เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
BE RIGHT BACK หายไปที่อื่นSALMONBOOKS
02: North Korea




  • 1

    คุณรู้อะไรเกี่ยวกับเกาหลีเหนือบ้าง

    คุณคงรู้ว่าเกาหลีเหนือเป็นดินแดนที่ ‘โหดสัสสลัดเป็ด’ ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก คุณคงรู้ว่าเกาหลีเหนือมีผู้นำชื่อ Kim Jong-un ที่สืบทอดอำนาจมาจากพ่อ (ซึ่งสืบทอดอำนาจมาจากปู่) อีกที และคิม จอง-อึนมีนิสัยเหมือนเด็ก เอาแต่ใจ ชอบยิงนิวเคลียร์ คุณคงรู้ว่าเกาหลีเหนือเป็นประเทศ ‘ปิด’ และมีความฮึ่มแฮ่จะทำสงครามกับเกาหลีใต้บ่อยครั้ง และคุณอาจรู้ว่าในเกาหลีเหนือนั้นไม่ค่อยมีสิ่งที่เราเรียกกันว่า ‘เสรีภาพ’ หรือ ‘อิสรภาพ’ ทางการแสดงความคิดเห็นเท่าไหร่

    ก่อนจะไปเกาหลีเหนือผมก็รู้เท่านี้

    จนกระทั่งผมได้ก้าวเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของละครฉากโต

    ผมได้รับคำชวนให้ไปเกาหลีเหนือจากเพื่อนนักเขียนหนุ่มคนหนึ่ง เขาได้รับติดต่อมาจากองค์กรที่ไม่ขอออกนาม เกาหลีเหนือมีแผนการชวนให้คนไทย โดยเฉพาะสื่อมวลชนไปเยี่ยมเยือนประเทศเขาบ้าง เพื่อจะได้ ‘ปรับความเข้าใจ’ และเปลี่ยนทัศนคติกับเกาหลีเหนือเสียใหม่ เพราะที่ผ่านมาดูเหมือนว่าเกาหลีเหนือจะไม่มีพื้นที่ให้พูดหรืออธิบายในเวทีโลกสักเท่าไหร่ แถมไม่ว่าจะพูดอะไรไป สื่อสหรัฐฯ รวมถึงประเทศอื่นๆ (แน่นอน, ทั้งจากปากคำคนเกาหลีเหนือที่หลบหนีออกมาจากประเทศได้ด้วย) ก็ปัดตกเสียหมด เกาหลีเหนือเป็นเสมือนกับผู้ร้ายดีฟอลต์ของเรื่องราวในภาพยนตร์ เกม ละคร เหมือนกับนาซีในยุคหนึ่ง และพวกเขากำลังรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ อันเป็นที่มาของโครงการที่อยากจะให้คนอื่นได้ลองไปสัมผัส เผื่อจะได้นำ เรื่องดีๆ ออกมาพูดให้ขจรขจายต่อไปบ้าง

    เราเดินทางกันไปเป็นคณะสิบคน เป็นสื่อเกือบครึ่ง อีกครึ่งหนึ่งเป็นผู้ทำงานในองค์กรหรือเป็นคนรู้จักผู้ร่วมเดินทางอีกทอด

    การเดินทางครั้งนี้รัฐบาลเกาหลีเหนือเป็นผู้สนับสนุนค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในประเทศทั้งหมด ทั้งค่าเดินทาง อาหาร และโรงแรม ส่วนพวกเราก็จ่ายเฉพาะค่าเครื่องบินที่จะต้องไปจีนเพื่อทรานซิตที่สนามบินปักกิ่งและต่อเครื่องบินอีกลำไปลงที่สนามบินเปียงยาง
  • 2

