จดหมายจาก เดอลี ซาร์ ถึง ไซย์
ฉันภาวนาขอให้เป็นเธอนะไซย์ ที่ได้เปิดอ่านจดหมายฉบับนี้ เพราะฉันเขียนมันถึงเธอ
สวัสดีไซย์ ฉันเชื่อในความสามารถของเธอว่าต้องได้จดหมายฉบับนี้จากฉัน เพราะเธอเป็นคนมีน้ำใจมากและซื่อสัตย์ ฉันจึงเลือกเก็บมันเอาไว้ตรงที่-คนที่มีน้ำใจจะใส่ใจและนึกถึงมันจึงจะเห็น มันอาจเสี่ยงเพราะเธอเองอาจเหนื่อยเกินกว่าจะมีน้ำใจเล็กๆน้อยๆหรือห้องของฉันอาจถูกรื้อค้นจนเละเทะไปหมด แต่ไม่ว่าจะอย่างไหนฉันก็เชื่อว่าเธอจะได้อ่านมัน
ฉันขอโทษนะที่ต้องทำให้เธอลำบาก ฉันไม่เลือกใช้คำว่า อาจจะ เพราะเชื่อว่าอย่างไรเสียในตอนสุดท้ายก็คงเป็นเธอที่เป็นคนจัดการทุกอย่างของฉัน ก็ฉันไม่มีใครเลยนี่นะ ก็คงมีแต่เธอที่เป็นคนมอบอาหารมื้อสุดท้ายให้ฉัน
ไซย์การที่ฉันเลือกจากไปไม่ใช่เพราะว่าทุกอย่างแย่หมดแล้ว แต่เพราะทุกอย่างแข็งตึงเกินไปสำหรับบางสิ่งบางอย่างที่อ่อนปวกเปียกแบบฉัน ฉันล้าเหลือเกิน และหดหู่เกินไป ฉันอ่อนแอเกินเยียวยาและไม่มีใครคอยประคับประคอง นอกจากเธอที่ยื่นมือมา แม้ยามที่เธอลำบากสุดแสนและเจ็บป่วย เธอก็ยังพยายามเคี่ยวเข็ญให้ฉันทำสิ่งต่างๆจนได้ และฉันเชื่อว่าหากวันนี้ที่ฉันนั่งเขียนจดหมายถึงเธออยู่นี้เปลี่ยนเป็นเดินทางไปหาเธอแทน ฉันก็คงจะมีชีวิตอยู่ต่ออีกหนึ่งวันเพราะเธอ เพราะคำพูดของเธอ ที่พยายามเค้นออกมาจากร่างกายที่ทรมานของเธอ แต่ทำไมกันล่ะ ทำไมฉันต้องเป็นแบบนั้น ตรงกันข้าม เธอแย่ลงกว่าฉันและมีเรื่องราวมากมายกว่าฉัน ทั้งยังไม่แข็งแรงรวมถึงเจ็บป่วยที่หัวใจมากกว่าฉัน แต่ยังคงเลือกที่จะยื้อ เยียวยาตนเอง และยังคงอาศัยอยู่ มันทำให้ฉันรู้สึกสมเพชตนเองเหลือเกินที่เพียงแค่อ่อนแอเรื่องจิตใจก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว อาจเพราะฉันเดียวดายเกินไป และมืดหม่นเกินไป
และฉันอยากจะขอบคุณเธอมากๆไซย์ ที่ช่วยทำให้ฉันกล้ามากขึ้นจนสามารถก้าวขาออกภายนอกได้ไกลกว่าเดิม ไปหาเธอ ไปหาคนที่ต้องคุย ไปหาสิ่งที่ต้องแก้ไข ฉันทำมันได้แม้จะเป็นการกระทำในตอนสุดท้ายของฉันก็ตาม ซึ่งฉันขอบคุณ และได้โปรด.. ได้โปรดอย่าโทษตัวเองในเรื่องที่ผิดพลาดเกี่ยวกับฉัน เรื่องงานที่ฉันได้เดินทางไปทำในที่-ที่ไกลแสนไกล มันดีมากๆนะไซย์ มันมีค่า และถือเป็นความเหมาะสมแล้วที่มีอะไรแบบนี้ในตอนจบของฉัน ฉันอาจไม่สามารถห้ามตัวเองไม่ให้งี่เง่าจนทำพลาด และให้ทุกคนเสียหน้า แต่ฉันก็ยังสามารถห้ามตัวเองไม่ให้ทำอะไรแย่ลงกว่านั้นได้และพาร่างกายที่สั่นเทิ้มกลับมาจนถึงบ้านได้ โดยนึกถึงเธอว่า ถ้าเป็นเธอจะทำอย่างไร ฉันจำได้ในเหตุการณ์ที่เคยอยู่ร่วมกับเธอ เรื่องร้ายๆที่ทำให้เธอชาจนช็อคแต่ก็ยังค่อยๆหาทางกลับบ้านแม้จะไม่รู้สึกถึงสิ่งใดรอบตัวอีกแล้วก็ตามที ฉันเลือกเอง และไม่มีใครผิดพลาด ดังนั้นอย่าโทษตัวเอง ทำเพื่อให้ฉันได้สบายใจเถอะนะไซย์
เพราะฉันเหนื่อยหัวใจมากจากสิ่งที่รุมเร้า จากสิ่งที่รักษาไม่หาย จากสิ่งที่คนอื่นๆไม่เป็น คนที่แย่กว่าด้วยเรื่องที่มากกว่ากลับไม่เป็นอะไร แต่ทำไมคนอย่างฉันถึงต้องเป็นหนักกว่าด้วยอาการที่ทุกข์ทรมานมากกว่า ถ้าใครสักคนจะเข้าใจฉันก็คงเป็นเธอ ไซย์เธอทนอยู่กับอาการเหล่านี้ได้อย่างไร ทั้งที่เธอน่าสงสารกว่าฉันมากนัก เป็นเรื่องที่ฉันไม่กล้าสู้หน้าเธอเวลาที่ฉันหดหู่ แต่เธอกลับพูดแทนฉันได้ตลอดเวลาที่ฉันรู้สึก และบอกเสมอว่าเธอเองเป็นมานานจนรู้ได้ว่าใครที่กำลังเป็นและเป็นอยู่ผ่านการมองเห็นและรับรู้ทั่วๆไป เธอบอกว่าอย่าอาย ฉันจึงไม่เคยอายเวลาอยู่ต่อหน้าเธอ เราต่างรู้ว่าความรู้สึกเหล่านี้มันจะไม่มีทางดีขึ้น นอกจากเราจะขยันเยียวยามัน และฉันก็คงเยียวยามันไม่ได้ด้วยตัวเองเพียงลำพัง ฉันคิดว่ามันถึงเวลาของฉันแล้วที่ต้องพักการมีตัวตนที่ปราศจากชีวิตนี้ และฉันรู้ว่าสำหรับเธอ ฉันคือเพื่อน มิตรภาพ และคนรู้จัก เธอกล้าพูดว่า "นั่นเพื่อนฉันเอง เธอเก่งสุดยอด" ต่อหน้าคนอื่นๆ รู้ไหมว่ามันมีค่ามากที่เธอทำอย่างนั้นกับฉัน มันดีและแจ่มชัดในความทรงจำที่ฉันมี
ส่วนสำหรับฉัน เธอคือเพื่อนคนเดียวที่ฉันมี และรู้จัก เป็นเพื่อนคนเดียวของฉันไม่ว่าจะในโลกของคนเป็น หรือโลกของคนตาย จะในโลกของมนุษย์สามัญหรือในอีกโลกของคนที่วิเศษ ไม่ธรรมดาและเก่าแก่ โลกที่เธอรักและมันคือบ้านที่แท้จริงของเธอ ทั้งหมดนี้เธอคือคนที่ฉันให้ใจ คนที่กล้าพูดกับฉันในขณะที่คนอื่นเมินฉัน คนที่เข้าหาฉันท่ามกลางความขัดแย้งของผู้อื่น คนที่ยื่นมือมาสัมผัสฉัน และเป็นคนแรกที่ฉันสัมผัสและยื่นมือออกไปหาด้วยความเต็มใจและปราศจากข้อกังขาใดๆ คนที่ไม่สมเพชฉัน และเป็นคนเดียวที่ฟังคำพูดของฉันแม้ว่ามันจะไม่น่าฟังแค่ไหนก็ตาม ฉันจะคิดถึงเรื่องทั้งหมดนี้ในอีกโลกที่ไม่มีใครรบกวน แม้กระทั่งอาการเจ็บป่วยที่หัวใจก็จะไม่รบกวนฉันอีก มันคงจะดีถ้าเราได้นั่งเล่นด้วยกันและกินคุ้กกี้ข้าวโอ๊ตกับน้ำแอ๊ปเปิ้ลกันอีกครั้ง มันคือเมนูแรกที่เธอใช้มาสานมิตรกับฉัน เธอจะจำมันได้ไหม พวกเขาลบมันออกไปจากความทรงจำของเธอหรือเปล่า ฉังหวังว่าไม่เป็นแบบนั้น เพราะฉันไม่ต้องการคิดคนเดียวว่าเคยมีเพื่อนเล่น มันคงจะเดียวดายกว่าเดิมแน่ เพราะฉะนั้นได้โปรดจดจำมันเพื่อฉันด้วยเถอะนะ เหมือนกับที่เธอจดจำฉันในเรื่องที่ฉันเก่งอะไร และทำอะไรได้บ้าง เธอเป็นคนเดียวที่ยกย่องฉันอย่างเปิดเผย จริงใจ ชื่นชมฉันต่อหน้าคนอื่น ปกป้องฉันและงานของฉันเสมอมา บางครั้งฉันก็คิดว่าเธอจะทำแบบนี้ทำไม ทั้งที่เธอดูจะหงุดหงิดอยู่เสมอ แต่แล้วฉันก็เลิกคิด เพราะคิดได้ว่า เธอก็เป็นเธอ จะเป็นอะไรได้เล่า ดีจริงๆที่ฉันยังจำใบหน้าที่หงุดหงิดของเธอได้
