เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
from the desert, with loveployapha.j
ซอกแซกตะลุยโรงเบียร์ที่ดับลิน
  • 09 March 2016






    สวัสดีเดือนมีนาคมอย่างเป็นทางการ



    ไฟล์ทแรกของเดือนนี้คือ ดับลิน ซึ่งในที่สุดเราก็ได้มาที่นี่เสียทีหลังจากที่เราโดนถอดออกจากไฟล์ทนี้ไปในเดือนที่แล้ว ไฟนอลลี่ชูวีดูวับปั๊บปาาาาาา :D



    เราเพิ่งมาสังเกตตัวเองแหละว่าเราไม่ค่อยจะได้ไฟล์ทยุโรปเท่าไรเมื่อเทียบกับคนอื่นๆ อย่างอาลี่มายรูมเมทนี่ก็ขยันไปจังเลยค่า เยอรมัน ฝรั่งเศส อิตาลี วนๆอยู่เงี้ย ส่วนเราก็โดนถอดไฟล์ทไปมาจนไม่รู้จะยังไงแล้วงง แต่รู้สึกว่าได้ออสเตรเลียบ่อยๆ ปลายเดือนนี้ได้เพิร์ธมาอีกแล้วล่ะ ซึ่งดีนะ ชอบ บินนานไปหน่อยแต่ก็สนุกดี มันชิวอะ



    สำหรับไฟล์ทนี้ตอนขาไปแน่นมาก เต็มมากแต่ก็แปลกดีที่ไม่ค่อยยุ่ง ผู้โดยสารนิ่งๆเงียบๆนอนดูหนังบ้าง หลับบ้าง คอลไม่ค่อยกระหน่ำ มีเวลาให้นั่งพัก ส่วนไฟล์ทขากลับคนน้อยกว่าแต่คอลกระหน่ำมากจ้า เอานู่น ขอนี่ เพราะส่วนใหญ่ผู้โดยสารตื่นกันหมด แต่ก็ไม่ยุ่งเท่าไฟล์ทลอนดอนหรือแมนเชสเตอร์ที่ผ่านมานะ มีเวลาว่างๆให้นั่งพักได้บ้าง ซึ่งพอนั่งเฉยๆก็กินไง กินทุกอย่างเลยแหละ ปกติมันจะมีคาร์ทนึงที่มีอาหารของพวกลูกเรืออยู่ มีกล้วย สลัด โยเกิร์ต แซนวิชไรงี้ มี hot meal ของลูกเรือ มีประมาณ 3-4 เมนูให้เลือกแต่ละไฟล์ท ใครมาก่อนหยิบก่อนก็ได้เลือกก่อนนั่นแหละ ซึ่งเราก็เบิ้ลสองจานตลอด โฮ กินช็อกโกแลต กาแฟ ขนมปัง โอ้ยตายย กินจนรู้สึกผิดบาปโดยเฉพาะไฟล์ทขากลับที่มีเสิร์ฟไอติมด้วย นี่ก็กินไปสามถ้วย บิสกิตอีก ขนมของชั้นบิสเนสอีก เย๊อะะะะะะ

    จากกระโปรงที่หลวมมากหมุนรอบเอวได้สบายๆ พอถึงดูไบปุ๊บนี่แน่นเปรี๊ยะเลยจ้าาาาา T_____T









    สำหรับทริปนี้เป็นทริปกินโดยแท้ สมกับเป็น #แอร์สายแดก จริงๆ เริ่มจากเรามาถึงโรงแรมประมาณบ่ายสามนิดๆ ฝนตกอีกแล้วไม่ต้องสงสัย คุยกับรีเซพชั่นก็ได้ความว่าก่อนหน้าที่เราจะมาถึงหิมะตกด้วยแหละ ยังเห็นหิมะอยู่บนภูเขาอยู่เลย เราก็เสียดาย อดเจอหิมะเลยแหะ

    ตอนแรกเราวางแผนว่าจะเข้าไปเดินในเมือง ไปคอลเลจ ถ่ายรูปตึกสวยๆ ไปโบสถ์ที่ฝังร่างของ St. Valentine ไรงี้ แต่เนื่องจากสภาพอากาศที่ค่อนข้างโหดร้าย ฝนตก ลมแรง หนาวมาก เราเลยตัดสินใจเปลี่ยนไปทำกิจกรรมในร่มแทน เป้าหมายคือไหนๆก็มาดับลินแล้วว่ะ เบียร์ไอริชต้องมา ผับไอริชต้องได้เหยียบ ต้องได้กระดก Guinness ดื่มจากแหล่งผลิตแบบออริจินอลโว้ย!!

    เรียกแท็กซี่ ไปค่ะพี่จอห์น ไป Guinness Storehouse !!!!!









