การกลับมาทำอัลบั้มในรอบ 3 จนเกือบจะ 4 ปีเต็มๆ มีทั้งข่าววงมากมายให้ตกใจ ทั้งข่าวการแต่งงานของหัวหน้าวงอย่างโทรุหรือมือกีต้าร์ของเรานั่นเอง เป็นที่ช็อกกันไปตามๆ กัน แต่แฟนๆ ก็ต่างล้วนยินดีให้กับการแต่งงานในครั้งนี้ ทั้งวงก็เหลือแค่นักร้องนำของเราคนเดียวแล้วแหละค่ะ ว่าจะได้ฤกษ์แต่งเมื่อไร หรือสาวคนไหนจะมาเป็นมาหวานใจ เพราะมีสาวปริศนา(?) (คาดว่าเป็นเพื่อนในกลุ่มของเจ้าตัว) โผล่มาร่วมแจมใน mv documentary ของวงในเพลง Let me let you go หนึ่งในเพลงของอัลบั้มนี้เช่นกัน
จะว่าไปแล้วเราไม่ได้ฟังวันโอเล่นสดนานมากๆ แล้วเหมือนกัน ตั้งแต่มีโควิดเข้ามา ครั้งสุดท้ายที่เราได้ดูวันโอที่ไทยก็ตอนที่มาเป็น guest รับเชิญให้กับ Ed Sheeran ที่ราชมังคลาฯ นับจากตอนนั้นก็ถือว่านานมาโขเลยทีเดียว
ครั้งนี้กลับมาพร้อมกับอัลบั้มใหม่ที่ชื่อว่า "Luxury Disease" ชืื่ออัลบั้มให้ความรู้สึกแปลกใหม่มากๆ เพราะไม่ค่อยเจอวันโอตั้งชื่ออัลบั้มทรงๆ แนวนี้เสียเท่าไหร่ วงมีการกล่าวถึงว่า ได้ทำอัลบั้มร่วมกับทางฝั่งอเมริกา และนึกถึงอัลบั้มเก่าอัลบั้มแรกอย่างอัลบั้ม Zeitakubyō (2007) จึงอยากทำการแปลให้มันเป็นภาษาอังกฤษเสีย เพื่อที่จะแสดงให้เห็นว่าพวกเขาทำมันได้ดีในเวทีระดับโลก
ทากะ ยังบอกอีกว่า อัลบั้มป๊อป ในสมัย Eye of the storm ที่ถูกปล่อยออกมาตอนปี 2019 มีบทบาทสำคัญเป็นอย่างมากที่ทำให้การบรรลุเป้าหมายในครั้งนี้ ซึ่งหลายปีมานี้ เราอยากให้แนวเพลงอีโมและพังค์ที่เราชื่นชอบมากกลับมามีชีวิตอีกครั้ง ดังนั้น การทำเพลงแนวร็อกในอเมริกามันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลยเราที่จะเริ่มทุกอย่างได้ หากเราขาดความรู้และประสบการณ์ พวกเราจึงตัดสินใจที่จะปล่อยอัลบั้ม Eye of the storm ออกไปชิมลางก่อน และพยายามศึกษาวัฒนธรรมและดนตรีป๊อปของอเมริกาเพิ่มด้วย เพราะเราต้องการที่จะทำอัลบั้มที่รวบรวมเพลงร็อกอย่างแท้จริงออกมา
ซึ่งอัลบั้ม "Luxury Disease" นี้ ถูก produce โดย Rob Cavallo หรือเดิมทีรู้จักในฐานะ Produer ที่ทำเพลงให้กับ GREEN DAY และเขายังทำงานร่วมกับ LINKIN PARK, MY CHEMICAL ROMANCE etc.
