เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
#เรียนหมอหนักมาก It's Not Easy To Be A DoctorSALMONBOOKS
คำนำ

  • อาจเพราะต้องถูกรมยาสลบเวลาเข้ารับการผ่าตัด หรือกั้นด้วยม่านสารพัดจนทำให้มองไม่เห็นว่าหมอที่กำลังรักษาเรากำลังยุกยิกๆ ทำอะไรอยู่? เมื่อสั่งให้อ้าปากกว้างๆ เวลาเอาไฟฉายส่อง นอกจากฟันผุๆ หรือเหล็กอุดฟัน หมอยังมองหาอะไรอีก? หรือบนกระดาษนั้น อักขระที่คนปกติอ่านไม่ออกนั่นมีความหมายว่าอะไร (แล้วก็ชวนให้สงสัยไปอีกว่า ลายมือแบบนี้นี่เรียนจบหมอมาได้ยังไงเนี่ย เขาไม่มีสอบอัตนัยกันหรือไง)

    หมอจึงเป็นกลุ่มคนที่คนซึ่งไม่ได้เป็นหมอไม่อาจเข้าใจได้ ต่อให้อยากจะเข้าใจ ก็ใช่ว่าจะเข้าใจได้ง่ายๆ ลำพังวิธีพื้นฐานๆ อย่างการเข้าไปเรียนหมอก็ยังยากเย็นเข็ญใจ

    ก็แหง ถ้ามันง่าย หมอก็คงไม่เลอค่าจนได้รับขนานนามว่าคือหนึ่งในอาชีพที่ได้ค่าตอบแทนสูงสุดแถมยังมั่นคงเป็นอันดับต้นๆ ของบรรดาอาชีพที่พ่อแม่อยากจะให้ลูกตัวเองเป็น—แต่ก็เพราะอย่างนี้เอง ยิ่งทำให้เราอยากจะรู้ว่าพวกหมอเขาทำอะไรกัน

    ยิ่งไปกว่านั้น ก่อนจะมาเป็นหมอ จะต้องเจออะไรกันบ้าง?

    เพราะเมื่อเอาตัวเองเป็นมาตรฐาน ใช้คนปกติเป็นเกณฑ์? ก็คงไม่มีโอกาสได้เข้าเวรในโรงพยาบาลตอนดึกๆ คงไม่มีโอกาสชะโงกหน้าดูการผ่าตัดในห้องฉุกเฉินแบบริงไซด์ คงไม่มีโอกาสเอามีดจรดลงบนร่างอาจารย์ใหญ่ หรือคงไม่มีโอกาสในหลายกิจกรรมที่เกี่ยวกับเลือดหรือภาวะเฉียดตายของชีวิตคน ปนกับเรื่องขนลุกสารพัดซึ่งคนเรียนหมอทุกคนล้วนต้องเจอ—คนเรียนหมอที่ก่อนหน้านั้นก็เป็นนักเรียนชายหัวเกรียนและเด็กหญิงติ่งหูไม่ต่างจากพวกเรา!

    ‘พี่เพลีย’ หรือ @guplia แอคเคาต์ทวิตเตอร์เจ้าของทวีตและสเตตัสสำนวนชวนหัวที่คนนับแสนยอมปวารณาตัวเป็นฟอลโลเวอร์ ลีลาในการทวีตของเขาไม่ธรรมดา ประโยคสั้นๆ ได้ใจความของเขาได้ใจคนไปทั่ว อดใจไม่ไหวที่จะรีทวีตซ้ำๆ ย้ำไปย้ำมา ซึ่งเราเองก็เป็นหนึ่งในผู้ตามของเขา

    ก่อนหน้านี้แซลมอนเคยมีโปรเจ็กต์หนังสือกับพี่เพลีย เกี่ยวกับย่านสยามสแควร์ที่เขาชอบไปฝังตัวอยู่จนแทบจะย้ายสำมะโนครัวไปเป็นประชากร แต่ด้วยอุปสรรคด้านเวลาก็ทำให้ต้องพับมันไว้ (และ คันฉัตร รังษีกาญจน์ส่อง ก็รับไปเขียนต่อ) เท่าที่เขาเล่าให้เราฟัง เวลาชีวิตของเขาช่างอัดแน่น ไหนจะต้องเรียน
    ไหนจะต้องอ่านหนังสือสอบ ไหนจะต้องไปฝึกงาน ไหนจะต้องเข้าเวรตามประสา ‘นักศึกษาแพทย์’

    ได้ยินดังนั้น เราจึงยินดีที่จะพับโปรเจ็กต์เก่า—เพื่อเริ่มโปรเจ็กต์ใหม่ทันที?! เพราะเราเชื่อว่า นักเขียนจะเขียนสิ่งที่ตัวเองคลุกคลีและสิ่งที่ตัวเองเป็นออกมาได้ดีกว่าการเขียนเรื่องราวอื่นๆ

    พี่เพลียควรจะเขียนหนังสืออะไร ถ้าไม่ใช่หนังสือเกี่ยวกับชีวิตนักเรียนแพทย์ที่เขาคลุกมาตั้งหกปี!