ฉันคิดเสมอ ว่าวันที่ฉันตายจะมีใครนึกถึงฉันบ้างไหม แล้วฉันจะเป็นอย่างไรในความคิดของแต่ละคน พวกเขาจะคิดว่า นึกแล้วต้องเป็นแบบนี้, ไม่แปลกหรอก ก็แย่ซะขนาดนั้น, น่าสงสารจริงๆ, หรืออะไรก็ตาม แต่เธอเคยบอกกับฉันว่า "หากเธอตายไป โลกของเราคงขาดคนที่มีพรสวรรค์เรื่องอักษร มันน่าใจหายถ้าจะไม่มีใครทำได้แบบที่เธอทำ ฉันคงหนึ่งแหละที่จะคิดมากเกี่ยวกับเรื่องนี้" ตอนนั้นฉันดีใจและเหงามากที่เธอบอกกับฉันแบบนั้น ฉันคิดว่า ฉันจะสามารถทำสิ่งใดได้บ้างก่อนจากไป ในเมื่อฉันไม่มีใครให้ร่ำลา นอกจากเธอ ซึ่งฉันก็ดีใจที่อย่างน้อยฉันก็ได้มีคนให้ร่ำลา คนที่ไว้ใจได้ แม้เป็นเพียงคนเดียวแต่ก็เป็นคนเดียวที่ฉันวางใจ ฉันจึงตั้งใจเขียนจดหมายฉบับนี้ด้วยอักษรที่ฉันรัก ตั้งใจที่จะบอก บอกคนที่ฉันเชื่อใจ แม้บางเรื่องจะน่าโมโหแต่ก็รู้ว่าเธอคิดดีที่สุดแล้ว ฉันจึงขอบคุณเสมอ และขอโทษหากที่ผ่านมาฉันทำให้เธอไม่สบายใจ หรือหนักใจไม่ว่าจะเรื่องใดก็ตาม ได้โปรดให้อภัยฉันด้วยนะ
ไซย์ฉันรู้ว่าเธอจะเป็นคนที่จัดการทุกอย่างของฉัน รวมถึงร่างที่ไร้วิญญาณของฉัน มันอาจไม่สวยงามแล้ว ตอนที่เธอมาพบ ฉันจึงจะบอกเธออีกครั้งว่า ทุกสิ่ง ทุกอย่างของฉัน ฉันขอมอบให้เธอเป็นคนจัดการแต่เพียงผู้เดียว ตามแต่ที่เธอจะเห็นว่าเหมาะสมและสมควรแล้ว ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม แต่มีอยู่หนึ่งสิิ่งที่ฉันขอ ฉันรู้ว่าเธอจะต้องเผาร่างของฉัน ซึ่งฉันก็ต้องการแบบนั้น แต่ฉันจะขอให้เธอช่วยเก็บเถ้ากระดูกของฉันและนำไปฝังไว้ที่ใต้ต้นออซซี่ที่ฉันชอบไปนั่งอ่านหนังสือ ที่ที่เธอบอกว่าสวย มันตั้งตระหง่านอยู่ด้านข้างหอสมุดคิลส์ หอสมุดที่ฉันและเธอได้พบกันเป็นครั้งแรก มันคงจะดีถ้าได้กลับไปอีกครั้ง มันเป็นภารกิจที่ดีมากๆในตอนนั้น และที่นั่นก็ดีมากๆจริงๆ ฉันจะได้อยู่ไกล้ๆหอสมุด และอยู่ไกล้แม่น้ำ ป่าเขา เธอจะทำให้ฉันได้หรือไม่ ไม่ว่าจะตอนไหนหลังจากนี้ นี่คือสิ่งที่ฉันขอร้องเธอ และอีกเรื่องที่ฉันอยากให้เธอจัดการ ฉันขอมอบแผนที่เมซาร์คให้กับหอสมุดคิลส์ด้วยนะ ฉันได้แปลมันเป็นภาษาของปัจจุบันแล้ว มันจะมีค่าให้กับคนของหนังสือ คนของอักษร และคนของเรา เด็กของเราในอนาคต และอย่าทำเป็นเรื่องใหญ่นะ ทำอย่างสงบ (ฉันห้ามเธอได้อยู่ใช่ไหม) มันคงจะดีถ้าสักวันมีคนขอบคุณฉันที่ทำสิ่งนี้ให้ แม้ว่าฉันจะไม่อยู่แล้ว เพราะเมื่อฉันยังอยู่ คงยากนักที่คนแบบฉันจะได้ทำอะไรสมหวัง ฉันจึงขอฝากความหวังนี้ให้กับเธอคนที่ยังมีชีวิตอยู่ด้วยนะ
ท้ายสุดนี้ฝากขอบคุณเพื่อนรักของเธอ พ่อหนุ่มชาวคาตินซ์ ผู้ซึ่งช่วยเหลือฉันเรื่องค่าใช้จ่ายห้องพัก เขาอาจไม่ได้เล่าให้เธอฟังมาก แต่เขาช่วยฉันเอาไว้มากเลยนะ และนิสัยอบอุ่นมาก แม้ว่าจะน่ากลัวไปหน่อย ฉันคิดว่าคงดีถ้าได้รู้จักเขาเหมือนที่เธอรู้จัก และฝากขอบคุณคนที่ดูแลสถานที่ที่เธอพัก หมายเลข E ที่เข้าใจฉันและพูดคุยกับฉันอย่างเปิดเผย มองฉันเหมือนลูกสาว ฉันดีใจจริงๆ มันรู้สึกสายเกินไปเหลือเกิน ที่ได้รู้จักคนเหล่านี้ที่เธอนำพามาให้ฉันได้พบในตอนสุดท้ายของฉัน แต่ฉันก็ขอบคุณที่เขามองเด็กอย่างฉันเหมือนลูกหลาน และขอบคุณเธอนะไซย์สำหรับอาหารที่เธอทำให้ฉันได้อิ่มท้องในช่วงสุดท้ายของฉัน ขอบคุณน้าสาวของเธอที่อนุญาตให้ฉันได้กินและพักในห้องของเธอโดยไม่ว่าอะไร ขอบคุณสำหรับที่นอนและอื่นๆที่เธอแบ่งปัน ทั้งที่เธอลำบาก แต่เธอก็มีน้ำใจ ฉันขอให้สิ่งดีๆที่เธอมอบให้ฉันนี้ จงตอบกลับเธอในสักวันหนึ่ง เป็นคำขอบคุณของฉัน
ขออักษรที่รัก จงภักดีต่อเธอ เหมือนที่ฉันภักดีต่ออักษร ทุกอักขระนับจากนี้ขอจงแข็งแรง ปกป้องเธอ เหมือนที่ฉันปกป้อง-คุ้มครองทุกอักขระมาเนิ่นนาน หน้าที่ของฉันและของเธอมักผูกพันกับเหล่าอักษร ทั้งจากยุคนี้ และยุคที่ไม่อาจเอื้อมถึง ทั้งจากโลกที่สามัญ และโลกที่วิเศษ ขอจงเบิกทางในทุกที่ที่เธอต้องการ ฉันขอภาวนาให้เธอสมหวังในเรื่องที่ต้องทำ และภารกิจในอนาคต ขอความสุขที่เธอไม่อาจมีได้ ขอจงมีและเกิดขึ้นในรูปแบบที่เธอสามารถเอื้อมถึง
รักเธอสุดหัวใจ
ฉันจะคิดถึงเธอ
ด้วยอักษรที่รัก
เดอลี ซาร์
หรือ
-เดลล์ นามที่ไซย์เป็นผู้มอบให้
................................................................................................