    สาเหตุที่นั่งแท็กซี่ไปไม่ใช่ว่ารวยหรืออะไรหรอกนะ คือมันไม่มีบัสเข้าถึงนอกจากซื้อตั๋ว hop-on hop-off bus ที่รู้สึกว่ามันไม่คุ้มค่าเท่าไรเลย จริงๆจากโรงแรมจะเดินฝ่าความหนาวมาก็อยู่ในระยะเดินได้เหมือนกันแหละ น่าจะประมาณ 30-45 นาทีถ้าเป็นคนเดินเร็วๆก้าวยาวๆแบบเรา แต่นั่นแหละ มันหนาวไง ไม่ไหวจริงๆเลยขึ้นแท็กซี่

    คนขับก็ใจดี๊ใจดีอธิบายตลอดทางว่าตึกนี้คืออะไร โบสถ์นี้สำคัญยังไง ก็ได้ความรู้ดีไม่ใช่น้อย พอถึงที่หมายปุ๊บก็รีบพุ่งตัวเข้าตึกไปซื้อบัตรเลยเพราะอากาศหนาวมาก ลมแรงเชียวแหละ แถมกำลังจะมีกรุ๊ปทัวร์ตามหลังเรามาอีก จังหวะนี้คือความไวเป็นเรื่องของปีศาจโดยแท้









    สำหรับบัตรค่าเข้าชมอยู่ที่ 20 ยูโร ตอนแรกคนขายบัตรถามว่าเป็นนักเรียนรึเปล่าด้วยแหละ ดีใจที่หน้าเด็ก เย๊เฮ








    เข้ามาด้านในก็จะมีเจ้าหน้าที่มาบรีฟให้ฟังเกี่ยวกับแผนที่และอาคารว่าตึกนี้เป็นตึกรูปทรงเดียวกับแก้วเบียร์เลยนะ ซึ่งถ้าเทเบียร์เข้ามาในตึกนี้จนเต็มจะเท่ากับเบียร์ 14.3 ล้านไพน์ ตึกนี้แบ่งเป็น 7 โซน 7 ชั้น มีกิจกรรมอะไรให้ทำในแต่ละชั้นบ้าง พอฟังจบเราก็เดินเข้าสู่จุด Start ก้าวเข้าสู่โลกของ Guinness :D







    โซนที่ยืนฟังเจ้าหน้าที่บรีฟ










    เริ่มแล้วจ้าาาาาา









    1st floor – Brewing

    โซนแรกเป็นเรื่องเกี่ยวกับส่วนผสมต่างๆของเบียร์ วิธีการเอาบาร์เล่มาผ่านกระบวนการผลิตต่างๆ ใส่นู่น เติมนี้ น้ำที่ใช้มาจากไหน ไปจนถึงการหมักเบียร์ให้ได้ที่และการขนส่งไปยังที่ต่างๆทั่วโลก และแกลอรี่ภาพต่างๆ







    ตอนนี้คืออธิบายเรื่องน้ำที่ใช้ว่ามาจาก Wicklow and Dublin Mt.









    เรื่องราวเกี่ยวกับการหมักเบียร์









    ขนส่งไปทั่วโลก ฮูเร่




















    จากนั้นเราก็ขึ้นไปชมโซนที่สองนั่นก็คือ….









    2nd Floor – Taste Experience

    จุดนี้คือแทบวิ่งขึ้นบันไดไปอย่างรวดเร็ว แฮ่ มาทั้งทีก็ต้องชิมของเขาหน่อยโน๊ะะะะะะะะะะ













    ทางเข้าไปคูลมาก เท่เหลือเกิน












    เข้าไปห้องแรกจะเป็นห้องสีขาว เจ้าหน้าที่ก็อธิบายเกี่ยวกับส่วนผสมและกลิ่นต่างๆที่อยู่ในเบียร์อีกที ในห้องหอมมากกกกก ชอบกลิ่นนี้มาก มีช่องที่เป็นควันๆและเป็นกลิ่นส่วนผสมต่างๆให้ดมๆด้วยล่ะ











    พออธิบายเสร็จทุกคนก็จะได้รับแจกเบียร์จิ๋วมาคนละหนึ่งแก้ว และเดินเข้าสู่ห้องต่อไป ห้ามดื่มเบียร์ในห้องนี้นะจ๊ะ และไม่ว่า Guinness จะเล็กแค่ไหน ยังไงรสชาติก็เป็นเอกลักษณ์เหมือนเดิมจ้า (เขาบอกมางี้อะ)






    พอเข้าไปอีกห้องนึงปุ๊บก็จะมีการอธิบายวิธีการชิมเบียร์ที่ถูกต้อง ซึ่งปกติแล้วเวลาเราสั่งเบียร์มาก็จะเฮ ดื่มมมมมม หยิบเฟรนฟรายด์มากินบ้าง กินขนมไปพลางบ้าง ฟิชแอนด์ชิพบ้าง (คิดถึงเฟรนฟรายด์และดิปที่ Hobs ฮือ หย่อย) และไม่ค่อยสั่ง Guinness เท่าไร เทใจให้กับ Stella มากกว่า แต่พอตอนนี้คือตั้งใจฟัง ตั้งใจค่อยๆจิบแล้วละเลียดความละมุนละไมกลมกล่อมมากๆ สัมผัสถึงกลิ่นกาแฟที่ซุกซ่อนอยู่อย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน โอ้ยยยยย นี่คือการเสพย์งานอาร์ตอย่างหนึ่งเลยนะเว้ย ทำเป็นเล่นไป ฟินมากกกกกกกกกกกก