    ผมเจอรับน้องทันทีเมื่อถึงสนามบินเปียงยาง 

    อย่างที่คนรู้จักจะรู้กันว่าผมเป็นพวกบ้าอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ นั่งเครื่องบินไม่ได้หากไม่มีสื่อบันเทิงติดตัวไปเยอะๆ ผมพกจอขึ้นไปทุกขนาดทุกไซส์ ตั้งแต่โทรศัพท์มือถือ คินเดิล ไอแพด ยันโน้ตบุ๊ค อันที่จริงก็ไม่ถือว่าเยอะอะไรใช่มั้ยครับ แต่เกาหลีเหนือไม่คิดอย่างนั้น จำนวนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ (น่าจะ) มากเกินไปหน่อยทำให้ผมถูกรับน้องที่สนามบินเปียงยางทันที

    “Your finger.” เจ้าหน้าที่บอกกับผม

    “Huh?” ผมงง

    “Give me your finger.” เจ้าหน้าที่ย้ำ

    เขาไม่ได้จะเอานิ้วผมไปตัดเหมือนกับยากูซ่าหรอกนะครับ แต่เขากำลังจะทำอะไรที่เลวร้ายน้อยกว่านั้นไม่เท่าไหร่หรอก นั่นคือเขาขอนิ้วผมเพื่อที่จะเอาไปปลดล็อคอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ที่พกมาทั้งหมดเพื่อดูว่าที่ผ่านมาชีวิตผมเป็นยังไง เคยถ่ายรูปอะไรไว้ อ่านอะไรอยู่ พกหนังเรื่องอะไรมาบ้าง มีแผนการจะทำร้ายทำลายเกาหลีเหนือหรือเปล่า และเนื่องจากผมพก ‘เครื่องมือ’ มาหลายชนิด เขาจึงจับผมแยกออกไปอีกซอกหนึ่ง ในขณะที่คนอื่นซึ่งอาจพกอะไรมาน้อยกว่า (มาก) ถูกปล่อยให้ผ่านสบายๆ หลังจากปลดล็อคโทรศัพท์มือถือให้ดูเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
  • ที่ซอกนั้นเขาสั่งให้ผมเปิดกระเป๋า เนื่องจากเครื่องสแกนตรวจพบว่ามีฮาร์ดดิสก์ขนาดเล็กสองสามอันอยู่ในนั้น

    “ซวยละ” ผมคิดในใจ ระลึกขึ้นได้ว่าเกาหลีเหนือไม่ค่อยชอบวัฒนธรรมอเมริกัน แล้วในฮาร์ดดิสก์บางอันผมก็ดันยัดหนังฮอลลีวูดใส่พวกมันจนอ้วนเสียด้วย!

    เจ้าหน้าที่หยิบฮาร์ดดิสก์สองอันนั้นขึ้นมา แล้วเดินออกไปจากฉากเพื่อเอาฮาร์ดดิสก์ไปตรวจสอบด้วยวิธีที่ผมไม่มีทางรู้ว่าเขาจะเห็นหรือไม่เห็นอะไรบ้าง เวลาเดินผ่านไปเชื่องช้า ในขณะที่เจ้าหน้าที่อีกคนก็ค้นไฟล์ทั้งโน้ตบุ๊คของผมด้วยการเปิด All Recent Files ทั้งงาน ทั้งเกม ทั้งหนังโป๊และไม่โป๊ พวกเขาเห็นหมด—ผมหน้าชา แต่เจ้าหน้าที่ก็ดูหน้าชินเหลือเกิน

    เมื่อเขาพอใจกับการตรวจคอมพิวเตอร์ เขาก็เปิดไอแพดของผมขึ้นมาดูว่าถ่ายรูปอะไรไว้บ้าง รูปเซลฟี่ที่ถ่ายพลาด หรือรูปป้ายสินค้าลดราคาที่ถ่ายไว้

