ปัจจุบันมีการวิเคราะห์การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและสังคมจาก Nighttime Light (NTL) หรือ ดัชนีแสงสว่างในเวลากลางคืน ซึ่งเป็นข้อมูลที่เก็บจากภาพถ่ายทางดาวเทียม การประเมินสังคมโดย NTL ยังเป็นการประเมินที่ไม่ได้ให้ผลแม่นยำร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ก็สามารถเป็นตัวแสดงภาพการเติบโตของสังคมคร่าวๆได้ ตัวอย่างเช่น การวิเคราะห์ Nighttime Light ของประเทศฟิลิปปินส์ในปี 2001-2013 ที่นำเสนอโดย Art Martinez นักวิจัยทางสถิติของ Asia Development Bank (ADB) หรือ ธนาคารพัฒนาเอเชียในกรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ Martinez กล่าวว่าภาพการเปลี่ยนแปลงของจุดแสงเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงการขยายตัวของสังคมเมืองที่มากขึ้น
"แต่อะไรกันล่ะที่อยู่ภายใต้การเจริญเติบโตของสังคมเมือง ไม่ใช่การทำงานที่มากขึ้นของผู้คนงั้นหรือ"
ภาพ Nighttime Light นี้กลับสร้างคำถามนี้ขึ้นในใจผู้เขียน คล้ายกับการนำภาพนี้ไปให้คนที่มีจุดยืนแตกต่างกันดูแล้วถามว่าคุณเห็นอะไร
จิตกรอาจตอบว่า
"สิ่งนี้คืองานศิลปะ มันคือการแต้มจุดสีขาวบนพื้นหลังสีดำ"
นักวิทยาศาสตร์อาจตอบว่า
"มันคือการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีเพื่อเก็บข้อมูลการใช้พลังงาน ของเมือง"
แต่หากคุณลองผ่านไปถามลูกจ้างที่ทำงานกะกลางคืนเพื่อหาเงินเขาจะตอบคุณว่า
"นั่นคือเวลานอนที่หายไปของผม"
.
ในสังคมที่ไม่หยุดนิ่ง ผู้คนมีความจำเป็นต้องทำงานในจำนวนชั่วโมงที่มากขึ้น จนบางครั้งกลายเป็นบรรทัดฐานที่หลีกเลี่ยงได้ยาก เช่น วัฒนธรรมการทำงานหนักของคนสิงคโปร์ จากบทความ Breaking Singapore’s workaholic culture โดย Louisa Tang แสดงให้เห็นว่าในประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างสิงคโปร์ ผู้คนทำงานหนักเกินเวลาปกติ จากสถิติในปี 2015 คนสิงคโปร์มีชั่วโมงการทำงานเฉลี่ยมากเป็นอันดับสองในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วคือ 45.6 ชั่วโมง รองจากฮ่องกงที่ค่าอยู่ที่ 50.1 ชั่วโมง รายงานในปี 2016 โดย Manpowergroup เผยให้เห็นว่าชาวสิงคโปร์ โดยเฉพาะกลุ่มมิลเลนเนียลหรือกลุ่มคน Gen Y มีชั่วโมงการทำงานมากถึง 48 ชั่วโมง เป็นอันดับสองเท่ากันกับจีนและเม็กซิโก อันดับหนึ่งคือ อินเดีย อยู่ที่ 52 ชั่วโมง ซึ่งแม้ทางรัฐบาลได้ออกนโยบาย 'Work-life balance' และพยายามลดจำนวนชั่วโมงการทำงาน ผลที่ได้กลับไม่ต่างจากเดิมมากนัก
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดและกำลังเกิดขึ้นในตอนนี้เลยคือ ผลกระทบทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจของบุคลากรทางการแพทย์ที่ปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่เกิดการระบาดของไวรัส COVID-19
วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2020 สำนักข่าว LA Times เปิดเผยยอดผู้เสียชีวิตจำนวน 18 คน ซึ่งเป็นบุคลากรทางการแพทย์ในเขตพื้นที่เสี่ยงสูง โดยจำนวนนี้ไม่ใช่แค่ผู้ที่เสียชีวิตจากการติดเชื้อไวรัส แต่ยังนับรวมคนที่เสียชีวิตจากโรคหัวใจและปัจจัยด้านความเครียดที่เป็นผลจากการทำงานหนักภายใต้แรงกดดันเป็นเวลานาน
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in