เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
สนธิสัญญาฟลามิงโกSALMONBOOKS
02
  • นานมากแล้วที่ฉันไม่ได้มาไลฟ์เฮาส์นี้และไม่ได้ดูโชว์วงของทอนน์ แต่เนื่องจากเรากำลังอยู่ในช่วงฟื้นฟูความสัมพันธ์ ทอนน์เลยนึกครึ้มชวนฉันมา ส่วนฉันก็นึกครึ้มตอบตกลง

    “ปกติเราไม่ค่อยได้เล่นเพลงนี้เท่าไหร่ แต่วันนี้เป็นวันพิเศษ เลยอยากจะชวนพวกเราไปขึ้นหอคอยกัน...” วรรคทองพูดเข้าเพลงของโชนยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลงจนไม่อาจเชื่อได้ว่านี่คือวันพิเศษ แต่อย่างน้อยก็ขอบคุณที่พวกเขาเล่นเพลงโปรดของฉัน หอคอย เป็นเพลงยุคแรกๆ สมัยที่พวกเขายังเป็นวงดนตรีนักศึกษาและทำอัลบั้มแบบเบดรูม สตูดิโอ เรื่องราวของเพลงเกี่ยวข้องกับหอคอยแห่งหนึ่ง สูง ห่างไกล สงบเงียบ

    หลายชีวิตจึงใช้มันเป็นสถานที่ฆ่าตัวตาย ซึ่งนั่นทำให้ทางการออกกฎห้ามไม่ให้ใครขึ้นไปบนหอคอยนั้นลำพัง แต่แทนที่จะแก้ปัญหาได้ ปรากฏว่ามันกลับเป็นสถานที่ฆ่าตัวตายยอดฮิตของคู่รักแทน เพราะเพียงแค่พวกเขาจูงมือกันไปเป็นคู่ ประตูแห่งความตายก็จะอนุญาตให้พวกเขาเข้าไปใช้ความสูงปิดฉากชีวิตตัวเองในที่สุด หอคอยแห่งนี้ก็ต้องปิดตาย ห้ามไม่ให้ใครขึ้นไปอีกเลย

    ทอนน์แต่งเพลงนี้ เป็นเพลงแรกและเพลงเดียวตลอดชีวิตการเป็นนักดนตรี เขาเคยถามเซ้าซี้เอากับฉันว่าหาเรื่องราวอะไรมาเขียนได้มากมาย ในขณะที่เขาไม่สามารถเขียนเพลงใหม่ได้อีกเลย ฉันถามกลับว่าแล้วเขาแต่งเพลงนี้ได้ยังไง แมวเทาตอบว่าเขาดูรายการวาไรตี้ท่องเที่ยวต่างแดน พิธีกรซึ่งเป็นลาบราดอร์หนุ่มร่างบึ้กพาไปดูหอคอยแห่งนี้และเล่าประวัติให้ฟัง เรื่องราวแสนสั้น แต่เขากลับสามารถเขียนออกมาเป็นเพลงได้อย่างพรั่งพรูและสวยงาม ถึงมันจะไม่ใช่เพลงฮิตโด่งดัง แต่ก็ทำให้เขาได้รับคำชมไม่น้อย ในฐานะมือเบสที่เขียนเพลงได้น่าสนใจ

    “ผมดูรายการนี้ตลอด ทุกวันนี้ก็ยังดูอยู่ แต่ก็ไม่มีเรื่องที่ทำให้อยากเขียนเพลงอีกเลย”
  • อันที่จริง ฉันแนะนำอะไรได้ไม่เต็มปากนักหรอก เพราะหลังจากรวมเรื่องสั้นที่พอจะทำให้ฉันเป็นที่รู้จักในฐานะนักเขียนอยู่บ้าง ฉันก็ไม่มีผลงานเรื่องแต่งออกมาอีก โชคดีที่งานบรรณาธิการและงานสัมภาษณ์อนุญาตให้ฉันบอกใครต่อใครที่ถามถึงได้ว่า “ไม่มีเวลา” นิยายเล่มแรกที่ไม่มีอะไรคืบหน้าแม้กระทั่งพล็อตเรื่องจึงไม่มีใครนึกห่วงใยมันจริงจังนัก

    โชว์จบแล้ว โชนเดินมาทักฉันสั้นๆ ก่อนจะผละไปกับแมวสาวหน้าสวยตัวใหม่ ฉันเคยนึกสงสัยว่าถ้าทอนน์เป็นฟรอนต์แมนที่สาวๆ กรี๊ด เราอาจทะเลาะกันในเรื่องที่ดูเข้าท่าและจับต้องได้มากกว่าที่เป็นอยู่ไหม แต่ในเมื่อมันไม่ใช่ ฉันทำนายได้เลยว่าอีกห้านาทีคงต้องเถียงกันว่าจะไปกินข้าวร้านไหน เพราะเราต่างบอกว่าอะไรก็ได้ แต่มันไม่เคยง่ายสักที