ไซย์นั่งอ่านจดหมายอยู่บนเก้าอี้นอนของเชย์-หญิงสาวผมแดง
เธอบรรจงพับกระดาษ และใช้ปลายนิ้วรีดให้เรียบตามขอบมุมต่างๆของจดหมาย ก่อนจะเก็บเข้าซองตามเดิมแล้วนั่งถอนหายใจ ดวงตาของเธอแย่ลงในช่วงหลังนี้ ตัวหนังสือพล่าเลือนสีดำหนากว่าแต่ก่อนค่อนข้างมาก และยังปวดตาอีกต่างหาก มันทำให้เธออ่านหนังสือลำบากและเล่นเครื่องมือสื่อสารลำบากกว่าเดิม แต่ไซย์ก็ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคนี้ (คิดว่างั้นนะ) เธอลุกขึ้นยืนหยิบไม้เท้า แต่แล้วก็เลือกที่จะวาง ก่อนจะค่อยๆเดินออกไปจากห้องปรุงยานี้แล้วขึ้นไปบนดาดฟ้าด้วยลิฟต์
เธอชอบดาดฟ้าที่นี่
แล้วเธอก็ยืนร้องไห้ ค่อยๆร้อง แล้วก็เหงา เดียวดาย เธอกลัวโลกใบนี้ แต่ก็ต้องอยู่ กลัวหลายสิ่งแต่ก็ต้องอยู่ ขี้ขลาดและอ่อนแอ เธอลำบากแต่ก็ต้องอยู่ ทั้งที่เธอไม่ได้อยากอยู่เลย ไม่เลยแม้แต่น้อย เธอแค่ต้องอยู่เพื่อบางสิ่ง และใช้ชีวิตให้ปกติเหมือนคนทั่วไปในช่วงที่ยังพอมีเวลาให้ใช้ ใช้ให้เต็มที่เท่าที่สามารถ แม้ว่าเวลาที่มีมันอาจน้อยไปด้วยซ้ำสำหรับเรื่องที่ต้องทำ คนธรรมดาคงไม่อาจเข้าใจและรับรู้ แต่อย่างน้อยหลายคนที่ไม่ธรรมดาก็เข้าใจเหตุผลของคนที่อยากจะตายคนนี้ ว่าทำไมถึงต้องยังอยู่ คุณคงไม่มีสิทธื์จะมาต่อว่า หรือกล่าวหาไซย์ ว่าจะอยู่ทำไม มันลำบาก คุณมีค่าพอแล้วหรือที่จะมาบังคับและบงการให้คนอื่นตายไปซะเพียงเพราะอยู่ไปก็ทรมานน่ะ ทั้งที่ไม่ใช่ชีวิตของคุณด้วยซ้ำ
ไซย์เหงามาก และเหงามากขึ้น เธอไม่รู้เลยว่าการที่เพื่อนคนนี้ของเธอจากไปจะทำให้เธอเหงาและหดหู่ได้มากเท่านี้ คงเพราะสำหรับเพื่อนคนนี้ ไซย์คือเพื่อนรัก มันทำให้ไซย์รู้สึกแย่ แต่ก็เลือกที่จะมองออกไปสู่ที่กว้างบนดาดฟ้าแล้วสัญญาว่าเถ้ากระดูกของเพื่อนจะได้ไปอยู่ที่ใต้ต้นออซ ต้นนั้น ตามที่เพื่อนฝันเอาไว้
ชายหนุ่มคนหนึ่งเฝ้ามองอยู่เงียบๆตรงประตูทางเข้าของดาดฟ้า เพราะไม่กล้าที่จะเข้าไปหาเธอ จึงได้แค่มองอยู่ตรงนั้น จนเธอหันมาเห็นแล้วยิ้มให้ ก่อนจะกวักมือเรียกเขา เขาถึงเดินเข้าไปหา ไปไกล้เธอมากกว่าเดิมจากที่ยืนอยู่ก่อนหน้า
และเขากับเธอก็คุยกันบนดาดฟ้า
จบ ep.1
.........................................
ep.2 (ตอนจบ) ในอดีต (ฉบับรวบรัด) ของทั้งสอง....
เขาบอกว่าหล่อนเป็นผู้ร่วมงานที่มีอาการทางจิตใจ บ้างก็ว่ามีอาการหวาดระแวงเข้าขั้นเลวร้าย และแย่ลงเรื่อยๆ แต่เหตุผลที่เลือกหล่อนคือ ความสามารถ และหากว่าพวกเราสามารถยอมรับข้อเสียต่างๆของหล่อนได้ ก็จะร่วมงานกันได้และผ่านไปได้ด้วยดี เขาว่าอย่างนั้น
ไซย์สาวน้อยผู้ซึ่งมีผมสีดำและยาวถึงแค่กลางหลังในตอนนั้น กำลังนั่งขบคิดคนเดียวอยู่เงียบๆพลางนึกเกี่ยวกับบุคคลที่ถูกกล่าวถึง หล่อนคนนั้น.. ไซย์จะพูดอะไรได้ นอกจากคิดคนเดียวเงียบๆ ไม่ได้แสดงความคิดเห็นใดๆออกไปเช่นที่คนอื่นทำ เพราะแน่นอนว่าจิตใจเธอก็เจ็บป่วยเหมือนกันกับหล่อนคนนั้นนั่นแหละ.. และคงจะดีถ้าหากเข้ากันได้บ้าง ไซย์คิดคนเดียวก่อนจะจินตนาการรูปร่างหน้าตาของหล่อนต่อไป พลางหยิบขนมปังบูลดูย์ก้อนโตใส่ปากและเคี้ยวตุ้ยๆด้วยความหิว
หล่อนเป็นผู้หญิงที่ผอมบางกระดูกโปนและสูงกว่าไซย์ เค้าโครงหน้าวงรีปราศจากเครื่องสำอางและมีหน้าผากที่กว้างโดดเด่นสวยงาม ผมของหล่อนเป็นสีน้ำตาลอ่อนอมสีทองแก่ ผิวหนังสีครีมและค่อนไปทางซีดขาว ปากของหล่อนเล็กไปหน่อย จมูกโด่งและงองุ้มหายาก และเชื่อว่าอาจโดนล้อเลียนได้ง่ายถ้าต้องใช้ชีวิตอยู่อีกโลกหนึ่งที่แสนจะธรรมดาของคนทั่วไป ดวงตาของหล่อนเป็นสีเขียวหม่นหมองไม่สดใสและไม่กลมโตหรือโดดเด่นอะไร หล่อนทำผมโดยการรวบเป็นก้อนกลมๆกลางศรีษระซึ่งไซย์ไม่มีความรู้เรื่องทรงผมมากพอที่จะมีชื่อเรียกให้กับสิ่งนั้น หล่อนสวมเสื้อสีครีมซีดเก่าๆแบบถักมือหายาก เหมาะสมกับยุคเก่าแก่และงานที่ทำ มันมีแขนยาวถึงข้อศอก และผ้าคลุมไหล่สีเหลืองอ่อนมีลายลูกไม้เล็กๆซีดจางอยู่ประปราย หล่อนสวมกระโปรงยาวถึงเท้าและมีสีเดียวกับเสื้อ นั่นเป็นสิ่งที่ไซย์จำได้ในตอนนั้น ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ได้พบกัน
