ปรมัตถ์เหม่อออกไปนอกหน้าต่าง...
ท้องฟ้าด้านนอกเริ่มมีไอเมฆจางๆ เคลื่อนตัวช้าๆ สลับกลุ่มเมฆก้อนปุยๆ ขาวๆ ลอยเอื่อยๆ ถึงอย่างนั้นตั้งแต่เครื่องบินยังไม่เริ่มทำการลดระดับจนกระทั่งถึงตอนนี้ ท้องฟ้าด้านนอกก็ยังจัดว่ามีทัศนวิสัยปลอดโปร่ง แค่ชะโงกตัวมองลงไปก็สามารถเห็นทะเลที่โอบล้อมเกาะแก่งน้อยใหญ่เบื้องล่างได้อย่างชัดเจน
ขณะที่กำลังนั่งแกว่งขามองฟ้าเพลินๆ เด็กน้อยได้ยินเสียงประกาศจากห้องนักบินอีกครั้ง เขากระพริบตา ตั้งใจฟัง ตากลมๆ เบนจากนอกหน้าต่างกลับเข้ามาจดจ้องอยู่บนหน้าจอโทรทัศน์ที่มีตัวอักษร ‘ประกาศ’ วิ่งผ่านไปซ้ำๆ
‘สวัสดีครับท่านผู้โดยสาร ขณะนี้เรากำลังลดระดับลงสู่ท่าอากาศยาน…’
จู่ๆ มือเล็กป้อมที่วางแปะอยู่บนที่พักแขนก็รู้สึกอุ่นขึ้นมา…
ปรมัตถ์ก้มมอง…
มือใหญ่ของคนข้างๆ ที่เคยวางไว้ใกล้ๆ กันกำลังกุมมือของเขาไว้ นิ้วโป้งเกลี่ยเบาๆ บนหลังมืออย่างใจลอย ขนาดว่าปรมัตถ์เงยหน้าหันไปจ้องมอง อาธาดาของเขาก็ยังไม่รู้ตัวเลย
เห็นได้ชัดว่าแม้จะกำลังมีสมาธิกับการฟังข้อความในประกาศ ถึงอย่างนั้นธาดาก็ยังลืมตัวจับมือหลานชายตัวน้อยไว้เพราะจิตใต้สำนึกกังวลว่าจะอีกฝ่ายจะตกใจเสียงดังจากการกางล้อของเครื่องบินที่เขาคะเนเวลาไว้ว่าน่าจะดังขึ้นในอีกไม่กี่วินาทีต่อจากนี้
ครืด….
เวลาเดียวกับที่เครื่องบินกำลังกางล้อเพื่อลงจอด เจ้าตัวเล็กก็ค่อยๆ เขยิบเข้ามานั่งชิดที่วางแขน เอนตัวแล้วเอียงหัววางแก้มยุ้ยๆ ลงทับมือใหญ่ข้างนั้นอย่างเงียบเชียบ ฉุดให้เจ้าของมือสะดุ้งเล็กน้อย ละสายตาจากหน้าจอหันกลับมาก้มลงมองคนข้างกาย มือเรียวอีกข้างยกขึ้นลูบผมสีเข้มอย่างทะนุถนอม
“ง่วงแล้วเหรอครับ”
ปรมัตถ์ส่ายหน้า ถูพวงแก้มกับหลังมือขาวๆ ไปมาเบาๆ เขาตอบตามความจริง แต่แค่รู้สึกว่าความอบอุ่นจากมือของอาธาดาดึงดูดทำให้รู้สึกอยากนอนทับขึ้นมาซะเฉยๆ ก็เท่านั้น
“หรือหนาว…?”