ทากะ เล่าว่าเขาใช้เวลาอย่างมากในการไตร่ตรองเรื่องดนตรี เขารู้สึกว่า “การสละเวลาทำสิ่งนี้สำคัญมาก ต้องใช้เวลาอย่างมากในการโยกจากสไตล์ป๊อปของอัลบั้มที่แล้วไปเป็นอัลบั้มใหม่ที่มีธีมที่เน้นเพลงร็อคอย่างมากเช่นนี้ และวงยังได้รับอิทธิพลจากการระบาดใหญ่ของโควิด-19 นั่นคงทำให้เรารู้สึกถึงอารมณ์มากมายทั้งด้านลบและด้านบวก มันเป็นสิ่งสำคัญสำหรับอนาคตของวงและสำหรับตัวผมที่จะสามารถเผชิญกับความรู้สึกต่างๆ ในขณะที่พวกเรากำลังทำอัลบั้มนี้กัน
และทากะ มีการกล่าวว่า ตัวเองตื่นเต้นกับระบบเสียง Apple Music Home Session ของวง ที่ถูกปล่อยเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา (คาดว่าน่าจะเป็นเพลงที่ทำเป็น Home session ในเพลง Wonder และ cover เพลง easy จาก Adele) Luxury Disease ที่มีให้บริการใน Spatial Audio พร้อมกับระบบเสียง Dolby Atmos
และถึงแม้ว่าวง ONE OK ROCK จะมีชื่อเสียงระดับโลก แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าพวกเราคือฮีโร่หรือซุเปอร์แมน และทากะยังได้เน้นย้ำอีกว่า 'เราก็เหมืือนกับคนอื่นๆ ที่เริ่มจากไม่มีอะไรเลย นอกจากความฝัน และเราก็เชื่อว่า แค่ทำมันต่อไป ผลลัพธ์ก็จะตามมา การเชื่อมั่นในสิ่งที่ทำอยู่ มันทำให้เราสนุกกับมันตลอด'
บทความด้านบนเป็นข้อความที่ถูกเพิ่มเข้ามาในคำอธิบายของอัลบั้มนี้ วันโอตั้งใจทำอัลบั้มนี้กันมาก เราหวังว่าทุกคนจะจอยกับการฟังอัลบั้มใหม่ของวง และติดตามรอชมคอนเสิร์ตในประเทศไทย ที่เราคิดว่า ปีหน้ามาแน่!
เอาล่ะ...เที่ยงคืนแล้ว store ไทย ได้ปล่อยอัลบั้มตัวเต็มเป็นที่เรียบร้อย เราเริ่มฟังจากอัลบั้มฝั่ง inter version ก่อน จะพูดถึงทีละเพลงเลยแล้วกัน
1. Save Yourself
เป็นเพลงแรกของอัลบั้มเลย ที่ทางวงปล่อยออกมาให้ได้ฟังกัน(หลังจากที่ทราบว่าจะมีการปล่อยอัลบั้ม) พร้อมกับบอกว่า กลับมาครั้งนี้ ร็อกแน่นอน ฟังครั้งแรกแอบนึกถึงช่วงบั้ม 35XXXV เพลง memories / suddenly แบบแปลกๆ กลิ่นอายเดียวกันลอยมาเลย ส่วนตัวเราชอบอินโทรกีต้าร์เพลงนี้มาก
2. Neon
เรามีโอกาสฟังพรีวิวเพลงนี้ก่อนอัลบั้มปล่อย 2-3 วัน โดยที่ไม่รู้เลยว่า producer ที่ทำอัลบั้มนี้เคยทำเพลงให้กับ My Chemical Romance ฟังครั้งแรกเราชอบมาก และความกลิ่นอายของ mcr มันชัดมาก และเราแอบนึกถึงวง Tilly Bird ของไทยนิดหน่อย เป็นแทร็กที่คิดว่าน่าจะได้ฟังซ้ำหลายรอบมากๆ
3. Vandalize