หล่อนเป็นคนสุภาพ ขี้อาย ไม่พูดไม่จากับใคร และไม่มีใครอยากพูดกับหล่อน ผู้ซึ่งจะมีอาการสะดุ้งจนตัวโยนได้ง่ายๆถ้าหากคุณทักหล่อน ไม่ว่าจะด้วยสำเนียงหรือน้ำเสียงแบบไหนท่ามกลางความเงียบ หล่อนผู้ซึ่งซ่อนตัวภายใต้กองหนังสือและกองเอกสารงานต่างๆที่ถูกตั้งขึ้นสูงรอบโต๊ะทำงานที่หล่อนยึดเอาไว้ใช้เพียงลำพังในห้องสมุด หล่อนจะพูดเมื่อถึงเวลาที่พวกเราต้องการจะฟัง และเมื่อถึงเวลางานที่ต้องใช้เสียง ส่วนมื้ออาหารแต่ละมื้อหล่อนจะขอตัวคนเดียวเงียบๆและไม่ร่วมโต๊ะกับใคร ยกเว้นมื้อแรกที่ได้พบกันเพราะมันคือมารยาททางสังคมของที่นี่ และแน่นอนว่าค่อนข้างอึดอัด ซึ่งหล่อนก็ได้ทำหน้าตาที่สื่อถึงความทรมานเป็นอย่างยิ่ง หลังจากนั้นวันต่อๆมาหล่อนก็ไม่เคยร่วมโต๊ะอาหารกับใครอีก ห้องนอนของหล่อนเป็นห้องเดี่ยวที่ไม่มีใครเดินผ่านเพราะอยู่ริมสุดทางเดิน นั่นหมายถึงทุกคนจะถึงห้องพักของตนก่อนจะได้เดินผ่านห้องของหล่อนนั่นเอง หล่อนมีอาการหลายอย่างที่สื่อถึงหัวใจที่เจ็บป่วยและสุขภาพจิตไม่ค่อยจะดีนัก แต่ถ้าเป็นเรื่องงานที่ได้รับมอบหมายและในส่วนของหล่อนที่ต้องทำนั้นคงต้องยอมรับ และชื่นชมได้เต็มปากว่ายอดเยี่ยม ไม่มีบกพร่อง
ทั้งหมดนี้ ไซย์จับตาและเฝ้าดูอยู่ตลอดเวลา พลางครุ่นคิดเพียงลำพังด้วยข้อมูลที่ได้จากการเฝ้ามองหล่อนด้วยตัวเองในทุกๆวัน ไซย์ยังไม่ได้พูดคุยกับหล่อนเพราะยังไม่ได้มีหน้าที่ตรงนั้น และแม้จะสามารถพูดทักทายกันได้ง่ายๆ แต่ก็เพราะหล่อนปิดกั้นให้คนอื่นออกห่างและแผ่รัศมีบางอย่างที่สื่อถึง ได้โปรดอย่าทักฉันและปล่อยยฉันไปเถิด ไซย์ผู้ซึ่งไวต่อความรู้สึกต่างๆของผู้คนจึงไม่เคยได้ทักทายหล่อนนอกจากยิ้มให้ เพราะเกรงว่าจะทำให้หล่อนอึดอัดกว่าเดิม
และวันที่ทักทายหล่อนก็ได้มาถึง หลังจากครุ่นคิดอยู่นานไซย์ก็เริ่มมีความมั่นใจมากขึ้นว่าต้องเข้าหาหล่อนให้ได้ คนอื่นอาจมองว่าแปลกต่อเรื่องนี้ แต่สำหรับไซย์ผู้ซึ่งเป็นคนแปลกอยู่แล้วมันจึงไม่แปลกอะไรสำหรับการหาเพื่อนใหม่ หรือได้เรียนรู้ที่จะพูดคุยกับสิ่งมีชีวิตใหม่ๆแบบนี้
.......................................
เล่าว่า
"ห้าวันเต็มๆกว่าเธอจะยอมพูดกับฉัน" ไซย์หัวเราะ "นึกถึงตอนนั้นแล้วฉันอยากวางแผนใหม่และเริ่มไปทักทายเธอใหม่ เชื่อเถอะว่ามันจะไม่ใช้เวลาถึงห้าวันแน่นอน"
"ต้องยอมรับว่าเธอเหมือนปีศาจร้ายตัวเล็กๆในตอนนั้น ฉันกลัวเธอมากเลยนะ และเริ่มอยากจะจบงานให้ไวกว่าเดิมด้วยซ้ำ"
"แต่เธอก็ติดฉันแจในที่สุดนะ" ไซย์หัวเราะอีกครั้ง
........................................
เรื่องราวอย่างย่อในห้าวัน (ฉบับรวบรัด)
วันแรก - ไซย์ยื่นความไว้วางใจให้หล่อนด้วยขนมคุ้กกี้ข้าวโอ๊ตแสนอร่อยอบใหม่หกชิ้น (ที่แอบหยิบมาจากในครัวของดุ๊กซี่ย์ ไวท์ แม่ครัวประจำของที่นี่) วางเรียงในจานสีขาวลายลูกไม้ พร้อมกับน้ำแอปเปิ้ลเย็นสดชื่น แต่ถูกหล่อนปฎิเสธด้วยการก้มหัวให้เป็นเชิงขอบคุณแต่ไม่รับ ก่อนจะรีบเข้าไปซ่อนตัวในโต๊ะทำงานที่หล่อนยึดเอาไว้ เป็นตัวในสุดในห้องสมุดที่มีชั้นวางหนังสือสูงตั้งรายล้อมเป็นกำแพงปกป้องหล่อนจากสายตาของผู้คน ไซย์จึงจัดการคุ้กกี้ในจานและซดน้ำแอปเปิ้ลเสียงดัง โดยไม่ได้คิดอะไรเพราะไม่ได้คาดหวังตั้งแต่แรก ก่อนจะไปเติมน้ำอร่อยเพิ่มอีกแก้วและตั้งใจว่าวันนี้จะไม่กดดันหล่อนมาก แค่จะยิ้มกว้างๆให้หล่อนทุกครั้งที่เจอสำหรับวันนี้ก็คงจะพอ
วันที่สอง - ไซย์ทักทายระหว่างทางเดินไปห้องสมุด (ตั้งใจตื่นเช้ามายืนรอเลยนะ) และถูกหล่อนปฎิเสธด้วยการก้มหัวทักทายอย่างลุกลี้ลุกลนและตัวสั่นเมื่อได้เห็นไซย์ก่อนจะรีบเดินจากไป แต่ไซย์ก็วิ่งตามเบาๆไม่เร่งรีบก่อนจะบอกว่าเที่ยงนี้ตนจะเข้ามาทำงานในห้องสมุด อยากได้อะไรไหมจะได้หามาให้ไม่ว่าจะเป็นขนม อาหาร น้ำดื่ม หรือของที่จะใช้ทำงานเพิ่ม หรือวานให้พูดให้บอกอะไรกับใครก็ยังได้นะ (เอาสิ) แต่หล่อนกลับตัวสั่นยิ่งกว่าเดิมและรีบเดินหนีจากไซย์ให้ไวที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไซย์จึงหยุดเดินและคิดว่าอาการแบบนี้คือหวาดระแวงผู้คนและกลัวการสื่อสาร เธอเข้าใจดีเพราะลิ้มรสมาบ้างแล้ว ถ้าเช่นนั้นก็ไม่ควรพูดรัวใส่หล่อนหรือยัดเยียดความเป็นมิตรให้
ว่าแล้วไซย์ก็หันหลังกลับพร้อมกับคิดทบทวนเรื่องใหม่ๆโดยการแบ่งเรื่องไว้ที่สมองส่วนซ้าย และแบ่งเรื่องหล่อนไว้สมองส่วนขวากับแบ่งเรื่องอาหารเช้าไว้ที่สมองส่วนกลาง ก่อนจะเพิ่มอาณาเขตออกไปจนแทนที่ส่วนซ้ายและขวาในที่สุด
