เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
เที่ยวยุโรปแบบเหนือฟ้าBANLUEBOOKS
Gstaad: A Romantic Getaway
  • ใครๆ ก็ว่าสวิตเซอร์แลนด์เป็นประเทศโรแมนติก ภูเขาสูงเทียมเมฆ ยอดคลุมด้วยหิมะขาว ทะเลสาบนิ่งใสแจ๋วราวกระจก ป่าทึบมีอยู่ใกล้ให้สัมผัสได้ทุกชุมชนแม้กระทั่งในเมืองใหญ่ เนินเขาหญ้าเขียวขจีโปร่งโล่งสบายตา มองไปทางไหนก็มีแต่ธรรมชาติพิสุทธิ์อย่างไม่น่าเชื่อว่าจะมีอยู่จริง สวยเหมือนสวรรค์จนตกหลุมรักและต้องมากับคนรัก แต่ถ้าถามฉันว่าที่ไหนในสวิตโรแมนติกแบบที่ควรหนีไปพลอดรักกันแค่สองคนในวันพิเศษจริงๆ ละก็ ตอบว่าที่นี่เลย ‘ชตาด (Gstaad)’ หมู่บ้านสกีเล็กๆ น่ารักขนาดกำลังได้อารมณ์ชิดใกล้และเอ็กซ์คลูซีฟ

    เพราะชตาดหรูเริ่ดจึงให้ความรู้สึกพิเศษสมกับโอกาสที่มีกันและกันของสองเรา

    เพราะชตาดมีสปาชั้นเลิศมาตรฐานก้องโลกของสวิตที่ช่วยปรนนิบัติให้อารมณ์เคลิ้มยิ่งขึ้นไปอีก

    เพราะชตาดมีร้านอาหารติดดาวมิชลินให้ดินเนอร์ใต้แสงเทียนประทับใจแบบไม่มีวันลืม

    เพราะชตาดมีแหล่งชอปปิ้งแบรนด์ระดับพรมแดง เช่น แอร์เมส มอนเคลอร์ โชพาร์ด หลุยส์ วิตตอง และอื่นๆ อีกมากมายให้เขาแอบซื้อของขวัญเป็นบิ๊กเซอร์ไพรส์คุณ

    และเพราะชตาดมีสกีที่สะดวกสบายสุดๆ ชนิดที่ว่าสกีแล่นออกจากล็อบบี้โรงแรมได้เลย ไม่ต้องเหนื่อยแบกอุปกรณ์ขึ้นกระเช้า ให้คุณและเขาเริงร่าหิมะสีขาวโพลนไปบนภูเขาลูกแล้วลูกเล่า เหมือนสวรรค์ทั้งสรวงเป็นของคุณเพียงสองคน

    _____________________
    ในหนังสือเล่มนี้เมื่อต้องการพูดถึงชื่อประเทศสวิตเซอร์แลนด์แบบย่อ จะใช้คำว่า ‘สวิต’ แต่เมื่อใช้เป็นคำคุณศัพท์ (Adjective) ขยายนาม เช่น คนสวิส จะใช้คำว่า ‘สวิส’ (Swiss)
  • อืม...เหมือนกำลังบรรยายฉากรักในนิยายคุณหญิงคุณชายเลย แต่ชตาดเป็นอย่างนั้นจริงๆ เมืองเล็กหรูทางตะวันตกเฉียงใต้ในเขตแบร์นีสเซอะ โอเบอร์แลนด์ (Bernese Oberland) ที่ความสูงระดับ 3,000 เมตรนี้เป็นเมืองสกีที่ต่างไปจากเมืองสกีอื่นของสวิตเซอร์แลนด์ตรงความหรูเริ่ดนี่แหละ ปกติคนสวิสจะใช้ชีวิตแบบเรียบง่ายสมถะ ถึงมีเงินมากขนาดไหนก็อยู่กันเรียบๆ ไม่มีชนชั้น เขาจะใช้ของดี มีคุณภาพจริงๆ แต่ไม่บ้าของหรู ของมียี่ห้อ