  • 3rd Floor – Guinness Advertising

    ขอต้อนรับเข้าสู่โลกแห่งการโฆษณาจ้า ตั้งแต่ยุคแรกยันปัจจุบันรวมไว้ที่นี่หมดแล้วครบถ้วน






















    4th Floor – The Guinness Academy

    ชั้นนี้ก็มีอะไรน่าตื่นตาตื่นใจไม่น้อย เพราะเราจะได้มีโอกาสเรียนรู้เกี่ยวกับการรินเบียร์ Guinness 6 ชั้นตอน พร้อมได้ประกาศนียบัตรด้วยนะ

















    5th & 6th Floor – Guinness & Food Experience

    ชั้นนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับอาหาร มีร้านอาหารด้วยแหละ ส่วนมากก็เป็นอาหารพื้นเมืองของไอริช ซึ่งเราก็ข้ามไปเพราะราคาค่อนข้างแรงอยู่พอสมควรเลยล่ะ












    7th Floor – Gravity Bar

    ชั้นนี้เป็นบาร์ที่เห็นวิว 360 องศาของดับลิน จิบเบียร์เบาๆและมองฟ้ามองตึก ฟินมากกกกกกก เบียร์นี่ก็ฟรีนะ เป็น complimentary drink โอ้ยยยยย ความสุขล้นปรี่มากกกกกกกกกกกก







    คนค่อนข้างเยอะ แต่ก็พอแทรกตัวหาที่นั่งได้แหละนะ












    มีเขียนอธิบายด้วยแหละว่ามุมนี้จะมองเห็นแลนด์มาร์กอะไรของเมือง









    ไปเอาเบียร์ฮะ รอกันแปบนึงนะเพราะต้องรอให้ฟองๆมันลอยขึ้นมาด้านบนให้หมดก่อน












    เย่ห์ ไพน์นี้ของหนู > < ฟองๆด้านบนทำเป็นใบโคลฟเวอร์ด้วยนะ น่าย้ากกกกกกกกกกก










    นั่งไปซักพักฟ้าเริ่มใส เห็นวิวทั้งเมืองเลยยยยยยย สุขมากกกกกกกกก










    เสร็จแล้วเราก็ลงมาเดินเล่นที่ร้านขายของที่ระลึกด้านล่าง มีของเยอะแยะตั้งแต่เสื้อกันหนาว หมวก พวงกุญแจ แก้ว ยันช็อกโกแลต ซอสหมักสเต็ก และมันฝรั่งทอด












    จากนั้นเราก็เดินเพราะอากาศดี๊ดี หนาวหน่อยก็ทนเอาไปตามหาร้านอาหาร

























    เป็นเมืองที่น่ารัก ทุกอย่างดูสงบเรียบง่ายอะ คนก็ใจดี ผู้ชายก็หล่อมากกกกกกก หล่อกว่าอังกฤษหลายช่วงตัวเลยแหละเธ๊อออออออออออ (ประเด็นมันอยู่ตรงนี้ย์)
















    ในเมืองก็มีร้านกาแฟฮิปๆเยอะมาก ร้านอาหารก็มากมายทั้งจีน ญี่ปุ่น เกาหลี อินเดีย เบอร์เกอร์ ฟิชแอนด์ชิพ ในที่สุดเราก็เดินเข้าร้าน Bobo เพราะรู้สึกว่าจะเป็นร้านเบอร์เกอร์ท้องถิ่นของที่นี่ล่ะ


    ได้เบอร์เกอร์เนื้อกับเฟรนฟรายด์มา ฟินมากกกกกกกก อร่อยแสงพุ่งอีกแล้วครับท่าน นี่รีบถ่ายก่อนกินอีกแล้ว 5555




    ขนมปังกรอบ เนื้อช่ำ เฟรนฟรายด์ดีมากกกกกกกก โอ้เย่ <3



    พอกินเสร็จก็นั่งแท็กซี่กลับเพราะหมดแรงเดินแล้วฮะ นอนตั้งแต่ทุ่มนึงจนถึงเจ็ดโมงเช้า ลงไปกินบุฟเฟต์อาหารเช้าที่สุดแสนจะเปรมปรี กลับขึ้นมาเตรียมตัวบินกลับ



    หมดแล้วแหละ 24 ชั่วโมงในดับลิน เที่ยวนี่นิดที่นั่นหน่อยไปเรื่อยๆเดี่ยวมันก็ครบเองละเนอะ :D ลากันไปด้วยภาพนี้ คริคริคริคริ






    เราเองไงจะใครล่ะ

    ด้วยรัก...จากดูไบ




Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in