เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Politicstob.
ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ กับบทบาท มท.2: เมื่อผู้หญิงก้าวสู่พื้นที่สำคัญ
  • บทบาท มท.2 ของธีรรัตน์  ไม่ใช่เพียงการบริหารราชการ แต่ยังเป็นบททดสอบของแนวคิดว่า ผู้หญิงจะสามารถก้าวข้ามข้อจำกัดที่สังคมวางไว้ได้หรือไม่ และจะใช้เก้าอี้นี้เป็นเวทีปลดล็อกโครงสร้างอำนาจที่กีดกันผู้หญิงได้อย่างไร สิ่งนี้ไม่เพียงสำคัญต่ออนาคตทางการเมือง แต่ยังสำคัญต่ออนาคตของผู้หญิงทุกคน

    -

    ในตลอดเวลาที่ผ่านมากระทรวงมหาดไทยมักถูกมองว่าเป็น “สนามแข็ง”  ที่เต็มไปด้วยข้าราชการ และเครือข่ายการเมืองท้องถิ่น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย การดำรงตำแหน่งของธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ ในฐานะรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (มท.2) จึงถือได้ว่าเป็นสิ่งที่น่าสนใจทั้งในมิติของการเมืองและมิติของสังคม

    สำรวจเส้นทางและคุณสมบัติด้านการเมือง

    • เกิดวันที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2522 เป็น ส.ส.กรุงเทพฯ เขต 18 พรรคเพื่อไทย และเป็น ส.ส.สมัยที่ 3 (ปี 2554, 2562, และ 2566)
    • ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (มท.4) ตั้งแต่วันที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2567
    • มีความรู้ด้านการศึกษาและธุรกิจโดยสำเร็จการศึกษาปริญญาตรีนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ , ปริญญาโทบริหารธุรกิจระหว่างประเทศ จาก University of Wollongong และปริญญาเอกด้าน Education Professional Doctorates จาก Central Queensland University 
    • ก่อนเข้าสู่วงการการเมือง เคยทำงานในฝ่ายพัฒนาบุคลากร ธนาคารกสิกรไทย

    เมื่อ มท.2 ไม่เพียงแค่ตำแหน่งหรือสัญลักษณ์

    หลายคนอาจมองว่าเก้าอี้รัฐมนตรีช่วยเป็นเพียงตำแหน่งเชิงสัญลักษณ์ แต่ในความเป็นจริง มท.2 ต้องรับผิดชอบงานที่สัมผัสชีวิตคนไทยอย่างใกล้ชิด ตั้งแต่กำกับดูแลองค์กรต่าง ๆ  การจัดการภัยพิบัติ ไปจนถึงการประสานงานการกระจายงบประมาณลงพื้นที่ (ไม่นับรวมในสมัยดำรงตำแหน่ง มท.4)

    ตัวอย่างล่าสุด เช่น การลงพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี เพื่อตรวจเยี่ยมประชาชน และการเร่งรัดหรือการออกคำสั่งกระตุ้นให้หน่วยงานที่รับผิดชอบแก้ไขปัญหาโดยเร็ว เห็นได้ชัดว่า 

    เมื่อผู้หญิงก้าวเข้ามาในพื้นที่นี้ จึงเท่ากับต้องเผชิญกับระบบอุปถัมภ์ การเมืองชายเป็นใหญ่ และการตัดสินใจเชิงอำนาจ (ที่มักผูกโยงกับเครือข่ายเก่า)

    ความท้าทายในฐานะ นักการเมืองหญิง

    ในกรอบความคิดอย่างวัฒนธรรมไทย ผู้หญิงมักถูกคาดหวังให้ทำงานในกระทรวงที่ "อ่อนโยน" เช่น การศึกษา หรือสาธารณสุข ซึ่งพื้นที่ที่ถูกมองว่า “เหมาะกับเพศหญิง”  การที่ธีรรัตน์เข้ามาดูแลกระทรวงมหาดไทย จึงถือได้ว่าเป็นการท้าทายกรอบความคิดเดิม ๆ อย่างชัดเจน และยังพิสูจน์ว่า