    คนสวิสรักธรรมชาติและรักการออกกำลังกายที่ได้ใช้เวลาอยู่กับธรรมชาติ สกีจึงเป็นกิจกรรมที่ชาวสวิสแทบทุกคนชื่นชอบ และเป็นกิจกรรมง่ายๆ ที่มาได้ประจำ ไปเช้าเย็นกลับเป็นเรื่องธรรมดา เสาร์อาทิตย์ก็จะพากันขับรถขึ้นเขาไปสกีซึ่งมีอยู่มากมายใกล้บ้าน แต่ชตาดนั้นพิเศษตรงที่เป็นหมู่บ้านสกีที่มีทุกอย่างสำหรับการพักผ่อนครบในตัว เหมาะแก่การมาค้างคืนอย่างน้อยสักหนึ่งคืน เพื่อพักผ่อนหย่อนใจในหมู่บ้านที่แสนจะน่ารักเป็นของแถมนอกเหนือจากการมาสกี
  • มุมพักผ่อนในโรงแรม

    หน้าประตูโรงแรมที่สามารถสกีเข้าออกได้เลย
  • ในวันหยุดสุดสัปดาห์หนึ่งที่พิเศษจนต้องฉลอง ฉันจึงจองโรงแรมสองคืนศุกร์เสาร์ แล้วขับรถเวลาเย็นหลังเลิกงานมุ่งหน้าไปชตาดพร้อมอุปกรณ์สกีที่ท้ายรถ จากซูริกขับรถไปสองชั่วโมงครึ่ง พ้นเบิร์นเมืองหลวงมาหน่อยก็แยกออกจากไฮเวย์ใหญ่ เส้นทางเริ่มผ่านหมู่บ้านน่ารักๆ ตามทางเลาะไปในแนวเทือกเขาใหญ่ จนเข้าเขต Saanenwald หรือกลุ่มเทือกเขาที่เป็นแหล่งสกีทั้งแถบของชตาด

    เมืองที่ฉันเลือกพัก จริงๆ น่าจะต้องเรียกว่าเป็นหมู่บ้านมากกว่าคือซาเน็นเมอเซอร์ (Saanenmoser) อยู่ก่อนถึงชตาดเพียงเจ็ดนาที มีสถานีรถไฟใจกลางหมู่บ้าน แต่โรงแรมที่ฉันเลือกคือ Saanewald lodge ต้องขับรถไต่เขาขึ้นไปอีกนิดหน่อยจากหมู่บ้านด้านล่าง ที่เลือกที่นี่เพราะเป็นโรงแรมบูทีคขนาดไม่ใหญ่ อยู่ตรงกลางเขาซึ่งเป็นสโลปสกี จึงสามารถสกีเข้าออกจากหน้าประตูโรงแรมได้เลย ไม่ต้องเหนื่อยแบกอุปกรณเ์ ดินลยุ หิมะแล้วไปเข้าคิวซื้อตั๋วขึ้นลิฟต์แบบคนทั่วไป เพราะตั๋วก็สามารถซื้อได้จากล็อบบี้โรงแรมนับว่าสะดวกปูพรมมากๆ

    ด้วยความสะดวกแบบนี้แหละ ฉันจึงชอบเลือกพักโรงแรมในหมู่บ้านรอบๆ ชตาดที่อยู่บนเขาสกี มากกว่าที่จะพักโรงแรมในตัวชตาด เพราะจริงๆ แล้วทุกยอดเขามีลิฟต์เชื่อมกันหมดถึง 62 ตัว จะพักหมู่บ้านไหนก็สกีไปสำรวจทุกเขาถึงกันได้หมด ถ้าหากว่ามีเวลานะ เพราะระยะทางที่สกีได้ของทุกเขากระจุกนี้รวมกันแล้วยาวถึง 250 กิโลเมตรทีเดียว แล้วพอสกีเสร็จค่ำๆ ค่อยแต่งตัวสวยเข้าไปดริ๊งค์หรือกินข้าวในตัวหมู่บ้านของชตาด หรือเก็บบางวันไว้ชอปปิ้งก็ได้ ถ้าอยู่ในชตาดก็จะสกีได้ไม่สะดวกเท่า เว้นเสียแต่ว่าใครจะไปเที่ยวแบบเอาบรรยากาศหนาวหรูอย่างเดียวแต่ไม่สนสกีก็อีกเรื่องหนึ่ง นอกจากหมู่บ้านซาเน็นเมอเซอร์แล้วก็ยังมี Schonried ติดๆ กันที่สามารถสกีได้อย่างสะดวกเหมือนกันและอยู่ติดกับชตาดเลย
  • อุตส่าห์มาถึงคืนวันศุกร์ทั้งที ขอประเดิมฉลองด้วยดินเนอร์พิเศษเสียเลย ฉันจองร้านอาหาร Chesery ซึ่งมีดาวมิชลินหนึ่งดวงเอาไว้ ร้านนี้เป็นโรงทำชีสเก่าอันเป็นที่มาของชื่อร้าน เป็นหนึ่งในสามร้านติดดาวมิชลินของชตาด ถือเป็นร้านหรูเด็ดที่สุดสำหรับการฉลองมื้อพิเศษที่เมืองนี้ และเนื่องจากชตาดเป็นเมืองหรูไฮโซ ในร้านจึงมีแต่เศรษฐีฝรั่งแต่งตัวจัดเต็มเสื้อผ้าหน้าผมเครื่องประดับ ซึ่งปกติจะไม่ค่อยเห็นภาพแบบนี้ในสวิตเท่าไรเพราะคนสวิสส่วนใหญ่มักแต่งตัวง่ายๆ เรียบๆ ไม่ชอบอวด