ช่วงเที่ยงไซย์ขึ้นมาพร้อมกับถาดอาหารขนาดเล็ก และมีจานพุดดิ้งรวมถึงน้ำแอปเปิ้ลสองแก้ว ก่อนจะวางลงบนโต๊ะของหล่อน แต่หล่อนไม่อยู่ อาจหลบซ่อนอยู่เพราะรู้ว่าไซย์จะมาในเวลานี้ ไซย์เลือกจะเรียกชื่อหล่อนเบาๆและบอกว่า มีของว่างมา วางที่โต๊ะ ก่อนจะขอตัวไปหาหนังสือแถวๆนั้นด้วยท่าทางสบายๆอย่างกันเอง จนไม่นานนักหล่อนก็ออกมา ไซย์เห็นด้วยหางตาจึงทำเป็นเดินผ่าน แบบที่ไม่มองหล่อน หล่อนสะดุ้งและตกใจแต่เมื่อเห็นไซย์ไม่ได้มองตนแม้แต่น้อยก็เลยไม่รู้สึกกดดันมาก ไซย์เลือกจะทำเป็นกันเอง ง่ายๆ ไม่มอง ไม่จ้อง เมื่ออยากพูดก็ตะโกนถามถ้าอยู่ไกล และเดินไปหาเพื่อดื่มน้ำแก้วที่สองของตน ถามข้อมูลหล่อนเกี่ยวกับหนังสือ โดยพยายามไม่มองหน้าหล่อนราวกับไม่สำคัญ มันค่อยๆเป็น-ค่อยๆไป บางครั้งเธอวานหล่อนให้ช่วยหา (ทั้งที่รู้ว่าอยู่ตรงไหน) ชมหล่อนบ่อยๆเหมือนไม่ได้ตั้งใจ และอื่นๆ
แม้หล่อนจะหลบหนี และทำงานไม่ราบรื่นเพราะมีปีศาจตัวน้อยๆอย่างไซย์อยู่ในห้องเดียวกันนี้ และแม้ว่าห้องจะใหญ่มาก แต่ก็ต้องคอยลุ้นว่าไซย์จะโผล่มาตอนไหน นั่นทำให้หล่อนอยู่ไม่เป็นสุข ถึงแม้ว่าไซย์จะไม่ก้าวก่ายและไม่ทำให้อึดอัดมากก็ตาม
วันที่สาม - ยังคงเหมือนวันที่สอง แต่มีงานภาคสนาม ต้องออกข้างนอก และไซย์ก็คอยอยู่กับหล่อนโดยทำเป็นไม่ได้ตั้งใจยืนข้างๆ คอยปกป้องและพูดแทน กับไม่เซ้าซี้หรือถามหล่อนมาก ไซย์รู้จักคนแบบหล่อนดีว่าต้องทำอย่างไรจึงจะเข้าหาได้ดี จนถึงช่วงนั่งพักไซย์ก็เลือกมานั่งกับหล่อน นั่นทำให้หล่อนกังวลและอยากร้องไห้ แต่ไซย์ก็รู้ดีแล้วรีบพูดโดยทำเป็นไม่สังเกตุเห็นใบหน้าที่เปลี่ยนสีเพราะความอึดอัดของหล่อน ไซย์เล่าถึงความเหนื่อยของตนเองเหมือนไม่รู้ตัว เหมือนกับบ่นคนเดียว "เฮ้อ เหนื่อยจัง ขาของฉันไม่ค่อยแข็งแรงและมันเดินมากเกินไปแล้วด้วย" ก่อนจะเล่าแบบไม่มีน้ำหนักถึงความเจ็บป่วยของตนเอง แต่เสริมกำลังใจว่าต้องทำเต็มที่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ฮึบๆ!
หล่อนมองปีศาจตัวน้อยๆตรงหน้าด้วยแววตาไคร่รู้ อยากพูด อยากถาม แต่ปากมันก็สั่นไปหมด ไซย์สังเกตุเห็นเพียงเล็กน้อยแล้วทำเป็นพูดว่า "รู้อะไรไหม ฉันน่ะ..." แล้วก็เข้าทางของไซย์ เมื่อหล่อนตั้งใจฟัง และเริ่มถามคำถามบ้างเล็กน้อย
ไซย์ก็ดีใจ ที่ทำให้คนขี้เหงา ขี้อาย กล้าพูดกับตน หล่อนจะรู้ตัวไหมนะว่าไซย์กำลังช่วยเหลืออยู่น่ะ
พอช่วงค่ำไซย์หาโอกาสพูดกับทุกคนให้เข้าใจหล่อน ผ่านมุมมองของไซย์ ไม่ใช่ผ่านดวงตาของแต่ละคน เมื่อแต่ละคนฟังไซย์อธิบายและเล่าในแบบของไซย์ ทุกคนจึงเริ่มตระหนักและเข้าใจหล่อนมากขึ้น ก่อนเข้านอนไซย์ไปเคาะประตูห้องหล่อนก่อนจะเรียกชื่อว่าตนมาหาและขอถามความคิดเห็นเรื่องงาน หล่อนเปิดประตูให้เคลื่อนออกเล็กน้อยพอให้มองเห็นดวงตาข้างเดียวของหล่อน
วันที่สี่ - ดีขึ้น ทานข้าวด้วยกันเงียบๆทุกมื้อ
วันที่ห้า - ดีขึ้น ทานข้าวด้วยกัน และมีพูดคุยเล็กน้อย
วันที่หก ยอมคุยด้วยแบบคนปกติ ปกติจริงๆเลยนะ เริ่มจาก หล่อนทักทายไซย์ก่อนด้วยการยิ้มให้แล้วพูดว่า
"วันนี้มี..."
"ที่..."
"เธอต้องการ...แบบใหม่ เพื่อให้มันง่ายขึ้นไหม.."
"ฉันจะทำให้..."
โอวววเย่ส์ ไซย์ร้องในใจและพยายามทำเป็นกันเองเหมือนเดิม ไม่ทำอะไรตื่นเต้นที่เห็นหล่อนพูดด้วย และแน่นอนว่าการฟังเสียงของหล่อนผ่านหูทั้งสองข้างของตนมันช่างแปลกใหม่ แต่ไม่นานหรอกมันคงชิน หลังพักไซย์และหล่อนนั่งคุยกัน และเล่นกัน เกมส์จากโลกของคนสามัญที่ไซย์พอรู้และชวนเล่น ตอนแรกหล่อนยังขัดเขิน ต่อมาก็ร้องวี้ดว้ายจนไซย์อิจฉาว่าจะสนุกอะไรขนาดนั้นน่ะ
ไซย์ชี้ต้นออซต้นนั้นว่าไปเล่นที่นั่นกัน มันสวยเหมือนในนิทานเลย หล่อนจึงได้หันไปมองเป็นครั้งแรกและตกหลุมรักมันทันทีที่เห็น จึงเลือกให้เป็นที่ประจำของหล่อนในการทำงานง่ายๆ คิด เขียน และพักผ่อน ไซย์ก็ชอบเช่นกัน
วันหนึ่งไซย์เล่าเกี่ยวกับตนเองที่ใต้ต้นออซ และแบ่งปันเรื่องราวเศร้าๆในมุมมองของตน พร้อมกับนั่งฟังฝ่ายตรงข้ามเล่าถึงชีวิตตนเองด้วยความเขินอาย ไม่ประติดประต่อ แต่ไซย์ก็สามารถจิตนาการต่อช่วงที่ขาดๆเกินๆได้ด้วยความสามารถเฉพาะตัว
ไซย์ได้รู้ว่าตนคือคนแรกที่ได้พูดคุยกับหล่อนแบบนี้ และได้ฟังอะไรที่ถือว่ามากสำหรับหล่อนที่จะพูดออกมาให้ใครสักคนฟัง หล่อนให้เหตุผลว่า ความพยายามเข้าหาตัวหล่อนจากไซย์ทำให้หล่อนมองเห็นบางอย่าง และพยายามพิจารณาจนเริ่มใจอ่อนแม้หวาดกลัวปีศาจตัวเล็กๆแบบไซย์ แต่มันสนุกมากที่่ได้พูดคุยและได้ทำอะไรที่เรียกว่า ''เล่นด้วยกัน'' ไซย์สอนให้หล่อนรู้จักคำนี้ และหล่อนก็ชอบ
........................................