     “ ผู้หญิงก็สามารถบริหารงานที่แข็งและซับซ้อนได้ ” โดยไม่ต้องลดทอนความเป็นตัวเอง

    • ในบทสัมภาษณ์กับ The Matter  เคยเล่าถึงเส้นทางนี้อย่างเปิดเผยว่า การเข้าสู่สนามการเมืองไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เพราะต้องเผชิญทั้งการเลือกปฏิบัติและอคติทางเพศที่ซ่อนเร้นอยู่ในระบบการเมืองไทย “ มีเสียงที่บอกว่าผู้หญิงไม่เหมาะกับงานที่เกี่ยวข้องกับอำนาจโดยตรง ” 
    • ธีรรัตน์ยังเล่าถึงการถูกโจมตีในประเด็นส่วนตัวและเรื่องเพศ ซึ่งเป็นกลวิธีที่ใช้ลดทอนความน่าเชื่อถือของผู้หญิงในแทบทุกวงการ แต่เลือกที่จะตอบโต้ด้วยความเข้มแข็งและสง่างามทางจริยธรรม แทนที่จะจมอยู่กับความเกลียดชัง

    “ผู้หญิงต้องกล้าเดินออกมา” 

     และสังคมต้อง “ถอยออกมา” จากกรอบอคติเดิม 

    เพื่อเปิดพื้นที่ให้ผู้หญิงที่มีความสามารถได้รับโอกาสอย่างแท้จริง

    และแม้ความสามารถของผู้หญิงจะไม่ต่างจากผู้ชาย แต่หากไม่มีการมองเห็นและการเปิดพื้นที่ให้เท่าเทียม ก็ยากที่ผู้หญิงจะเข้าถึงตำแหน่งสำคัญในทางการเมือง

    ภาพสะท้อนผู้หญิงในการเมืองไทย

    การมีธีรรัตน์ในตำแหน่งนี้สะท้อนภาพที่ใหญ่กว่าตัวบุคคล คือการที่ผู้หญิงในการเมืองไทยยังมีจำนวนน้อยเมื่อเทียบกับประชากร และต้องต่อสู้กับอคติทางเพศและโครงสร้างอำนาจชายเป็นใหญ่ 

    ขณะเดียวกัน เธอก็เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนให้ผู้หญิงรุ่นใหม่เห็นว่า เส้นทางการเมืองไม่ได้จำกัดอยู่ใน "บทบาทที่ผู้ชายอนุญาต"  ถือได้ว่าคือการเปิดภาพใหม่ ที่นักการเมืองหญิงสามารถเข้าไปในกระทรวงที่ผู้ชายครองมานาน และใช้เครื่องมือทางการเมืองเพื่อผลักดันการเปลี่ยนแปลง

    Women Empowerment ?

    ไม่เพียงแค่สัญลักษณ์ แต่ต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง 

    การมีผู้หญิงในตำแหน่งสูงไม่ควรถูกมองแค่เป็น “ชัยชนะเชิงสัญลักษณ์” หากแต่ต้องต่อยอดไปสู่การผลักดันนโยบายที่สร้างความเท่าเทียมในเชิงโครงสร้าง และเปิดพื้นที่ให้ผู้หญิงในชนบทมีส่วนร่วมในกระบวนการตัดสินใจ ไม่เช่นนั้น ความสำเร็จครั้งนี้ก็อาจถูกจดจำเพียงในฐานะ “หนึ่งในไม่กี่ผู้หญิงที่ไปได้ไกล” มากกว่าจะเป็นการเปลี่ยนภูมิทัศน์ทางการเมือง


    บทบาท มท.2 ของธีรรัตน์จึงไม่ใช่เพียงการบริหารราชการ 

    แต่ยังเป็นบททดสอบของแนวคิดว่า ผู้หญิงสามารถก้าวข้ามข้อจำกัดที่สังคมวางไว้ได้หรือไม่ 

    และจะใช้เก้าอี้นี้เป็นเวทีปลดล็อกโครงสร้างอำนาจที่กีดกันผู้หญิงได้อย่างไร

    สิ่งนี้ไม่เพียงสำคัญต่ออนาคตของบุคคล แต่ยังสำคัญต่ออนาคตของผู้หญิงทุกคน


Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in