    ร้านนี้ถึงจะได้ดาวมิชลินแต่อาหารไม่ได้เป็นอาหารฝรั่งเศสหรือโมเลคูล่าร์ ควีซีน (Molecular cuisine) ที่สร้างสรรค์สุดโต่ง และไม่ได้เสิร์ฟเป็นจานจิ๋วๆ อย่างร้านมิชลินอื่นๆ แม้จะสั่งเป็นอาหารชุดที่เชฟจัดมาเป็นคอร์ส (Degustation) คอร์สของที่นี่ก็เสิร์ฟจานใหญ่กว่าที่อื่นๆ และออกเป็นแนวอาหารสวิส ก่อนสั่งเขาจะยกถาดเบ้อเริ่มมีปลากุ้งและอาหารทะเลสดๆ นานาชนิดเรียงอย่างสวยงามมานำเสนอ จึงรู้ได้ว่าจานทะเลคงเป็นจุดเด่นของร้าน เราสั่งเป็นคอร์สมาชิมหลายๆ อย่าง อร่อยได้มาตรฐานมิชลินแต่อิ่มจนจุก จานหลังๆ เลยอร่อยน้อยลงไปหน่อย ส่วนเรื่องการนำเสนอนั้นเฉยๆ ไม่มีอะไรตื่นเต้นหวือหวา จึงนับว่าเป็นมื้อมิชลินที่เรียบๆ ไปนิดนึง

    เช้าวันเสาร์ลืมตาตื่นขึ้นมา มองออกไปนอกหน้าต่างเห็นแต่หิมะขาวโพลน ท่วมตั้งแต่หน้าต่างไล่ขึ้นเขาไปเลยทีเดียว ต้นไม้ในป่าหลังห้องก็ถูกปกคลุมด้วยหิมะขาวไปหมด แต่แดดจ้าฟ้ากระจ่างชวนให้สดชื่นคึกคักมาก นอนละเลียดชมวิวในเตียงอุ่นๆ อย่างมีความสุขอีกนิดหน่อย แล้วก็อดไม่ไหวต้องรีบกระโดดขึ้นแต่งตัว เพราะอยากออกไปโลดแล่นบนสโลปเขาเต็มที อาหารเช้าเสิร์ฟในห้องอาหารตกแต่งแบบสวิสชาเล่ต์ จิบคาเฟ่มัคคิอาโต้ร้อนๆ แก้วโตกับครัวซองต์อุ่นๆ หอมๆ ตามด้วยชีสจากภูเขาของสวิตและฟรุตสลัดเติมพลังเพื่อให้พร้อมพบกับความสนุกของวัน


