บทบาท มท.2 ของธีรรัตน์ ไม่ใช่เพียงการบริหารราชการ แต่ยังเป็นบททดสอบของแนวคิดว่า ผู้หญิงจะสามารถก้าวข้ามข้อจำกัดที่สังคมวางไว้ได้หรือไม่ และจะใช้เก้าอี้นี้เป็นเวทีปลดล็อกโครงสร้างอำนาจที่กีดกันผู้หญิงได้อย่างไร สิ่งนี้ไม่เพียงสำคัญต่ออนาคตทางการเมือง แต่ยังสำคัญต่ออนาคตของผู้หญิงทุกคน
-
ในตลอดเวลาที่ผ่านมากระทรวงมหาดไทยมักถูกมองว่าเป็น “สนามแข็ง” ที่เต็มไปด้วยข้าราชการ และเครือข่ายการเมืองท้องถิ่น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย การดำรงตำแหน่งของธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ ในฐานะรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (มท.2) จึงถือได้ว่าเป็นสิ่งที่น่าสนใจทั้งในมิติของการเมืองและมิติของสังคม
หลายคนอาจมองว่าเก้าอี้รัฐมนตรีช่วยเป็นเพียงตำแหน่งเชิงสัญลักษณ์ แต่ในความเป็นจริง มท.2 ต้องรับผิดชอบงานที่สัมผัสชีวิตคนไทยอย่างใกล้ชิด ตั้งแต่กำกับดูแลองค์กรต่าง ๆ การจัดการภัยพิบัติ ไปจนถึงการประสานงานการกระจายงบประมาณลงพื้นที่ (ไม่นับรวมในสมัยดำรงตำแหน่ง มท.4)
ตัวอย่างล่าสุด เช่น การลงพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี เพื่อตรวจเยี่ยมประชาชน และการเร่งรัดหรือการออกคำสั่งกระตุ้นให้หน่วยงานที่รับผิดชอบแก้ไขปัญหาโดยเร็ว เห็นได้ชัดว่า
เมื่อผู้หญิงก้าวเข้ามาในพื้นที่นี้ จึงเท่ากับต้องเผชิญกับระบบอุปถัมภ์ การเมืองชายเป็นใหญ่ และการตัดสินใจเชิงอำนาจ (ที่มักผูกโยงกับเครือข่ายเก่า)
ในกรอบความคิดอย่างวัฒนธรรมไทย ผู้หญิงมักถูกคาดหวังให้ทำงานในกระทรวงที่ "อ่อนโยน" เช่น การศึกษา หรือสาธารณสุข ซึ่งพื้นที่ที่ถูกมองว่า “เหมาะกับเพศหญิง” การที่ธีรรัตน์เข้ามาดูแลกระทรวงมหาดไทย จึงถือได้ว่าเป็นการท้าทายกรอบความคิดเดิม ๆ อย่างชัดเจน และยังพิสูจน์ว่า
“ ผู้หญิงก็สามารถบริหารงานที่แข็งและซับซ้อนได้ ” โดยไม่ต้องลดทอนความเป็นตัวเอง
และแม้ความสามารถของผู้หญิงจะไม่ต่างจากผู้ชาย แต่หากไม่มีการมองเห็นและการเปิดพื้นที่ให้เท่าเทียม ก็ยากที่ผู้หญิงจะเข้าถึงตำแหน่งสำคัญในทางการเมือง
การมีธีรรัตน์ในตำแหน่งนี้สะท้อนภาพที่ใหญ่กว่าตัวบุคคล คือการที่ผู้หญิงในการเมืองไทยยังมีจำนวนน้อยเมื่อเทียบกับประชากร และต้องต่อสู้กับอคติทางเพศและโครงสร้างอำนาจชายเป็นใหญ่
ขณะเดียวกัน เธอก็เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนให้ผู้หญิงรุ่นใหม่เห็นว่า เส้นทางการเมืองไม่ได้จำกัดอยู่ใน "บทบาทที่ผู้ชายอนุญาต" ถือได้ว่าคือการเปิดภาพใหม่ ที่นักการเมืองหญิงสามารถเข้าไปในกระทรวงที่ผู้ชายครองมานาน และใช้เครื่องมือทางการเมืองเพื่อผลักดันการเปลี่ยนแปลง
การมีผู้หญิงในตำแหน่งสูงไม่ควรถูกมองแค่เป็น “ชัยชนะเชิงสัญลักษณ์” หากแต่ต้องต่อยอดไปสู่การผลักดันนโยบายที่สร้างความเท่าเทียมในเชิงโครงสร้าง และเปิดพื้นที่ให้ผู้หญิงในชนบทมีส่วนร่วมในกระบวนการตัดสินใจ ไม่เช่นนั้น ความสำเร็จครั้งนี้ก็อาจถูกจดจำเพียงในฐานะ “หนึ่งในไม่กี่ผู้หญิงที่ไปได้ไกล” มากกว่าจะเป็นการเปลี่ยนภูมิทัศน์ทางการเมือง
บทบาท มท.2 ของธีรรัตน์จึงไม่ใช่เพียงการบริหารราชการ
แต่ยังเป็นบททดสอบของแนวคิดว่า ผู้หญิงสามารถก้าวข้ามข้อจำกัดที่สังคมวางไว้ได้หรือไม่
และจะใช้เก้าอี้นี้เป็นเวทีปลดล็อกโครงสร้างอำนาจที่กีดกันผู้หญิงได้อย่างไร
สิ่งนี้ไม่เพียงสำคัญต่ออนาคตของบุคคล แต่ยังสำคัญต่ออนาคตของผู้หญิงทุกคน
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in