    อ้อ ลืมไป เรากำลังอยู่ในช่วงหวานชื่นนี่นา จะมาทะเลาะกันเรื่องไร้สาระได้ยังไง ฉันเสนอร้านโปรดของทอนน์เป็นการยอมอ่อนข้อ ทอนน์ก็ตอบตกลงง่ายดายเพื่อลดปัญหา ช่างเป็นการใช้เวลาร่วมกันอย่างราบรื่นน่าประหลาดใจ จนฉันต้องนึกหาเรื่องมาชวนคุยเพื่อสานต่อบรรยากาศดีๆ

    “วันก่อนไปคาเฟ่นึงมา” ฉันเริ่มเรื่องเล่าที่ติดอยู่ในใจ “จำซอยข้างๆ โรงหนังได้มั้ย ที่เคยขับรถเข้าไปแล้วมันเป็นซอยตัน”

    “จำไม่ได้ ซอยไหนนะ” ทอนน์ตอบไปอย่างนั้นพร้อมกับท่าทางที่ดูลุกลี้ลุกลน ฉันรู้ว่าเขาพยายามอย่างยิ่งที่จะแนบเนียน และฉันก็เบื่อตัวเองเหลือเกินที่จับพิรุธเล็กจิ๋วของเขาได้ทุกครั้ง ดังนั้นต่อให้อธิบายว่าซอยที่ว่าอยู่ตรงไหน เขาก็ไม่มีทางได้ยิน ฉันจึงเลือกยกแก้วเบียร์ขึ้นจิบทำไม่รู้ไม่ชี้แทน
  • แล้วก็ใช่ ทอนน์รับโทรศัพท์และขอออกไปหน้าร้านบอกว่าน้องในวงเอาของมาให้ ฉันเอออออย่างไม่สนใจก่อนจะเห็นเขาเดินกลับมาพร้อมช่อดอกมิโมซ่าเฉาๆ ช่อหนึ่ง แมวเทาทำหน้ายิ่งกว่าเขินตอนส่งมันให้ฉัน แล้วรีบลงนั่งราวกับคิดว่าสัตว์ทุกตัวในร้านกำลังมองมาที่เรา

    “น่ารักมากเลย” รู้ตัวเลยว่าฉันยิ้มกว้างมาก และขำหน้าพิลึกของเขาจนต้องหัวเราะออกมา

    “ไม่กล้าให้ที่ไลฟ์เฮาส์ เหี่ยวหมดเลย”

    “ขอบคุณค่ะ เดี๋ยวเอาใส่แจกันก็ฟื้นแล้ว ชอบมากเลย

    “ขอบคุณค่ะ” ฉันเริ่มพูดวนไปวนมาท่ามกลางยิ้มกว้าง เห็นไหมว่าการทำให้ฉันกลายเป็นแมวน่ารักมันง่ายนิดเดียว

    “เมื่อกี้คุณจะเล่าอะไรนะ” ทอนน์ทัก

    “อืมมมม ไม่รู้สิ ลืมไปแล้ว” ฉันยกเบียร์ขึ้นจิบอีกครั้ง เปิดโอกาสให้ทอนน์เล่าเรื่องรายวันและความคิดเห็นต่อสิ่งต่างๆของเขาไป แต่ก็ไม่วายแอบชำเลืองช่อดอกไม้ที่วางอยู่เก้าอี้ข้างๆ เวลาเขาหันไปทางอื่น

    หลังจากกลับบ้าน ฉันรีบช่วยชีวิตดอกไม้ด้วยการเอามันใส่โหลแก้วเติมน้ำ และนึกถึงเรื่องที่ตั้งใจจะเล่าให้ทอนน์ฟังอีกครั้ง

    เขาชอบบ่นว่าฉันไม่ค่อยเล่าอะไรให้ฟัง ซึ่งนั่นเป็นเพราะฉันไม่ค่อยชอบการพูดคุยทางโทรศัพท์ และถ้าตั้งใจจะเล่าเมื่อเจอหน้าแล้ว หากมีอะไรขัดจังหวะนิดหน่อย ฉันมักจะคิดว่า หรือมันเป็นเรื่องที่ไม่ควรถูกเล่านะ แม้เรื่องจะเล็กน้อยและไร้สาระแค่ไหน ถ้าโลกไม่อยากให้ฉันเล่า มันก็อาจจะมีเหตุผลบางอย่างก็ได้
  • แต่ตอนนี้ไม่มีอะไรมาขัดจังหวะ คงไม่มีเหตุผลที่ฉันจะเล่าให้คุณฟังไม่ได้ใช่ไหม