    เสร็จจากไอแพดเขายังไม่พอใจ ขอตรวจดูอีกว่าผมพกหนังสืออะไรเข้ามาในเกาหลีเหนือ แต่โชคดีที่เรื่องนี้ผมคาดการณ์ล่วงหน้าเอาไว้แล้ว ก็เลยไม่พกหนังสือที่เกี่ยวกับระบอบ ‘ทุนนิยม’ หรือเกี่ยวกับการล่มสลายของชาติมาด้วย เพราะถ้าพกมาคงถูกคิดว่าเป็นการต่อต้านระบอบของท่านผู้นำแน่ๆ

    เขาพลิกดูหนังสือเกี่ยวกับสารเคมีอย่างเหนื่อยหน่ายแล้วก็ยื่นคืน พอดีกับที่ฮาร์ดดิสก์สองอันนั้น (ซึ่งไม่รู้ว่าเขาจะเห็นหรือไม่เห็นอะไรบ้าง) ถูกส่งกลับคืนมาพอดี

    “You, Ok” เขาบอก

    ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่

    Edward Snowden บอกว่า NSA (National Security Agency หรือหน่วยงานข่าวกรองต่างประเทศของสหรัฐฯ) สามารถเข้าถึงข้อมูลของใครก็ได้ในโลก ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลส่วนตัวแค่ไหนก็ตาม ผ่านทางเทคโนโลยีการจารกรรมข้อมูลชั้นสูง

    ส่วนสนามบินเปียงยางไม่เห็นต้องใช้เทคโนโลยีชั้นสูงก็สามารถเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวของผมได้

    ยิ่งกว่าเปลื้องผ้ากลางถนนเสียอีก (โว้ย)
  • 3

    ระยะเวลาเจ็ดวันที่เกาหลีเหนือเป็นการต่อสู้ระหว่างหลายฝักหลายฝ่ายในจิตใจ

    ด้านหนึ่ง พวกเราได้รับการปฏิบัติอย่างดี มีไกด์ประจำตัวซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐ มีกระทั่งโอกาสได้คุยกับเจ้าหน้าที่รัฐหลายกระทรวง ทั้งกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงยุติธรรม กระทรวงกลาโหม กระทรวงวิทยาศาสตร์ เพื่อให้ได้ศึกษาเพิ่มเติมว่าจริงๆ แล้วเกาหลีเหนือมีแนวคิดอย่างไร และแนวคิดที่โลกภายนอกมองเกาหลีเหนือนั้นผิดเพี้ยนไปไหม

    อันที่จริงก็ถือเป็นโอกาสดีที่เราจะได้ล้าง preconception หรือความคิดดั้งเดิม จะได้เปลี่ยนอคติที่พกพามาจากโลกภายนอก

    แต่ในอีกด้าน ผมก็รู้สึกว่าทั้งหมดที่เขาพยายามแสดงให้เราเห็นมันเป็นเพียงละครฉากโตเพื่อสร้างภาพลักษณ์ให้กับเกาหลีเหนือเท่านั้น ภายใต้การต้อนรับขับสู้อันดีผมกลับรู้สึกเหมือนไม่เคยได้ออกจาก ‘สนามบินเปียงยาง’ เลย เพราะทุกการเคลื่อนไหวของผม (และพวกเราที่มาด้วยกันทั้งหมด) อยู่ภายใต้การจับตาดูของใครคนใดคนหนึ่งตลอดเวลา ถึงแม้เราจะไม่เห็นว่าเขาเฝ้ามองเราอยู่จากตรงไหนก็ตาม

    ตามคำบอกเล่าของไกด์ชาวเกาหลีเหนือ โรงแรมที่เกาหลีเหนือจัดให้เราพักเป็นโรงแรมของรัฐ แขกของรัฐบาลจะถูกพามาพักที่โรงแรมนี้เท่านั้น เสียงลือเสียงเล่าอ้างอื่นๆ ยังบอกผมว่าห้องพักทุกห้องมี ‘บั๊ก’ หรือตัวดักฟังซ่อนอยู่ เพราะรัฐบาลจะได้ล่วงรู้ความคิดเห็นของแต่ละคนเมื่อ ‘ลดการ์ดลง’ เพราะรู้สึกปลอดภัยในห้องพักที่คิดว่าไม่มีการจับตามอง

