เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
from the desert, with loveployapha.j
รอยยิ้มปริศนาและบทสนทนาในปารีส
  • June 2021




    กลิ่นหอมของกาแฟและครัวซองต์ที่เพิ่งอบเสร็จใหม่ ๆ ลอยมาแตะจมูกทันทีที่เราก้าวลงจากรถยนต์ อายะ ทำตาโตเป็นประกายวิบวับทันทีเมื่อเห็นป้ายร้าน Café de Flore พร้อมยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายคลิปลงสตอรี่ ส่วน โมโจ ที่ปิดประตูรถตามหลังนั้นมานั้นก็พึมพำว่าเขาไม่เคยเห็นจำนวนคนในร้านน้อยขนาดนี้มาก่อน








    เราหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปตามอายะบ้างและรีบสาวเท้าเดินนำทุกคนตรงเข้าไปที่ร้านกาแฟพลางสอดส่ายสายตาเข้าไปสำรวจโดยรอบ พบว่าภายในร้านคาเฟ่มีพนักงานเสิร์ฟยืนอยู่สองคน ตรงที่นั่งด้านหน้ามีลูกค้านั่งจิบกาแฟและอ่านหนังสือพิมพ์เพียงสี่ห้าโต๊ะเท่านั้น แม้ไม่เคยมาที่นี่มาก่อนแต่พอจะจำภาพถ่ายของเหล่าผองเพื่อนที่แวะเวียนมาเช็คอินได้ว่าบรรยากาศภายในร้านแห่งนี้คึกคักอยู่ตลอดเวลา สังเกตได้จากจำนวนคนแปลกหน้าที่บังเอิญเข้ามาร่วมเฟรมในภาพเพราะไม่ว่าจะถ่ายรูปจากมุมไหนก็มักจะถ่ายติดคนอื่นโดยไม่ได้ตั้งใจเสมอ จากภาพของเพื่อนๆที่เคยเห็นผ่านตานี้ทำให้เราพออนุมานได้คราวๆว่าร้านกาแฟแห่งนี้ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวมากเพียงใด



    ซึ่งนั่นคือสาเหตุหลักว่าทำไมเราไม่เคยมาที่ร้านกาแฟแห่งนี้
    รวมไปถึงไม่ค่อยได้เข้ามาเยี่ยมเยือนในเมืองปารีสอีกด้วย



    ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะเราพักอยู่ไกลจากตัวเมืองเลยทำให้รู้สึกขี้เกียจเดินทาง หรือเพราะตารางรถไฟทั้ง RER และรถใต้ดินมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอเนื่องจากการประกาศนัดหยุดงานที่ทำให้ต้องเปลี่ยนแผนการเดินทางกระทันหัน ตลอดจนสืบเนื่องมาจากอาการ Paris Syndrome ที่มักเกิดขึ้นกับผู้ที่หวังใจเอาไว้ว่าเมืองแห่งนี้ต้องสุดแสนจะโรแมนติกอย่างที่เคยวาดฝันเอาไว้เมื่อสมัยตอนเรียนมัธยมปลายสายศิลป์ฝรั่งเศส แต่ครั้นมาถึงจริง ๆ กลับพบกับคลื่นมหาชนจากทั่วทุกสารทิศ ได้กลิ่นฉี่ตามถนนหนทาง เจอกับมิจฉาชีพที่จ้องจะขูดรีดหรือทำทีเป็นเดินเข้ามาขายของแต่ก็พร้อมจะฉกกระเป๋าไปเสมอ ตลอดจนพนักงานตามร้านค้าที่เอาแต่พูดคำว่าหนีห่าวใส่คนเอเชียทุกคนที่เดินผ่านด้วยสีหน้าแห้งแล้ง ไม่ยินดียินร้ายกับโลก


    เอาเป็นว่าเข้าเมืองปารีสครั้งแรกก็สนุกดีแต่จะให้ถ่อสังขารที่โรยราจากการบินข้ามคืนมาเที่ยวทุกรอบก็คงไม่ไหว ไม่ได้ถึงขั้นเกลียดแต่รู้สึกยุ่งยากหากจะต้องเดินทางเข้าเมืองมาเพื่อจิบกาแฟแล้วก็กลับไปนอน ดังนั้นในช่วงสามถึงสี่ปีมานี้ เราเลือกที่จะตื่นแต่เช้าแล้วนั่งรถประจำทางไปห้างสรรพสินค้าใกล้โรงแรมเพื่อเลือกซื้อของในซุปเปอร์มาร์เก็ต แวะร้านขนมปังเจ้าประจำ แล้วปิดท้ายที่ร้านอาหารไทยเพื่อซื้อกับข้าวใส่กล่อง take away กลับมากินที่ห้อง






    Bonjour!