เหมือนจะเป็นเพลงประกอบ theme เกม SONIC FRONTIERS ที่เพิ่งถูกปล่อยออกมาก่อนหน้าไม่กี่วันจะปล่อยอัลบั้มเต็ม ส่วนตัวเราชอบท่อนช่วง Said you'd keep me safe, now you're tearing me down Am I laid to waste now that you're not around? นี้มากกกกกกก คิดว่าเล่นสดน่าจะ arranged ดีกันน่าดู ดนตรีน่าจะดุดันกว่าในอัลบั้มมาก
4. When They Turn the Lights On
ฟังครั้งแรกนึกถึงเพลงประกอบดิสนีย์มากกกก เรานึกถึึงเสียงร้องของ Brendon จากวง Panic at the Disco ในเพลง Into the Unknown มากกกกก และเป็นอีกเพลงที่กลิ่น mcr อีกแล้ว โฮรรรร อยากฟังสด
5. Let Me Let You Go
เพลงถูกปล่อยออกมาพร้อมกับ mv documentary คอนของวงช่วงที่ผ่านมา ซึ่งขอยอมรับตรงนี้ว่าตอนแรกแทบไม่สนใจเพลงเลย สนใจผู้หญิงใน mv ล้วนๆ ไม่รู้ว่าสาวเจ้ายังเป็นแค่เพื่อนเหมือนปีก่อนๆ ที่เคยร่วมเฟรมกันไหม หรือว่ามีการพัฒนาความสัมพันธ์กันไปแล้ว ก็คงต้องรอทากะออกมาบอกกันอีกทีว่าอะไรยังไง แต่ส่วนตัวเพลงติดหูมาก ฟัง 3 รอบร้องตามได้แล้วเรียบร้อย แต่!!!! ร้องตามยากมากนะ เสียงสู้ไม่ไหวจริงๆ ร้องทีน่าจะต้องปีนเสาไฟแข่ง
6. So Far Gone
เพลงของคนไม่ move on โฮรรรรร เราชอบ lyrics เพลงนี้ ทั้งดนตรี ทั้งเสียงทากะมันแบบ...ไม่มูฟของจริง มันเจ็บปวด แต่เขาคนนั้นก็สวยงามมากไม่ไหว ท่อนที่บอกว่า So close, yet so far Like the moon and the stars เราเหมือนหมาแหงนมองท้องฟ้าอ่ะ ฮือออออ และท่อนที่เราชอบอีกท่อนคือ The weight of your name gonna keep me steady คือแบบ...ร้องไห้เป็นหมา แต่ฉันเก่งมากเลยนะ ส่วนท่อน Explaining explaining The pain that I got เราแบบ..ร่ำไห้ ได้แต่ขอคำอธิบายอ่ะ ฮือออ ท่อนนี้โคตรจจะ trigger เรามากเลย
7. Prove
อินโทรขึ้นมานึกถึงเพลงประกอบอนิเมะสักเรื่อง และเราชอบท่อนนี้มาก Learn from the mistakes I’ve made โฮรรรรร คนเราก็มีเรื่องที่ต้องเรียนรู้จากสิ่งที่ผิดพลาดกันทั้งนั้นแหละ คิดภาพเล่นสดเพลงนี้ไม่ออกเลย ว่าจะออกมาในรูปแบบไหน แต่เป็นอีกเพลงที่หวังว่าจะได้ฟังสดๆ
8. Mad World
เพลงนี้เป็นเพลงแรกเลยที่เราฟังพรีวิวแล้วรู้สึกว่าโคตรจะป๊อป ฮ่าๆๆๆ แต่ที่น่าแปลกใจคือ เพลงนี้ version Japanese ร้องเนื้อญี่ปุ่นเกือบทั้งเพลง อยากจะร้องไห้มาก โฮรรรรร
9. Free Them (feat. Teddy Swims)
เป็นเพลงที่ได้ Teddy Swims มาจอยด้วย เราลองไปฟังเพลงเขามา ซึ่งต้องบอกว่าเสียงเจ้าตัวเป็นแนว cover ต้องมาทรงบัลลาดแน่ๆ ก่อนฟังตอนแรกคิดว่าเพลงจะออกแนวช้าๆ หวานๆ บัลลาดจัดๆ ไปเลย เพราะทางนั้นเสียงสวยมาก เหมาะกับทางบัลลาดสุดๆ แต่พอเพลงออกมาแล้วค่อนข้างแปลกใจ แต่เพลงดีมาก ไลน์สาดประสานใส่กันคืออยากฟังสดให้ได้