    เนื่องจากเกาหลีเหนือไม่มีอินเทอร์เน็ต—ในที่นี้คือไม่มีอินเทอร์เน็ตให้เราใช้—เราจึงไม่สามารถติดต่อกับทางบ้านได้ง่ายๆ จะทำได้ก็เพียงใช้โทรศัพท์ของโรงแรมเท่านั้น (ซึ่งก็ลือกันว่ามีการดักฟังอีก) ตลอดเจ็ดวันผมใช้โอกาสนี้โทร.กลับบ้านสองครั้ง และโทร.หาเพื่อนสนิทอีกสองครั้ง

    “เป็นยังไงบ้างมึง หิวไส้กรอกไหม” เสียงตามสายถามมา

    ต้องเล่าก่อนว่า ก่อนมาเกาหลีเหนือ ผมเกิดพารานอยด์ขนาดหนัก คิดว่าถ้าอยู่ที่เกาหลีเหนือแล้วเกิดซุ่มซ่ามก่อเรื่องให้เขาโมโหก็อาจโดน ‘เก็บ’ จึงนัดแนะโค้ดลับโง่ๆ กับเพื่อนไว้ว่า ถ้าผมตกอยู่ในสถานะสุ่มเสี่ยงเมื่อไหร่ ผมจะโทร.หาแล้วพูดคำว่า “หิวไส้กรอก” ออกมาโดยไม่มีบริบทอื่น ได้ยินว่าไส้กรอกเมื่อไหร่ เป็นอันรู้กันว่ามึงรีบติดต่อสถานทูตไทยให้วางแผนช่วยเหลือตัวประกันได้เลย



  • “ยังมึง...” ผมตอบ “แต่พรุ่งนี้ไม่รู้”

    เขาฟังแล้วหัวเราะ “โหดสัสมั้ยมึง คิมเป็นไง” เพื่อนผมถาม

    “…เดี๋ยวมึงจะทำให้กูหิวไส้กรอกจนได้ ไอ้สัส” ผมด่า เพราะรู้ว่าสายนี้ก็คงไม่พ้นโดนดักฟังอีกแน่ๆ

    พอเอามาเล่าแบบนี้แล้วก็ดูเหมือนจะเป็นเรื่องตลกนะครับ แต่ในสถานการณ์จริงตอนนั้นที่ ‘เหมือนจะสุขสบาย’ แต่ก็ ‘เหมือนอยู่บนขอบเหว’ ไปพร้อมกัน—ผมตลกไม่ออก

    ผมตลกไม่ออกยิ่งขึ้น เมื่อค่ำวันหนึ่งหลังจากเพื่อนนักเขียนของผมออกไปเดินเล่นนอกโรงแรมด้วยภารกิจถ่ายทำรายการหนึ่งตอนจากประเทศนี้ จึงต้องออกไปถ่ายฟุตเทจบางส่วนเก็บไว้ แต่การเดินเล่นของเขาอาจไม่สบอารมณ์ใครคนใดคนหนึ่ง จึงมีสายโทร.มารายงานไกด์ของเราว่า “อย่าปล่อยให้เด็กของคุณออกไปเพ่นพ่าน”

    ผมไม่รู้ว่าคนในสายคือใคร อาจเป็นเจ้าหน้าที่รัฐที่เราเห็นแต่งเครื่องแบบเดินขวักไขว่บนท้องถนน อาจเป็นเจ้าหน้าที่โรงแรม หรืออาจเป็นใครก็ได้ แต่ที่แน่ๆ เหตุการณ์นี้บอกเราว่า อิสระที่เราได้ หรือถูกทำให้เชื่อว่า ‘ได้’ นั้นเป็นเพียงภาพลวงตา ซึ่งเพื่อนของผมดันเดินไปชนขอบเขตของมันเข้าอย่างจัง

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in