    เมื่อสองสามวันก่อน ฉันไปรับบรีฟกับลูกค้าที่เอเจนซี่ คุยงานเสร็จก็ตั้งใจจะดูหนังสักเรื่อง พอเช็กรอบแล้วดันเหลือเวลาว่างเปล่าอีกตั้งสามชั่วโมง เลยคิดว่าจะหาคาเฟ่นั่งสะสางความยุ่งเหยิงก่อนเข้ากล่องดำสักหน่อย ฉันตัดสินใจลองเดินลึกเข้าไปในซอยตันข้างโรงหนัง เพราะคุ้นๆ ว่ามีคาเฟ่ที่เพิ่งอ่านเจอในแม็กกาซีน แล้วฉันก็ได้พบกับบรรยากาศเก๋ไก๋ไร้ชีวิตชีวาจนต้องถอดใจ แต่พอคิดจะหันหลังกลับ ฉันก็เหลือบไปเห็นป้ายเล็กๆ แขวนอยู่หน้าตรอกแคบที่มีต้นตีนตุ๊กแกไต่กำแพงจนเขียวครึ้ม

    ‘Flamingo Cafe’

    ความรู้สึกแรกคือแปลกใจ ฟลามิงโกไม่ใช่อะไรที่จะเข้ากับกาแฟ คาเฟ่ ขนมเค้ก หรือโคเวิร์กกิ้ง สเปซได้เลย ถ้าบอกว่าเป็นโรงเรียนสอนเต้นรำหรืออะไรทำนองนี้จะดูเข้าท่ากว่า แต่ฉันก็เลี้ยวซ้าย ขวา และซ้ายอีกครั้งตามลูกศรจิ๋วไป จนมาถึงบ้านทรงปราสาทขนาดย่อมท่ามกลางต้นไม้ร่มรื่นที่เหมือนหลุดมาจากนิทานเด็กสักเรื่อง หัวใจฉันพองโตเหมือนทุกครั้งที่เดินดุ่มไปยังสถานที่แปลกหน้าและค้นพบอะไรซึ่งเกินไปจากความคาดหมาย รู้ตัวเลยว่าฉันยิ้มนิดๆ ตอนผลักประตูไม้บานใหญ่เข้าไป และผงกหัวรับคำทักทายจากฟลามิงโกที่เคาน์เตอร์บาร์

    “ยินดีต้อนรับครับ อลิซ” ฟลามิงโกในแว่นทรงกลมและหูกระต่ายสีโกโก้ทักฉัน

    “ฉันแน่ใจว่าไม่ได้มุดลงมาในโพรงกระต่ายนะคะ” ฉันรับมุกวรรณกรรมคลาสสิก Alice in Wonderland ที่ตัวเอกเป็นกระรอกน้อยหลุดเข้าไปในดินแดนมหัศจรรย์เพราะมุดเข้าไปในโพรงกระต่าย ฟลามิงโกหัวเราะและกลับมาสวมบทบาทที่ควรจะเป็น

    “รับอะไรดีครับ”

    “ขอเวียนนาคอฟฟี่ค่ะ” หลังกวาดตาที่บอร์ดเมนูอยู่สักพักฉันก็ตัดสินใจเลือก

    “The Cat with the Cream” ฟลามิงโกแซว ก่อนจะง่วนกับการทำกาแฟโปะวิปครีมมาเสิร์ฟให้ฉันที่โต๊ะข้างหน้าต่าง และปล่อยให้ฉันใช้เวลาไปกับความเงียบที่น่าพอใจ
  • หลังใช้โควต้าละเลียดและรื่นรมย์จนหมดแก้ว ฉันเริ่มต้นเช็กอีเมลรอบบ่ายและเปิดอ่านจดหมายของเจ้านายเก่าจากแท็บเล็ต แกเขียนมาชวนให้ช่วยทำสัมภาษณ์นักธุรกิจใหม่ไฟแรงผู้หนึ่งที่กำลังจะเปิดตัวกิจการโรงไฟฟ้าพลังงานความลับ ไม่มีรายละเอียดอะไรมากกว่านี้ สิ่งที่ฉันต้องทำคือไปตามวันเวลานัดเพื่อพบกับคุณรัตติ วิริยะ ฟลิทช์ ฟลามิงโกหนุ่มนักธุรกิจผู้นั้น

    ฟลามิงโกอีกแล้ว นี่มันวันฟลามิงโกเหรอเนี่ย

    ในท้ายอีเมล นายจ้างที่น่ารักหยอดมาว่า ฉันน่าจะสนใจเรื่องนี้และทำมันได้ดี หากมีประเด็นน่าสนใจที่ต้องขยาย สามารถขอเพิ่มหน้าได้ตามชอบใจ ก่อนทิ้งท้ายด้วยเดดไลน์ที่เร่งวันตายสมชื่อเช่นเดิม

    ฉันเสิร์ชชื่อฟลามิงโกรัตติลงในกูเกิล มีผลการค้นหาไม่มากนัก ประมาณว่าเป็นหนุ่มนักเรียนนอกนามสกุลดัง โปรไฟล์การทำงานไม่ชัดเจนเท่าไหร่ แต่ภาพข่าวงานสังคมเก๋ๆ ที่ปรากฏภาพนายฟลามิงโกทำให้ฉันต้องประหลาดใจ เพราะถึงฟลามิงโกจะหน้าคล้ายกันไปหมด ฉันก็มั่นใจว่าบาริสต้าที่เสิร์ฟกาแฟให้ฉันคือนายรัตติไม่ผิดตัวแน่!

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in