  • แต่งตัวอุ่นครบเครื่องในชุดสกี ด้านหลังล็อบบี้โรงแรมมีห้องเก็บอุปกรณ์สกีที่มีล็อกเกอร์แถมให้ใช้ เราเข้าไปเปิดหยิบอุปกรณ์ที่เตรียมไว้ตั้งแต่คืนก่อน เดินออกมาไม่กี่ก้าวก็ถึงประตูหน้าโรงแรม หิมะขาวรออยู่หน้าปากประตู เราวางสกีลง กระโดดขึ้นใส่ แล้วก็ไถลแล่นปรื๊ดออกไปเลย อะไรจะสะดวกสบายสุโขสโมสรปานนั้น ไม่ต้องเหนื่อยเดินแบกอุปกรณ์หนักๆ ในรองเท้าบู๊ตโตๆ ให้ไกล เรียกว่าเป็นโรงแรมที่ ‘สกีอิน สกีเอาท์’ จริงๆ
  • ไถลสกีออกจากประตูโรงแรมไปแค่ไม่กี่ทีก็พุ่งเข้าสู่กลางสโลปเขาทันที จะเลือกสนุกสกีต่อลงไปด้านล่างเลยก็ได้ หรือจะขึ้นกระเช้าที่จ่ออยู่ตรงนั้นขึ้นเขาให้สูงไปอีกก็ได้ เราเลือกขึ้นเขาสูงต่อไป เพราะศึกษาแผนที่มาแล้ว และวางแผนกันว่าจะขึ้นไปสกีสำรวจเขาหลายๆ ลูกข้างบน ขอบอกว่าสโลปที่นี่กว้างถึงใจมากๆ ยอดเขามากมายหลายยอดมีหิมะคลุมหนาต่อเนื่องเป็นผืนเดียว มีทั้งเครือข่ายลิฟต์ กระเช้า และรอกลาก จนสามารถสกีไปถึงกันได้หมด กว้างขวางจนเราต้องวางแผนล่วงหน้า เพราะกลัวเก็บไม่ครบว่าจะไปเล่นที่ยอดไหนบ้าง แวะกินมื้อกลางวันที่ยอดไหน หรือลงไปสำรวจหมู่บ้านอื่นๆ ทางอีกฝั่งของเขาบ้าง เรียกว่ามีให้เลือกตามความชอบและความยากง่ายในการสกี แค่เริ่มก็สนุกแล้ว

    อีกอย่างที่ดีคือ เขาแต่ละลูกที่เราแล่นเล่นกันทั้งวันนั้น มีจำนวนนักสกีไม่เยอะเลย ทั้งๆ ที่เป็นช่วงไฮซีซั่น เพราะที่นี่มีบริเวณกว้างมาก มีภูเขาติดๆ กันหลายลูกทำให้นักสกีกระจายกันออกไป ฉันจึงยิ่งสนุกมากขึ้นไปอีกเพราะเหมือนทั้งภูเขาเป็นของเราคนเดียว จะไถลอย่างไรก็ได้ไม่ต้องเกรงใจใคร แต่ที่เป็นประสบการณ์ใหม่และทำให้ตื่นเต้นที่สุดคือ ทางสกีแล่นผ่านเข้าไปในหมู่บ้าน ไถถลาลงจากเขามาแล้วก็แล่นฉิวทะลุชมหมู่บ้านได้เลย สามารถวิ่งตัดผ่านข้ามถนน มุดลอดใต้สะพานรถไฟ เหมือนเดินเล่นชมหมู่บ้านเล็กๆ แต่เราแล่นไปบนสกีแทนที่จะเดิน หรือจะเรียกว่าเป็นอารมณ์สกีชมเมืองแทนที่จะสกีบนเขาก็ได้ เป็นประสบการณ์แปลกใหม่ที่ไม่เคยนึกว่าจะได้ทำ

    วันนั้นเลยได้ทั้งสกีแถมด้วยการชมหมู่บ้านใกล้เคียง และได้สำรวจเขาหลายลูกที่อยู่ติดๆ กัน ได้เปลี่ยนลิฟต์ไปทางโน้นทางนี้หลากหลาย แทนที่จะสกีซ้ำๆ เส้นทางเดียวอย่างที่อื่น กลางวันเราแวะในกระท่อมร้านอาหารบนยอดเขาลูกหนึ่ง อาหารอร่อยและได้จิบกลูไวน์ร้อนๆ สบายใจสบายท้อง ที่สวิตเซอร์แลนด์นี่ต้องยกนิ้วให้เรื่องอาหารการกินและที่พักสำหรับกิจกรรมนอกบ้าน