    ท่ามกลางความสงสัยที่ว่า หมอไม่กลัวผีเหรอ เวลาอยู่ในห้องฉุกเฉินที่เต็มไปด้วยเลือดนั้นรู้สึกยังไง ทำใจนานแค่ไหนกว่าจะเข้าเวรยามตีสามได้? ฯลฯ เราคิดว่าพี่เพลียจะมีคำตอบให้กับเราและคนอ่านส่วนใหญ่ที่ไม่มีโอกาสได้เข้าไปสัมผัสชีวิตของหมอ หรือกระทั่งกำลังตัดสินใจที่เข้าไปเรียนหมอก็น่าจะได้ความรู้จากประสบการณ์ตลอดหกปีของพี่เพลียไม่น้อย

    ประสบการณ์ที่หากใครไม่ได้ประกอบอาชีพนั้นหรือลองเข้ามาสัมผัสก็อยากที่จะอธิบายได้ ก็อาจคล้ายกับที่เวลาผู้อ่านหรือญาติมิตรมาถามพวกเราชาวสำนักพิมพ์แซลมอนว่า “ปิดเล่มนั้นหนักแค่ไหน?”

    เราตอบได้เลยว่า #มาก อาจไม่ต่างจากการเรียนหมอเลย

  • ก่อนหน้านี้ไม่เคยคิดว่า หนังสือเล่มแรกที่เขียนจะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตการเรียนหมอของตัวเอง เพราะรู้สึกว่า ตลอดเวลาที่เรียนหมอ เราสัมผัสได้แต่เนื้อหาที่ค่อนไปทางวิชาการ เลยคิดว่า ถ้าเขียนออกมาแล้ว มันคงมีแต่ภาษายากๆ และศัพท์ทางการแพทย์ คนที่ไม่ได้เรียนหมออ่านแล้วคงจะไม่เก็ตแน่ๆ

    แต่พอดำเนินชีวิตมาถึงวันที่ใกล้เรียนจบ (ซึ่งริเริ่มเขียนหนังสือเล่มนี้พอดี) แล้วได้มองย้อนกลับไปในหกปีที่ผ่านมา เรากลับพบว่ามันมีหลายๆ อย่าง ที่เราไม่คิดเลยว่าชีวิตการเรียนแพทย์มันจะต้องเจออะไรแบบนี้ด้วย (บางสิ่งก็คิดว่า ถ้ารู้ว่าจะเจอแบบนี้ กูยังจะเลือกเรียนหมออีกไหม?) และมันก็น่าสนใจเหมือนกันนี่นา ไม่ได้ซีเรียสจนไม่น่าเอ่ยถึงขนาดนั้น

    พอคิดได้ดังนั้น เราก็อยากลองเล่าเรื่องชีวิตหมอในมุมที่คนภายนอกอาจไม่เคยเห็น หรือเล่าประสบการณ์ให้กับน้องๆ ที่กำลังจะสอบเข้าเรียนคณะแพทยศาสตร์ แล้วยังมองภาพรวมไม่ออกว่าชีวิตการเรียนหมอนั้นเป็นอย่างไรได้ฟัง มันน่าจะดี เราจึงเริ่มเขียนหนังสือเล่มที่คุณกำลังถืออยู่นี้ขึ้นมา เป็นการรวบรวมเอาประสบการณ์จริงของนักศึกษาแพทย์ (ซึ่งก็คือเราเอง) มาเล่าให้ฟังแบบง่ายๆ สบายๆ และเป็นกันเอง

    ตอนเขียน เราคิดอยู่เสมอว่า อยากเขียนให้เหมือนคุยกับเพื่อน (ออกแนวเมาท์มอยนั่นเอง) ตอนที่ใครก็ตามถือหนังสือเล่มนี้อยู่ในมือแล้วอ่าน เราก็หวังว่า อยากให้อ่านอย่างรู้สึกเหมือนมีเพื่อน (ที่เรียนหมอ) มานั่งเล่าให้ฟัง

    นั่นแหละครับ พอมันเป็นกันเองขนาดนี้ หนังสือเล่มนี้จึงอาจมีคำหยาบหลุดรอดออกมาบ้าง ก็เพื่ออรรถรสในการเล่าเรื่องอย่างสมจริง หวังว่าคุณจะไม่ถือสา

    ขอย้ำว่า นี่ไม่ใช่หนังสือที่ใช้อ้างอิงทางวิชาการ ไม่มีการเปิดเผยชื่อ สถานที่ หรืออะไรที่สร้างความเสียหายแก่ใคร ความรู้ทางการแพทย์และเรื่องราวของบุคคลที่ถูกกล่าวถึงทั้งหมดในหนังสือเล่มนี้ ได้ถูกลดทอนออกไปบ้างบางส่วน (แต่อยู่บนพื้นฐานของความถูกต้อง) เพื่อให้คนอ่านเห็นภาพตามได้เข้าใจง่าย และอ่านได้ทุกคน

    แน่นอนว่า หนังสือเล่มนี้เน้นอ่านเอามัน เพื่อความบันเทิง และความเริงร่า ไม่สามารถใช้อ้างอิงทางวิชาการได้

    สุดท้ายนี้ อยากบอกว่า #เรียนหมอหนักมาก จริงๆ

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in