เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Cat Study วิชาแนะแมวSALMONBOOKS
บทที่ 0 LIFE BEFORE CAT


  • ผมเป็นคนที่มีสัตว์เลี้ยงวนเวียนในชีวิตมาโดยตลอด ตั้งแต่ยังเด็ก ที่บ้านก็เลี้ยงหมา เลี้ยงปลาเลี้ยงเต่า (สองอย่างหลังนี่ไม่ได้เป็นการเลี้ยงด้วยตัวเองโดยตรงแต่ก็ถือสิทธิ์ในการเป็นเจ้าของกับเค้าด้วย) โดยเฉพาะหมาที่บ้านเลี้ยงเยอะมาก พอตายก็เลี้ยงใหม่อีกตัว เปลี่ยนรุ่นไปเรื่อยๆ เหมือนโทรศัพท์มือถือ บางช่วงสุนัขนิยม (คล้ายๆ วัตถุนิยม)มาก ก็เลี้ยงมันทีเดียว 11 ตัว เรียกได้ว่าเป็นครอบครัวที่ไม่มีความพอเพียงในหมาเลย

    พอต้องมาอยู่เมืองกรุงคนเดียว ผมจึงติดนิสัยต้องมีสัตว์เลี้ยง ซึ่งก็ไม่พ้นหมา แต่หมาเป็นสัตว์ที่ต้องการความใส่ใจค่อนข้างมาก ต้องการพื้นที่ในการเลี้ยงพอสมควร แล้วหมาที่ผมเลี้ยงตอนนั้นเป็นหมาใหญ่ เลี้ยงไปได้หนึ่งปี ตัวมันก็ใหญ่ ไม่มีที่ให้วิ่งเล่น จึงต้องจำใจจำจากเจ้าจำจรกับมันไป (เอาไปให้ที่บ้านเลี้ยงนะ ไม่ใช่วางยาเบื่อ)



  • หลังต้องจากจรกับหมา สามสี่ปีต่อมา ก็เป็นช่วงที่ชีวิตผมขาดสัตว์เลี้ยงโดยสิ้นเชิง กลับมาบ้านก็อยู่ตัวคนเดียว เปล่าเปลี่ยวเดียวดาย ทำงานงกๆ ทุกค่ำเช้า ชีวิตขาดสีสัน ไม่ว่าวันนั้นจะสนุกมามากแค่ไหน พอไขกุญแจเปิดประตูบ้านปุ๊บ ก็เข้าสู่ช่วงเงียบ ทั้งบ้านเงียบงันเพราะมีตัวเราอยู่คนเดียว เป็นสิ่งมีชีวิตเพียงปัจเจกเดียว ไม่นับแมลงสาบและยุงต่างๆ

    ตอนนั้นชีวิตประสบความล้มเหลวมาบางประการ ขื่นขมระทมมาก จนเพื่อนสนิทคนหนึ่งบอกว่า...




  • พอได้ยินเพื่อนบอกแบบนั้นก็คิดในใจว่า โอ้ ไอ้ห่า มึงคิดว่ากูเป็นตาแก่ที่อยู่กับบ้านแล้วต้องมีแมวเป็นเพื่อนตายใช่มั้ย แบบ Old people and their cats. ซึ่งในใจมโนความสัมพันธ์ของแมวกับคนแบบนั้นจริงๆ นะครับ เพราะตอนเด็ก ในละแวกบ้านที่อยู่ บ้านที่เลี้ยงแมวมักจะเป็นป้าๆ หกสิบอัปด้วยกันทั้งสิ้น

    ป้าแต่ละคนไม่มีคู่ชู้ชื่น มีแค่แววตาฝ้าฟางที่อาบไปด้วยความเหงา มือลูบขนแมวทั้ง 38 ตัวที่พัวพันอยู่ตามแข้งขาจนกระทั่งเธอตายจากพิภพนี้ไปในที่สุด นี่เป็นภาพจำผิดๆ ที่ผมเคยมีกับแมว


  • อีกอย่างคือไม่คิดว่าแมวเป็นสัตว์ที่เลี้ยงได้ ถึงได้ก็ไม่ยั่งยืน เป็นสิ่งที่เลี้ยงดูอย่างผ่านๆ ไม่ใช่เลี้ยงเพื่อให้มันอยู่กับเรา เอาข้าวให้กินก็ไม่เห็นมันจะมีความสำนึกบุญคุณอะไรกับเจ้าของชามข้าวเลย กินแล้วก็บ๊ายบายโดยที่ไม่มีภาระผูกพันกัน เหมือนวันไนท์สแตนด์ ไม่เหมือนหมาที่เลี้ยงปุ๊บเหมือนได้แต่งเมีย คือมึงจะอยู่กับกูตลอดไปตราบดับดิ้นชีวาวาย


    แล้วไหนจะความเชื่อที่ว่า แมวมันทำตัวเป็นเจ้านายคนอีกเล่า กูว่ากูเป็นคนเรื่องเยอะแล้วนะ เวลารับงานมา เจอลูกค้าสั่งก็ไม่ชอบแล้ว นี่ยังจะมีเจ้านายอีกตัวที่บ้านเหรอ มันจะดีเหรอวะ จะต้องหักคอมันแน่ๆ ดูเป็นสิ่งที่ไม่น่าเลี้ยงเลย