"เดลล์ ฉันเรียกเธอว่าเดลล์ก็แล้วกันนะ เพราะว่ามันง่ายกว่าการเรียกว่า เดอลี คือหมายถึงง่ายกว่านิดหน่อยน่ะ" ไซย์พูดขึ้น
"อืม แล้วแต่เธอสิ ไม่มีใครเคยตั้งชื่อเล่นให้ฉันแบบสนิทกันมาก่อนเลย" หล่อนบอก
"ก็มีแล้วนี่ไง เดลล์"
หล่อนยิ้มเขินอายให้ไซย์แล้วก้มหน้าก้มตาทำงานต่อไป
........................................
หลังจากภารกิจเสร็จสิ้น ไซย์ก็เดินทางกลับบ้าน
เรายังต่างเชื่อมต่อกันด้วยความพอดี ไม่มากเกินหรือน้อยไป จดหมายที่ส่งถึง อีเมลที่ส่งถึง กับร่วมงานกันเป็นบางครั้งหรือหนุนงานให้กันเป็นบางที จนเมื่อถึงจุดเปลี่ยนในชีวิตของไซย์ที่ต้องละทิ้งหลายสิ่งในอีกโลกหนึ่ง และอาศัยอยู่ในอีกโลกที่ปกติธรรมดาของคนทั่วไป การเชื่อมต่อจึงบางเบาลง แต่ไม่สั่นคลอนแม้แต่น้อย เพราะเราต่างมีจุดที่เข้าใจและเหมือนกัน เรารู้ว่าอีกฝ่ายต่างปิด และเปิดตรงไหนในหัวใจของกันและกัน
.........................................
ความเจ็บป่วยที่จิตใจ
ไม่มีใครอยากเจ็บป่วยที่จิตใจหรอก คุณเรียกมันว่าอะไร ความซึมเศร้าหรือ จิตใจที่บาดเจ็บ ไม่ว่าจะอย่างไหนมันก็คือหัวใจหนึ่งดวงของคนหนึ่งคนที่กำลังป่วยทางความรู้สึก แต่ละคนมีความรุนแรงที่แตกต่างกันไป บางคนเรื่องราวอาจเล็กน้อยแต่ความรุนแรงมาก บางคนเรื่องราวมากมายแต่ความรุนแรงน้อย บางคนสู้ไหวทั้งที่เรื่องราวก็มาก ความรุนแรงทางความรู้สึกก็มาก บางคนสู้ไม่ไหวแม้เรื่องราวจะน้อยก็ตาม มันเพราะอะไรเหรอ? เพราะสิ่งรอบตัวไม่เหลืออะไรให้เยียวยา.....
เดอลี ซาร์ หรือที่ไซย์ตั้งชื่อเล่นให้ว่า เดลล์
เป็นสาวน้อยคนหนึ่งที่เจ็บป่วยทางจิตใจตั้งแต่ยังเด็ก เดลล์ปราศจากความรักของพ่อแม่ และไม่ได้เติบโตมาในที่ที่ดีนัก และใช้ชีวิตเพียงลำพังคนเดียวตั้งแต่อายุสิบสามปี เดลล์หวาดกลัวผู้คนและไม่ชอบพูดคุยกับใคร เก็บตัวเงียบและขี้อาย เดลล์ตื่นตกใจง่ายกับทุกสิ่งใหม่ๆและหวาดระแวงเรื่องราวใหม่ๆว่าจะนำพาสิ่งใดมา รวมถึงการสนทนาใหม่ๆว่าจะนำความรู้สึกใดมาสู่ตน กลัวว่าทุกคนจะไม่ชอบและรังเกียจ กลัวทุกสิ่งและอ่อนไหวกับทุกอย่าง เดลล์เก็บตัวอยู่ในห้องพักโทรมๆที่ไม่เคยออกไปไหนไกล นอกจากซื้อของใช้ในร้านสะดวกซื้อหลังเที่ยงคืนที่คนน้อยและบางตา เดลล์ผู้เหงาและเดียวดาย เปล่าเปลี่ยวและซึมเศร้า เธอมักจะรับงานผ่านอีเมลและเครื่องมือเก่าๆโบราณของเธอภายในห้อง ทำและส่งภายในห้อง เดลล์ออกไปทำธุระหรืองานภายนอกได้แต่ต้องทานยาหลายชนิดเพื่อรวบรวมความกล้าต่อการเจอผู้คน เดลล์ผู้น่าสงสาร เธอมีความสามารถมากมายและเก่งหลายด้านเกี่ยวกับตัวอักษรทั้งเก่าและใหม่ ทั้งจากยุคนี้และยุคก่อน เดลล์รักงานนี้มาก เธอรักงานเขียน และอยู่เบื้องหลังงานต่างๆมากมายแต่ไม่เคยได้รับการยกย่องแม้ทุกคนจะรู้และทราบ ก็ใครจะอยากยกย่องคนที่เอาแต่หลบซ่อน คนที่จิตป่วย เดลล์มักคิดแบบนี้และน้อยใจเสมอมา
เดลล์ร้องไห้บ่อยมากในระยะหลัง และอาการก็ทรุดลงเรื่อยมา เดลล์รับรู้และคิดว่าคงอีกไม่นาน เดลล์คิดแบบนี้เสมอและมักจะพูดกับไซย์ ที่ยึดเหนี่ยวแห่งเดียวของทุกโลกที่เดลล์อาศัยและเกี่ยวข้อง ไซย์คือเพื่อนคนแรกและคนเดียวที่เดลล์รักและให้ใจ ด้วยความที่ไซย์ก็มีหัวใจที่เจ็บป่วยเหมือนกันและมีเรื่องราวร้ายๆมากกว่า เดลล์จึงถือว่านี่เป็นกำลังใจและเป็นตัวอย่าง แม้เดลล์ต้องการหลายอย่างจากไซย์ แต่ก็ไม่กล้าที่จะเอ่ย หรือบอกว่าไซย์คือเพื่อนคนเดียวที่เดลล์มี เพราะเดลล์รู้ว่าไซย์มีเพื่อนรักอยู่แล้ว จึงพอใจที่ได้เป็นแค่เพื่อนที่ดีของไซย์เท่านั้น
แต่ไซย์ก็ไม่เคยทอดทิ้งเดลล์ ทุกครั้งที่รับรู้ ไซย์จะพยายามช่วยเท่าที่จะทำได้เสมอมา แต่เพราะเดลล์มีความคิด คิดว่าไม่กล้าที่จะใช้ชีวิตต่อ มันผุดขึ้นในใจเสมอ และบ่อยครั้ง เดลล์ร้องไห้บ่อยขึ้นและไซย์ก็เป็นที่พึ่ง ทั้งเรื่องงาน และเรื่องอาหารในตอนสุดท้ายของชีวิตเดลล์ เดลล์ออกภายนอกเพื่อไปพักอยู่กับไซย์และ ได้เดินทางไปทำงานในที่ที่ไกลแสนไกล ก่อนจะล้มเหลวกลับมา นั่นคือจุดเปลี่ยนให้เดลล์จม และดิ่งลงสู่ความมืด รอบตัวเดลล์เปล่าเปลี่ยว ไม่มีสิ่งใดช่วยเยียวยาเดลล์ได้อีกแล้ว ไม่มีบ้าน ไม่มีครอบครัว แม้แต่ไซย์ก็ยังไม่อาจช่วยความรู้สึกที่เหมือนดิ่งลงเหวนี้ได้ ทำไมหัวใจถึงได้กลวง เป็นช่องว่างขนาดนี้ มันลึกและไม่สามารถหาสิ่งใดมาเติมเต็มได้ ทุกอย่างดูสวนทางกับเดลล์ เมื่อเดลล์ไม่รู้จะแก้ไขปัญหาชีวิตอย่างไร อย่างไรที่ไม่ต้องพึ่งพาคนที่กำลังลำบากเช่นไซย์ เดลล์มองดูไซย์เจ็บป่วยและเดินลำบาก แต่ยังคงต้อนรับและปลอบใจเดลล์ที่ไปหา พร้อมมอบอาหารมื้อสุดท้ายให้เดลล์ จากนั้นเมื่อเดลล์กลับห้องพักของตน เดลล์ก็ตัดสินใจได้ เกี่ยวกับชีวิตของตน....
.........................................