    ไม่ว่าจะสกี เดินป่า บุกเขา แลดูห่างไกลบ้านเมืองอย่างไรก็จะต้องมีร้านอาหารอร่อยคุณภาพดี สะอาดสะดวกสบายไม่ต่างจากในเมือง ห้องน้ำห้องท่า ที่พัก ไม่ต้องกังวลเลย เพราะคนสวิสนิยมใช้ชีวิตกับธรรมชาติเป็นกิจกรรมประจำวัน ทั้งกีฬา สันทนาการ การพักผ่อน มีป่าเขาลำธารให้ใกล้ชิดตลอด เขาจึงสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกทั้งหลายไวอย่างดีแม้จะอยู่ในป่าในเขาที่ห่างไกล การขึ้นเขาไปสกีจึงไม่ต้องห่วงเรื่องลำบากเลย หรือใครไม่สกีก็ติดสอยห้อยตามคนที่สกีขึ้นไปชมเขาหิมะได้โดยไม่เบื่อ เพราะมีร้านอาหารน่านั่งให้เลือกเพียบ หรือบางที่ก็มีสปาบ่อน้ำร้อนให้หย่อนใจสบายกายเพลินได้ไม่แพ้กัน

  • ลิฟต์สกีปิดบ่ายสี่โมงครึ่ง เราเล่นจนลิฟต์สุดท้าย แล้วสกียาวจากยอดเขากลับลงมา ไถลปรื๊ดแถออกจากเขาเลี้ยวเข้าประตูโรงแรมไปเลยแสนจะสะดวก เปลี่ยนใส่ชุดว่ายน้ำเสื้อคลุมลงไปเข้าห้องซาวน่าและแช่อ่างน้ำร้อนจากุซซี่คลายกล้ามเนื้อขาที่เกร็งมาทั้งวัน สบายตัวสุดๆ จนแทบจะลอยได้ แถมโรงแรมยังมีบ่อน้ำร้อนกลางแจ้งด้วย การแช่น้ำร้อนท่ามกลางอุณหภูมิติดลบกลางวิวหิมะขาวแบบนี้มันสวรรค์ดีๆ นี่เอง สุขใดไหนจะปานอาบน้ำแต่งตัวมาดริ๊งค์หน้าเตาผิงไฟวอมแวมฟังเสียงฟืนแตกเปรี๊ยะๆ พอครึ้มๆ ก็ย้ายไปดินเนอร์ในห้องอาหาร บรรยากาศบ้านไม้ชาเล่ต์แบบสวิส อบอุ่นกลางแสงเทียน อาหารอร่อย สบายท้องแล้วสั่งกลูไวน์ขึ้นไปนั่งจิบหน้าเตาผิงในห้องนั่งเล่น แขกแต่ละกลุ่มนั่งคุยกันเบาๆ อย่างผ่อนคลาย เด็กๆ ก็มีห้องให้เล่นเกม ทุกคนดูมีความสุขอย่างง่ายๆ สบายๆ ง่วงแล้วก็แยกย้ายกันเข้าห้องนอนอย่างอบอุ่นใต้หลังคาบรรยากาศกระท่อมน้อยในป่าใหญ่

    บ่อน้ำร้อนกลางแจ้ง
  • วันรุ่งขึ้นเราไม่สกีแล้ว เพราะจะไปเดินเล่นในตัวเมืองชตาด ขอชมให้ชัดๆ ว่าหรูเริ่ดอย่างไร วันอาทิตย์ร้านรวงหลายแห่งปิดทำการ แต่ก็ยังเห็นได้ชัดว่าชตาดนั้นน่ารักจริงๆ และหรูระยับกว่าเมืองสกีอื่นของสวิต ถนนกลางเมืองเป็นถนนคนเดินเท่านั้น สองฝั่งเป็นบ้านไม้ชาเล่ต์โบราณที่กลายเป็นร้านรวงหรูยี่ห้อดัง บ้านแต่ละหลังสวยและบูรณะไว้เป็นอย่างดี เราเดินไปพบโบสถ์หนึ่งถูกใจมาก ตัวอาคารด้านนอกก่อด้วยหินแบบโบราณ แต่พอเข้าไปด้านในเขาดีไซน์เป็นมินิมอลแบบสมัยใหม่หมดเลย เหมือนเอาของใหม่มากรุข้างใน ทั้งม้านั่งยาวเป็นแถวๆ แท่นบูชาด้านหน้า เป็นสไตล์คอนเทมโพรารีอิตาเลียน เรียบกริบโก้จัด ถูกใจเอามากๆ