  • การกลับไปเลี้ยงสัตว์อีกครั้ง ก็คือตอนเลี้ยงหมาก็ปวดหัวกับการพามันไปถ่ายในสวน ไม่ให้ถ่ายในบ้าน ต้องให้กินอาหารเม็ดผสมอาหารเปียก เพื่อสุขภาพที่ดี ต้องพาไปเดินเล่นไม่งั้นเหงา ต้องดูแลมันทุกวัน ห้ามหายไปเป็นสัปดาห์เดี๋ยวจิตตก แล้วหมาที่เลี้ยงตอนนั้นคือมันติดเรามาก เรียกว่าอยู่ตรงไหน มันก็จะมาเรียกร้องความรักความเอ็นดูตลอดเวลาจนเหมือนแฟนที่โทร.หาตลอดทุกสิบนาที เธออยู่ไหนอะๆ ตลอด คือรักนะ แต่ก็อยากเป็นส่วนตัวบ้างไง ก็เลยคิดว่า เฮ้ย แมวมันต้องเอาแต่ใจกว่าหมาแน่ๆ เลี้ยงยากชัวร์


    ผมคิดไม่ออกเลยว่าในจักรวาลของการเลี้ยงแมวมันมีอะไรโคจรอยู่บ้าง คงต่างจากจักรวาลแห่งการเลี้ยงหมาที่ยังมโนออก หรือถ้าเลี้ยงปลาก็ อะ ให้อาหารปลาซากุระ มีออกซิเจนนิดนึงพอ ไม่ยากมั้งแต่แมวนี่คือมีอะไรที่ไม่รู้เต็มไปหมด ทำไมต้องมีทรายแมว ทรายแมวคืออะไร งง

    แต่ทั้งหมดนี้ เพื่อนคนดังกล่าว (ซึ่งก็คือไอ้แบงค์ บ.ก. แซลมอนนี่แหละ) ก็บอกว่ามันไม่ยากหรอกมึง “เลี้ยงง่ายกว่าหมา”

    “ง่ายกว่าหมา” เป็นไปได้ไง? หลอกกูใช่มั้ย




  • ด้วยความที่เห็นว่าสภาพจิตใจของผมในตอนนั้นอยู่ในขั้นโคม่าแล้ว ไอ้แบงค์คงกลัวว่าถ้าไม่หาตัวอะไรมาใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับผม อีกสักพักจะต้องเสียสติเป็นภาระต่อมันที่จะต้องพาไปส่งโรงพยาบาลแน่ๆ ไอ้แบงค์ก็เลยโน้มน้าวต่อไปด้วยความหนักหน่วงจนแทบจะเป็นการไซโคอยู่แล้ว หลังๆ มีการส่งรูปแมวน่ารักต่างๆ มาปรนเปรอทุกวันเหมือนคนบ้า จิตใจผมก็เริ่มเอ๊ะ หรือจะเลี้ยงได้วะหรือจะเลี้ยงได้วะ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เรื่อยๆ เรื่อยๆ

  • แถมในกองฯ แซลมอนทุกคน (ซึ่งรู้จักมักจี่เห็นหน้าค่าตากันทุกวัน) คือผู้เชี่ยวชาญในการเลี้ยงแมว ถ้าเป็นสนามรบ พวกนี้คือระดับเสนาธิการบัญชาการแล้ว ผ่านประสบการณ์ต่างๆ มาเยอะมากสามารถช่วยได้แน่นอน ไม่ว่าจะการดูแลเบื้องต้นหรือระดับแอดวานซ์


    ยังไม่พอ แบงค์ยังนัดแนะให้น้องคนหนึ่งในกองฯ ไปเป็นแมวมองหาแมวที่เหมาะสมกับผมให้ด้วย ตัวนั้นมั้ยพี่ ตัวนี้มั้ยคะ ตอนนั้นวิชัย (ผู้เขียน มันมากับความเหมียว สนพ. a book) ก็รู้ว่าผมจะตัดสินใจมาเป็น ‘ทาสแมว’ (คำนี้เดี๋ยวจะเขียนถึงต่อไป) ด้วยกัน ก็ส่งรูปแมวแคนดิเดทต่างๆ มาให้เลือกอีก เรียกว่าวันๆ นึงในกล่องข้อความของผม มีแต่รูปแมวจนถ้าขนแมวมันส่งผ่านกันทางโซเชียลได้ผมคงเป็นปอดบวมตายไปแล้ว

    ก็เลยคิดว่า เออ เลี้ยงก็ได้วะ ถ้ามีแมวเหมาะๆ ผ่านเข้ามาในชีวิต คราวนี้ล่ะ...ชั้นจะไม่ปล่อยให้เขาหลุดไปแน่นอน! (ทำไมใช้ภาษาเหมือนสาวโสดที่กำลังเกาะรถไฟเที่ยวสุดท้ายไล่ล่าผู้ชายอยู่...)

    แต่ก่อนอื่นก็ต้องแจ้งพ่อแม่ญาติโกต่างๆ ก่อนว่าจะเลี้ยงแมว

    ซึ่งการตอบรับของแต่ละคนก็เชิดหน้าชูตาได้เป็นอย่างยิ่ง...




  • ประมวลแล้วก็รู้สึกว่าตัวเองนี่เลวจัง ได้คะแนนความเป็นมนุษย์ที่ควรจะเลี้ยงสัตว์ต่ำมากแต่ตอนนั้นใจมันก็ไปแล้ว เพราะถูกบิลด์อย่างหนักทั้งในและนอกกล่องข้อความ

    จนในที่สุดวันหนึ่งข้าพเจ้าก็...


Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in