กลางดึกที่ไซย์นอนไข้ขึ้นและทุกข์ทรมานอยู่นั้น สายตาได้มองเห็นใครคนหนึ่งนั่งอยู่ปลายเตียง
"เดลล์หรอ.. มาแล้วหรอ.. มาดึกจัง หิวไหม? มีอาหารในตู้เย็นนะ จัดการได้เลย.."
เดลล์ไม่ตอบกลับไซย์ นอกจากยิ้มให้ ไซย์มองดูเพื่อนสาวด้วยความมึน งง และสับสนเพราะพิษไข้
"มีอะไรหรือเปล่าเดลล์" ไซยเค้นเสียงถามออกไป
"ขอบคุณนะไซย์ ขอบคุณสำหรับอาหารมื้อสุดท้าย มันอร่อยมาก.. เธอทำอาหารอร่อยเสมอเลย"
"ไม่หรอก.. บางครั้งก็ไม่อร่อยนะ ถ้าไม่ได้ชิมเองน่ะ" ไซย์ตอบกลับเดลล์
ไซย์นอนพลิกไปมาอีกครั้งก่อนจะเรียกหาเดลล์ที่เงียบไป แต่กลับไม่เห็นเพื่อนสาวแล้วนอกจากผู้ชายวัยกลางคนที่กำลังช่วยไซย์เช็ดตัว ไซย์จึงถามว่าเห็นเพื่อนสาวของเธอหรือไม่ แต่เขากลับตอบเธอว่า ไม่เห็นและไม่มีใครมาทั้งนั้น ทั้งหมดเป็นอาการเพ้อปกติ เวลาที่เธอมีไข้ขึ้นสูง ตอนนั้นเองที่ไซย์เข้าใจและคิดได้ก่อนจะลุกขึ้น และพูดว่า "ช่วยพาฉันไปหาเดลล์ที"
.........................................
ตอบจบ
ร่างของเดลลี ซาร์ นอนนิ่งด้วยความสงบ
ไซย์ได้จัดการทุกอย่างด้วยแรงกายที่มี ส่วนแรงใจไซย์ไม่ได้ใส่ใจมากนักว่ามีเท่าไหร่ คนเรามักทำอะไรได้เกินตัวเสมอนั่นแหละ คิดอย่างนั้นแล้วไซย์ก็ทำทุกสิ่งต่อไป
ไซย์ได้ฉีดยาเพื่อไม่ให้ร่างกายของเดลล์เน่าเปื่อย และฉีดยาที่ไม่ทำให้ร่างกายของเดลล์แข็งจนเกินไป ไซย์ถอดเสื้อผ้าที่เปรอะเปื้อนคราบน้ำลายและอาเจียน รวมถึงปัสสาวะและอุจจาระตัวเก่าของเดลล์ออกและยัดใส่ถุงขยะสีดำ จากนั้นชายหนุ่มคนหนึ่งก็เข้ามาช่วยไซย์โดยการอุ้มร่างที่เปล่าเปลือยของเดลล์ขึ้นมา และพาไปห้องน้ำในห้องของเดลล์ ก่อนที่ไซย์จะทำความสะอาดร่างกายของเดลล์ด้วยการอาบน้ำให้สะอาดเท่าที่จะทำได้ (ไซย์ไม่ได้เลือกวิธีเช็ดตัวเพราะหลายสาเหตุ ไม่ขออธิบายเพราะน่าจะเดากันได้) จากนั้นชายหนุ่มที่คอยอยู่ก็ช่วยอุ้มร่างที่เปล่าเปลือยของเดลล์ขึ้นมาอีกครั้งก่อนจะพาไปที่เตียงนอน ซึ่งตอนนี้ปราศจากคราบสกปรกก่อนหน้าแล้ว เนื่องจากหญิงสาวผมแดงคนหนึ่งได้ดึงผ้าปูเตียงออกและจัดการที่เหลือด้วยความรวดเร็ว ชายหนุ่มวางร่างของเดลล์ลงบนเตียง จากนั้นไซย์ก็เช็ดตัวเดลล์ ก่อนจะไปหารื้อเสื้อผ้าในลังที่ยังไม่ได้เปิดตอนย้ายเข้าหอพักมา และในตู้เสื้อผ้า แต่ก็ยังไม่ถูกใจจนถูกทักว่าให้รีบเร่ง
แต่เพราะไซย์ยังมีขาที่ไม่แข็งแรงและทำอะไรไม่สะดวกมากนักจึงล่าช้า ชายหนุ่มที่ยืนมองอยู่จึงเข้ามาช่วยแล้วถามไซย์ว่าต้องการเสื้อผ้าชุดไหนหรือเปล่า ไซย์ตอบว่าต้องการตัวสีครีมเก่าๆที่ถักมือแบบยุคเก่าๆ กับผ้าคลุมไหล่สีเหลือง แล้วก็กระโปรงสีครีมที่ยาวๆถึงข้อเท้า เมื่อไซย์อธิบายจบ หญิงสาวผมสีแดงก็เอ่ยขึ้นให้รู้ว่าอยู่ตรงไหน ชายหนุ่มจึงจัดการหาแทนไซย์ที่ยืนสั่นไหวไปมา เมื่อได้แล้วทั้งไซย์และหญิงสาวผมแดงก็ช่วยกันสวมใส่เสื้อผ้าให้เดลล์จนเรียบร้อย จากนั้นไซย์จึงหวีผมให้เดลล์อีกครั้งก่อนจะจัดร่างกายของเดลล์ให้นอนหงายอย่างสงบนิ่งบนเตียง
ไซย์นั่งลงข้างๆร่างที่ไร้วิญญาณของเพื่อนสาว มองดูผิวที่ซีดจนเป็นสีขาวอมเทา ร่างกายที่ผ่ายผอม ดวงตาที่ดูโปนภายใต้เปลือกตาที่หุ้มปิดอยู่ และเล็บที่มีสีเขียวคล้ำอมม่วง
จากนี้ก็รอเคลื่อนย้ายศพของเดลลี ซาร์
ไซย์คงต้องพึ่งพาพ่อของชายหนุ่ม เพราะคิดว่าไม่มีทางไหนจะสะดวกและเรียบร้อยดีที่สุดแล้ว อีกอย่างเดลล์เองคงจะดีใจ ถ้าคนที่เคยรู้สึกดีด้วยในช่วงสั้นๆมีส่วนช่วยในเรื่องนี้ ไซย์จะต้องจัดการของทุกอย่างของเดลล์และอื่นๆ ไซย์คิดว่าตัวเองเหนื่อยล้าและทุกข์ใจมาก แต่ไซย์ก็กลับนั่งอยู่เฉยๆ
ก่อนจะมีมือมาแตะที่ไหล่เบาๆ ไซย์เงยหน้าขึ้นไปมอง ก่อนจะน้ำตาไหล และมันก็ไหลไม่หยุด จากมือที่แตะไหล่เบาๆ ก็กลายเป็นการกอดจากข้างหลังที่หนักแน่น นี่คงเป็นกำลังใจสินะ กำลังใจแบบที่เดลล์ไม่อาจมี ยิ่งคิดไซย์ก็ยิ่งเจ็บปวด เจ็บปวดจนอ้อมกอดนั้นเริ่มร้อนฉ่า
..............................................
เดลล์สั่งเสียในจดหมายว่าต้องการให้นำเถ้ากระดูกของเธอไปฝังไว้ที่ใต้ต้นออซของหอสมุดคิลส์ ไซย์ยืนพูดบนดาดฟ้า ชายหนุ่มรับฟังก่อนจะพูดว่าที่นั่นคงสวยงามมาก และคงอยู่ไกลมาก มันคงมีค่าในความทรงจำสำหรับเดลล์ใช่ไหม ไซย์ยิ้มก่อนตอบว่า อืม มันไกลแสนไกลมากเลย แถมยังสวยงามมากเลยนะ มันเป็นที่ที่ฉันกับเดลล์รู้จักกันเป็นครั้งแรกน่ะ ชายหนุ่มหลับตาและลองจินตนาการก่อนเอ่ยว่า ตัวเขาคงไม่มีทางได้เห็นสถานที่นั้น ไซย์จึงบอกว่า ไม่มีอะไรแน่นอนหรอก ชายหนุ่มคงอยากแย้งตรงๆว่า มันไม่ใช่ที่สำหรับคนสามัญแบบเขามากกว่า แต่ก็คงไม่กล้า ซึ่งไซย์ก็คิดว่าดีแล้ว เพราะตอนนี้ยังไม่เหมาะสมนัก
ไซย์คิดเสมอว่า เดลล์ไม่ได้รักตน นอกจากรู้สึกดีด้วย ทั้งที่เดลล์นั้นรักเสมอมา แต่ไม่กล้าพูดและขออะไรมากจากไซย์ ไซย์จึงรู้สึกอ้างว้างและคิดว่าตนนั้นทำไม่ดีพอกับเดลล์
.............................................