  • ฉันคงกลับมาชตาดอีกแน่นอน แต่ครั้งหน้าต้องมาหลายวันขึ้นอีกนิด จะได้ทั้งสกีและใช้เวลาเดินเล่นกระทบไหล่ไฮโซฝรั่งในตัวเมืองมากกว่านี้ ไฮโซจริงไม่จริงเอาเป็นว่าเดือนก่อนหน้าที่ฉันจะมา อันเดรีย คาสิรากี (Andrea Casiraghi) ลูกชายของเจ้าหญิงแคโรไลน์แห่งโมนาโก เลือกมาจัดงานแต่งงานที่ชตาดพร้อมแขกระดับเจ้าและไฮโซยุโรปเพียบก็แล้วกัน 

    นอกจากสกีและสโนว์บอร์ด ชตาดยังมีอะไรให้ทำอีกมากมาย เช่น สเก็ตน้ำแข็ง ลากเลื่อน เดินออกกำลังในหิมะ ปีนเขาน้ำแข็ง ตีกอล์ฟในหิมะ นั่งรถม้าลากชมเมืองก็โรแมนติกไม่เบา หรือจะเลือกเข้าศูนย์สุขภาพชตาดก็มีสปาและบ่อน้ำร้อนให้เลือกถึงหกแห่ง ทุกแห่งมีคุณภาพชั้นเลิศตามมาตรฐานสปาสวิสที่เป็นที่หนึ่งของโลก ช่างเป็นเมืองเล็กๆ ที่คับแน่นไปด้วยคุณภาพเพื่อการพักผ่อนอย่างเหนือชั้นจริงๆ สมกับสโลแกนของชตาดที่ว่า “Come up, slow down” ขึ้นมา...เพื่อช้าลง

  • Iglu Dorf


    บนยอดเขามีหมู่บ้านโรงแรมอิกลูสำหรับคนที่อยากได้ประสบการณ์นอนในถ้ำน้ำแข็งแบบชาวเอสกิโม ห้องมีทั้งแบบห้องรวม 6 คน ห้องรวมครอบครัว หรือห้องคู่สุดโรแมนติก นอนบนเตียงน้ำแข็งที่ปูด้วยถุงนอนหรือที่นอนขนสัตว์หนานุ่ม โรงแรมมีบริการครบทั้งร้านอาหาร บาร์ให้ปาร์ตี้กลางหิมะยามค่ำคืนหลังจากลิฟต์สกีปิด ทั้งโรงแรมทำจากน้ำแข็งที่แกะขึ้นมาและเปิดเฉพาะหน้าหนาวจนถึงเมษายนเท่านั้น แต่ขอบอกว่าต่อให้นอนกลางดินกินกลางหิมะอย่างนี้ราคาต่อคืนไม่ถูกเลย ใครไม่อยากนอนที่นี่ แต่อยากชมโรงแรมก็ได้ บาร์กลางแจ้งของโรงแรมเสิร์ฟเครื่องดื่มและอาหารง่ายๆ ทั้งวัน ฉันชอบแวะพักดื่มกลูไวน์ที่นี่ทุกวันตอนบ่ายๆ เย็นๆ นอนบนหมอนใบโตจิบไวน์อุ่นๆ กลางหิมะ ชมวิวอาทิตย์อัสดง และเดินเข้าไปชมโรงแรมและห้องหับที่ทำจากน้ำแข็ง

    ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.iglu-dorf.com


    ฤดูสกีและกีฬาฤดูหนาวของชตาดอยู่ระหว่างเดือนพฤศจิกายนถึงต้นเดือนพฤษภาคม ช่วงกุมภาพันธ์ถือเป็นไฮซีซั่น ราคาโรงแรมจะแพงขึ้นเกือบเท่าตัวเพราะอากาศเริ่มอุ่นสบาย แดดดี แต่ยังมีหิมะตกบนเขา จึงเหมาะกับการสกีมาก แต่ถ้าอยากมาเที่ยวชตาดในฤดูร้อนก็มีกิจกรรมอื่นให้ทำ เช่น เดินเขา นั่งบอลลูน สรุปสั้นๆ ว่าเมืองชตาดน่ารักและหรูเริ่ดทุกฤดูกาล

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in