10. Renegades
เพลงที่ถูกปล่อยมาตั้งแต่หนัง Rurouni Kenshin เข้า ไม่รู้จะพูดถึงตรงไหน เพราะตอนเพลงออก คนวิจารณ์กันไปเยอะมากแล้ว แต่เป็นอีกเพลงที่เราชอบมากของวันโอ อยากฟังสักครั้งพร้อมกับ Broken heart of gold
11. Outta Sight
อินโทรมาแบบซาวน์สังเคราะห์มาก (เรียกงี้ไหมนะ) นึกว่าช่วง introduction ของอัลบั้ม Ambitions ฟังแล้วรู้สึกเฉยๆ ไม่ได้รู้สึกว้าวหรือติดหูอะไรเลย อาจจะต้องใช้เวลาซ้ำหลายๆ รอบหน่อย
12. Your Tears Are Mine
หนึ่งในเพลงที่วันโอเลือกอัดลง studio session ในแผ่นอัลบั้ม version Japaneses Limited editions ก่อนฟังเพลงนี้อารมณ์เราค่อนข้างอีโมมากอยู่ด้วยอาการป่วย พอฟังแล้ว ทุก lyrics ทุกตัวอัักษรของเนื้อเพลงนี้ เหมือนสร้างมันมาเพื่อปลอบประโลมเรา เหมือนวันโอคอยฟังเราอยู่ข้างๆ เหมือนว่าวันโออยู่ตรงนี้ บอกเลยว่าถ้าวันโอเล่นเพลงนี้ในคอน เราไม่รอด เราร้องไห้ตายห่าแน่ๆ
13. Wonder
no comment กับเพลงนี้ เพราะเฉยๆ มาก ฟังก็ได้ ไม่ฟังก็ได้ ฮือออ ขอโทษนะวันโอ
adds on Japaneses version
14. Broken Heart of Gold (Japanese Version)
เราชอบเพลงนี้มาก ชอบมาก ชอบตั้งแต่ปล่อยมาครั้งแรก ชอบอะไรก็ไม่รู้ ทุก version ที่วันโอทำออกมา เราชอบมันหมดเลย I love myself but not today When it feels too painful ท่อนโปรดของเรา ชอบมาก ชอบที่สุด
15. Gravity (feat. Satoshi Fujihara) [OFFICIAL HIGE DANDISM]
เสียงทากะดูเหมาะกับอะไรแบบน่่ี้มากเลยเนอะ ฟังครั้งแรกแล้วรู้สึกว่าเหมาะดีจัง เหมาะดีจังเลย นึกถึงเพลง Curtain Call ที่ไปฟีทกับโชตะเลย ส่วนเสียงซาโตชิดีมากอ่ะ แบบเป็นเพลงที่โคตรลงตัว หวังว่าตอนทัวร์จะได้มาจอยด้วยกันนะ เล่นสดคงจะดีมากๆ เลย
จบแล้ว ไม่มีพาร์ทในส่วนของดนตรีเลย ขอยอมรับตรงนี้ว่าไม่ถนัดมากๆ และห่างหายจากการฟังร็อกไปหนักมากพอสมควร แต่โดยรวมแล้วเราก็ยังเป็นแฟนเดนตายของวันโออยู่ดี ไม่ว่าจะทำอะไรออกมา ด้วยความไบแอสด้วยส่วนหนึ่ง และความเป็นวง เรายอมรับเลยว่ามันทำให้ทุกอย่างที่เหมือนจะแปลก กลับลงตัวกันไปหมด
หวังว่าจะได้เจอกันเร็วๆ นี้นะ คิดถึงมากกกกกกกก คิดถึงข้าวเหนียวมะม่วงกั๊บมากกกกก ฮ่าๆๆๆๆๆ รีบๆ กลับมาเด้อ ❤️
written by: kampin
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in