ณ หอสมุดคิลส์
จดหมายฉบับเร่งด่วนถูกส่งมาจากปีศาจตัวเล็กๆที่มีชื่อเสียง นามว่า ไซย์ลี่ หรือเรียกสั้นๆว่า ไซย์ มันถูกผลึกด้วยตราเฉพาะของเธอ หลังจากดิรอยด์ผู้นำสูงสุดของคิลส์แกะจดหมายออกจากซองด้วยมือที่สั่นเทา ทันทีที่อ่านจบเขาก็อุทานด้วยความตกใจระคนเสียดาย พลางคิดว่าหนุ่มสาวยุคนี้ทำไมถึงคิดอะไรง่ายนักในเรื่องของความตาย
ภายในหอสมุดคิลส์ ผู้คนต่างสวมชุดดำ และผนังสำหรับจารึกทั้งในและนอกปราสาทตอนเหนือถูกประดับด้วยอักขระสวยงามที่มีความหมายว่า "ระลึกถึง เดอลี ซาร์ ผู้สร้างและคุ้มครองอักขระของยุคเรา" และที่ทางเข้าหอสมุด ภาพวาดสีน้ำ ที่วาดอย่างเร่งด่วนถูกทำขึ้นและประดับไว้หน้ากำแพงจารึก มันคือภาพของ เดอลี ซาร์ พร้อมประวัติและผลงานหลักๆของเดอลีที่ถูกเขียนอยู่ข้างใต้รูป
เดอลี ซาร์ วัย 25 ปี
.
ผู้ช่วยสร้างอักขระรอมมัล ปี 2002
ผู้ช่วยแปลและถอดความอักษรรูนระดับแปด
ผู้ที่อยู่เบื้องหลังการคิดค้นวิธีสร้างแผนที่เซ้าค์มอลติน 2011
ผู้ถอดความบทฮันซาร์ที่มีอายุ สองพันปี
ผู้ที่ริเริ่มวิธีคิดเลขด้วยอักษรมีร์อย่างย่อ
ผู้ที่อยู่เบื้องหลังการแปล-แก้ไขแผนที่ต่างๆมากมาย เช่น
-แผนที่ปราสาทเดอลาฟรอนซ์ จากฉบับดั้งเดิมเป็นภาษาปัจจุบัน
-แผนที่หอสมุดคิลส์จากภาษาดั้งเดิมเป็นภาษาปัจจุบัน
-แผนที่อารยธรรมของชนเผ่านาร์
-แผนที่หอดูดาวและศาสตร์มืดของ เนท รีมัส
และอื่นๆที่ไม่ได้กล่าวถึง
ทั้งยังเป็นหนึ่งในผู้ร่วมทำภารกิจ โดซัคร์ ของ ฟาร์ยัว ร่วมกับไซย์ลี่และทีมของคิงส์
ทั้งยังร่วมแปลและถอดความสำคัญของหนังสือเรียนสำหรับนักเรียนรุ่นเยาว์ ตลอดเรื่อยมา
รวมถึงผลงานอื่นๆที่ไม่ได้กล่าวถึง
(ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นได้เพราะไซย์ ก็จะใครอีกล่ะ..)
ไซย์คิด และตั้งใจที่จะให้เป็นแบบนี้ แม้จะต้องบังคับขู่เข็ญกันก็ตาม แน่นอนว่าในจดหมายที่ไซย์เขียนถึงหอสมุดคิลส์นั้น มีคำขอ และข้อบังคับที่ไซย์ขอร้องให้ทำโดยให้เหตุผลที่อาจทำให้คนที่เป็นความดันโลหิตสูงอย่างดิรอยด์ มีความเสี่ยงที่ความดันจะขึ้นสูงไปอีกหน่อยหลังจากอ่านจดหมายจบ
ไซย์ยังแนบข้อความและรายละเอียดผลงานของเดลล์มาพร้อม ซึ่งต้องขอบคุณเพื่อนเก่าแก่ ณ หอสมุดแห่งหนึ่งที่ช่วยเรียบเรียงให้อย่างเร่งด่วน มันคงจะดี ถ้าการจากไปของเดลล์มีความสำคัญ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเดลล์ถูกมองข้ามเพราะหลายอย่าง ทั้งความเจ็บป่วย สถานะ และไม่มีพื้นฐานทางสังคม เดลล์อาจสร้างมันได้หากไม่กลัวผู้คนตั้งแต่ตอนแรกที่เริ่มทำงาน แต่เดลล์กลับไม่ทำ ไม่ยอม ไม่สร้างฐานสังคม เหมือนกับที่สร้างผลงาน มันจึงทำให้เดลล์อยู่ในที่แคบด้วยความน้อยใจ หลายผลงานที่ไม่มีชื่อเดลล์เพียงเพราะเดลล์ไม่เรียกร้องไม่ได้แปลว่าไม่ต้องการ หากแต่เดลล์ไม่กล้า ชื่อของเดลล์ไม่เคยโดดเด่นเลย แม้หลายงานจะมีชื่อ แต่หลายงานก็กลับไม่เปิดเผย มันอาจถูก เพราะบางภารกิจจะไม่เปิดเผยรายชื่อผู้ที่ทำภารกิจ แต่อย่างน้อยตอนนี้ไซย์ก็ได้ทำให้เดลล์มีชื่อในที่ที่ควรจะมี มีหลายคนพูดว่า คนนี้เองเหรอที่เป็นคนทำ... คนนี้เอง.. ออใช่ๆ... และอื่นๆหลังจากนั้นไม่นาน รวมถึงยังมีหอสมุดอื่นๆอีกหลายที่ ที่ร่วมรำลึกถึง เดอลี ซาร์ ดั่งที่ไซย์วางแผนเอาไว้ แถมยังดีเกินคาดเพราะไซย์ตั้งใจทำแค่เพียงหอสมุดคิลส์เท่านั้น แต่มันก็ดีแล้ว มันสมควรอย่างยิ่งที่-ที่อื่นก็ควรรับรู้ เพื่อนเก่าที่เคยทำภารกิจด้วยกันก็มีส่วนช่วยในเรื่องนี้เช่นกัน ต้องขอบคุณพวกเขาที่มีน้ำใจต่อเดลล์ ถ้าเดลล์รับรู้คงดีใจ ต้องดีใจอยู่แล้ว
.............................................
"เฮ้ออออ เสร็จสักที" ไซย์ถอนหายใจยืดยาว แล้วใช้นิ้วมือที่เย็นเฉียบกดลูกตาที่แสนจะปวดร้าวเบาๆทั้งสองข้าง ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างๆถามขึ้น "เขียนเรื่องของเดลล์เหรอ ทั้งๆที่สายตาเธอแย่ลงมากขนาดนี้มันไม่ควรมานั่งจ้องจอคอมแบบนี้เลย แถมยังหยอดตาบ่อยมากเพราะมันปวดใช่มั้ย" ไซย์ฟังชายหนุ่มที่นั่งข้างๆพูดกับตน เขาพูดมากขึ้นนะช่วงนี้ ซึ่งก็ถือว่าดี "ก็ฉันอยากรีบบันทึกเรื่องราวของเดลล์ให้เป็นที่จดจำ ก่อนจะพักสายตายาวๆจากนี้" เขาพยักหน้าและมองหน้าเธอ เธอถามว่ามีอะไร เขายิ้มแล้วตอบว่า "เปล่า แค่แปลกใจที่มองหน้าเธอนานๆได้แล้วก็เท่านั้น" ไซย์ได้ยินแบบนั้นจึงหัวเราะตอบเสียงดัง
ก็คงเพราะเวลามันเดินหน้า อะไรๆมันก็ต้องเปลี่ยนจากเดิม
.
.
.
©salinsiree
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in