เด็กน้อยนอนนิ่งไม่ได้ตอบอะไร น่าจะเป็นเพราะสบายเกินจะขยับตัวมากกว่าตั้งใจจะตอบรับ
แต่แน่นอน... ธาดาเดาผิด นึกไปว่าเจ้าตัวน้อยคงจะหนาว
“งั้นมัตถ์ลุกขึ้นแป๊บนึงนะ”
ใจหนึ่งปรมัตถ์ก็อยากงอแง อยากปฏิเสธ อยากขืนตัวจากแขนเรียวๆ ที่กำลังเอื้อมมายกลำตัวเขาขึ้นเพราะตอนนี้กำลังรู้สึกสบายเอามากๆ แต่ก็ไม่รู้ทำไมอีกเกินครึ่งของใจเขาไม่เคยขัดขืนคำพูดของอาธาดาได้สักที
เด็กน้อยลุกขึ้นนั่งอย่างว่าง่าย แต่สะโพกที่กำลังจะขยับไปนั่งตรงกลางเบาะกลับต้องหยุดชะงักเมื่อที่พักแขนถูกกดลงให้ยุบ ฝังตัวแนบลงไปอยู่ระดับเดียวกับเบาะนั่ง ถ้าไม่สังเกตก็แทบจำไม่ได้ว่าก่อนหน้านี้เคยมีที่กั้นอยู่ตรงกลางระหว่างที่นั่งสองที่นี้
เจ้าตัวเล็กเอียงคอ มองลงไปที่เบาะที มองขึ้นไปมองหน้าคนเป็นอาที ก่อนจะได้รับรอยยิ้มอ่อนโยนจากร่างสูงที่นั่งเคียงข้างพร้อมกับสัญญาณกวักมือให้เข้าไปหา
...แล้วมีเหรอที่ปรมัตถ์จะเซย์โน...
ร่างเล็กกระเถิบตัวมาจนสุดขอบซ้ายของเข็มขัดนิรภัย พอดีกับที่คนข้างๆ ก็ขยับมาจนติดกับสุดขอบขวาของปราการชนิดเดียวกัน
ธาดายกแขนขวาขึ้นโอบแผ่นหลังเล็กจ้อยโดยไม่พูดอะไร ข้อมือแข็งแรงวางพักบนไหล่บาง ปลายนิ้วโป้งและนิ้วชี้คลึงเบาๆ บนติ่งหูนุ่มโดยอัตโนมัติ พร้อมๆ กับที่ปรมัตถ์เอนตัวพิงศีรษะลงบนแผ่นอกกว้าง
ทั้งคู่ไม่ได้พูดอะไรกัน เพียงแต่ตั้งใจฟังเสียงดังเกินปกติที่คุ้นเคยประกาศต่ออย่างรื่นรมย์กว่าเดิม ก็ไม่รู้ว่าเพราะนักบินฝึกหัดพีระเบาเสียงลงหรือเป็นเพราะความอบอุ่นที่โอบล้อมพวกเขาอยู่กันแน่
‘...สภาพอากาศภายนอกขณะนี้มีลมต้านพัดค่อนข้างแรง แต่ทัศนวิสัยโดยรวมถือว่าดีเยี่ยม ลมพัดแรงไม่มีผลต่อตารางเวลาลงจอดของเที่ยวบินนี้ และท่านผู้โดยสารที่ต้องการชมแหลมตะลุมพุกสามารถมองไปทางขวามือได้ในขณะนี้ครับ...
ในนามของสายการบิน... ขอขอบคุณทุกท่านอีกครั้ง
Ladies and Gentlemen...’
เสียงภาษาอังกฤษของพีระยังประกาศต่อไปอย่างน่าฟัง…
แต่น่าเสียดายที่ทั้งธาดาและปรมัตถ์ไม่ทันได้ชื่นชม…
เพราะตอนนี้ภาพที่เห็นคือหลานเอนกายพิงอกอาหลับตาพริ้ม ส่วนคนเป็นอาก็กอดหลานชายตัวเล็กเอาไว้ ทั้งคู่เคลิ้มหลับไปแล้วเคียงข้างกัน พร้อมรอยยิ้มนุ่มนวลประดับบนใบหน้า…
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in