมาอ่านเจอเข้า จะคิดยังไงที่เราทำตัวแบบนี้…แต่จะว่าไปหลายเรื่องมันก็ไม่ได้พังเพราะเราทำตัวไม่ดีนี่หว่า แล้วความล้มเหลวแต่ละครั้งก็ออกจะเป็นประสบการณ์ที่ทำให้เราเข้าใจตัวเองมากขึ้น และก็เข้าใจคนที่อยู่ในเรื่องนั้นๆ มากขึ้น  เฮ้ย มันก็น่าจะมีประโยชน์กับคนอื่นบ้าง      ความกลัวแรกตกไป เรื่องต่อมาคือ แล้วภาพลักษณ์เราล่ะเรื่องนี้มันส่วนตัวมากเลยนะเว้ย ซึ่งอันนี้ก็ตกตามกันไปไม่ยากเพราะ บ.ก. คอนเฟิร์มว่า “ภาพลักษณ์เธอมันก็เป็นอย่างที่เธอเป็นนั่นแหละ…” (นี่ด่าว่ากูไม่มีอะไรจะเสียแล้วหรือเปล่าวะ) 
              สรุป เขียนก็เขียน! 
              เพราะทุกวันนี้เราก็ใช้ชีวิตแบบไม่ได้ปกปิด ไม่ได้สร้างภาพอะไรกับใครอยู่แล้ว โอเค อาจจะมีเรื่องความน่าเชื่อถือทางหน้าที่การงานอยู่บ้าง แต่สุดท้าย เราก็เชื่อว่าคนที่อ่านหนังสือเล่มนี้คงจะแยกแยะได้ว่า เรื่องความรักความสัมพันธ์กับหน้าที่การงานมันคนละเรื่องกัน

             ส่วนสิ่งที่คาดหวังว่าคนอ่านน่าจะได้ประโยชน์จากเรื่องราวของเราก็คือ ความสะใจและสมน้ำหน้า 
             ไม่ใช่สิ!   เราคิดว่า ในชีวิตคนเราก็ต้องเคยเจอกับความสัมพันธ์ที่ไม่สมหวัง หรือพังไม่เป็นท่า บางคนผิดหวังเสียใจแล้วฟูมฟายคิดว่าตัวเองเป็นคนโชคร้ายที่สุดในโลก แต่ถ้ามาอ่านเรื่องของเราอย่างน้อยก็จะได้รู้ว่า ยังมีเราอีกคนที่ผิดหวังเรื่องความรักความสัมพันธ์เป็นว่าเล่น    และพอกลับมาเขียนเรื่องที่เคยทำให้รู้สึกเศร้าเสียใจอีกครั้ง เราก็พบว่า เมื่อเวลาผ่านไปแล้ว เรื่องเศร้าเรื่องเดิมนั้นอาจกลายเป็นเรื่องตลกเรื่องหนึ่งในชีวิตก็ได้   
             แต่ก็ไม่ใช่ทุกเรื่อง…     
             บางเรื่องพอกลับไปทบทวนถึงมันอีกครั้ง ก็ยังเสียใจไม่หาย บางเรื่องก็ยังทำให้เรารู้สึกว่า ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ เราจะไม่ทำแบบนั้น แต่เมื่อเขียนตอนจบของแต่ละเรื่องแล้ว เรากลับรู้สึกขอบคุณความพังทุกครั้ง ที่ทำให้เราเรียนรู้และยิ้มให้กับทุกเรื่องที่ผ่านมาได้
            เราอยากให้ In Relation Shit! เล่มนี้ เป็นเหมือนวัคซีนเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้คนอ่านผ่านช่วงชีวิตที่มีความสัมพันธ์แย่ๆ ไปได้ และพร้อมรับมือกับความสัมพันธ์ที่แย่ๆ ครั้งใหม่       
            แล้วก่อนที่ความเศร้าและความผิดหวังจะกลืนกินคุณเข้าไป ก็ขอให้นึกถึงเรื่องราวพังๆ ของเราเอาไว้หัวเราะเล่นก็แล้วกัน
           แม้วันนี้มันจะแย่ แต่มันก็ต้องมีวันที่ดีขึ้น 



    ขอให้ทุกคนโชคดี

    พี่เพลีย

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in