    เสียงคุณพนักงานเสิร์ฟกล่าวทักทายด้วยน้ำเสียงสดใสพร้อมกับรอยยิ้มที่มองเห็นได้ชัดเจนทะลุมาส์กดึงเราให้กลับมาออกมาจากห้วงความคิด ก่อนที่จะพูดต่อด้วยภาษาอังกฤษสำเนียงฝรั่งเศสว่าเราสามารถเลือกนั่งตรงไหนก็ได้ตามสบาย


    เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยมีคน เขากล่าวแกมหัวเราะ
    พวกคุณเป็นนักท่องเที่ยวกลุ่มแรกของวันนี้เลยนะ

    เรากวาดสายตามองรอบร้านก็ดันไปประสานสายตาเข้ากับชาวปารีเซียงโต๊ะใกล้ ๆ ที่จับจ้องมาด้วยความสงสัยใคร่ครู่ ก่อนจะรีบตวัดเฉไฉไปมองทิศทางอื่นหรือกลับไปจดจ่อกับแก้วกาแฟตรงหน้าของตัวเอง แน่ล่ะ ในช่วงนี้ที่การเดินทางข้ามประเทศทำได้ยากกว่าที่เคย นักท่องเที่ยวเลยเป็นของหายากของปารีสไปแล้วกระมัง



    เราเลือกสั่งช็อกโกแลตร้อนและครัวซองต์เป็นมื้อเช้า อายะสั่งกาแฟและเดนิชชินนามอนลูกเกดที่ดูน่ากิน ส่วนโมโจเลือกสั่งช็อกโกแลตร้อนเหมือนเราพ่วงด้วย pain au chocolat อีกหนึ่งชิ้น เมื่อสอบถามรหัสไวไฟจากคุณพนักงานเรียบร้อย เราทั้งสามคนก็เปิดแผนที่เมืองปารีสขึ้นมาเพื่อคุยกันเรื่องเส้นทางการเดินทาง


    ทริปเข้าเมืองในวันนี้เป็นไอเดียของอายะและโมโจที่ต่างคนต่างวางแผนกันมาจากบ้านเสียดิบดีว่าใครอยากไปทำอะไรที่ไหนบ้าง อย่าง Café de Flore นี้ก็เป็นความตั้งใจของอายะที่อยากเริ่มต้นวันด้วยกาแฟร้อน ๆ และครัวซองต์หอมกรุ่น สำหรับเส้นทางเดินเล่นในเมืองนั้นโมโจรับหน้าที่เป็นไกด์นำทางเพราะเขามีแพลนสถานที่ที่อยากไปยาวเป็นหางว่าว ส่วนเราผู้ไม่อินังขังขอบกับปารีสเท่าไรแต่ติดสอยห้อยตามมาร่วมแชร์ค่าอูเบอร์ด้วยเพราะมีเป้าหมายในใจคือขอแวะร้านขายสีน้ำตรง Pont du Carrousel เพียงที่เดียวเท่านั้นจึงเออออไปไหนไปด้วยตามแต่ที่สองคนนั้นจะตกลงกัน



    มีใครอยากไปไหนเพิ่มเติมอีกบ้างมั้ย โมโจถามหลังจากกดเซฟจุดหมายที่ทุกคนอยากไปเรียบร้อย

    อย่างเช่น… ถ่ายรูปชิค ๆ ตรงด้านหน้าหอไอเฟล เขาเสริมพร้อมหรี่ตามองเราและอายะ


    ไม่!

    เราสองคนตอบแทบจะพร้อมกันก่อนที่จะหัวเราะคิกคัก ส่วนตัวแล้วเราค่อยโล่งใจหน่อยว่าวันนี้จะเป็นวันที่ดี การได้ออกมาใช้เวลาเลโอเวอร์อันน้อยนิดพร้อมกับลูกเรือที่ไม่งอแงอยากไปเช็คอินถ่ายรูปนับว่าเป็นความโชคดีที่แสนวิเศษ


    ย้อนกลับไปสมัยที่เพิ่งจะเริ่มบินใหม่ ๆ เราชอบออกไปเที่ยวกับเพื่อนลูกเรือที่คุยกันคลิกบนไฟล์ทแต่สุดท้ายก็พบว่าเรามักตกอยู่ในสถานะตากล้องประจำกลุ่มอยู่เสมอ ซึ่งจริง ๆ แล้วมันก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไรกับชีวิตนักเพราะชอบถ่ายรูปเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

    แต่การถ่ายรูปมุมเดิมมุมเดียวประมาณยี่สิบรูปแล้วยังใช้ไม่ได้ ต้องกดชัตเตอร์ถ่ายให้ใหม่อีกยี่สิบรูปนี่… ในบางที บางครั้ง บางเวลาก็ท้าทายความอดทนในใจอยู่พอสมควร ประกอบกับยิ่งออกไปเที่ยวกับคนเป็นกลุ่มใหญ่ที่คนนู้นจะเอาอย่างนั้น คนนั้นกินอันนี้ไม่ได้ คนโน้นอยากแวะซื้อของที่ร้านนี้ ความวุ่นวายอันไม่รู้จบนี้ทำให้ช่วงปีที่สามของการทำงานจนถึงปัจจุบัน เราเลือกที่จะออกไปเที่ยวคนเดียวมากกว่า


    ทั้งจังหวะก้าวเดินไปตามถนนที่ไม่ต้องรีบเดินให้ทันหรือต้องคอยใคร รวมถึงอยากหยุดถ่ายรูปตรงมุมไหนที่น่าสนใจก็หยิบกล้องมาถ่ายได้เลยโดยไม่ต้องเกรงใจคนที่เดินด้วยกัน แม้ว่าจะดูเหงา ๆ ไปบ้างในบางที แต่การเดินเที่ยวคนเดียวในเมืองใหญ่ก็เป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่รู้สึกว่าตัวเราช่างมีอิสระเสรีที่จะได้ทำอะไรตามใจเสียเหลือเกิน










  • หลังจากดื่มกาแฟเสร็จเรียบร้อยแล้ว โมโจก็พาเราเดินลัดเลาะไปตามทางตรงไปริมแม่น้ำแซนเนื่องจากตกลงกันแล้วว่าหมุดหมายที่สองของวันนี้คือร้านสีน้ำตรงสะพาน Pont du Carrousel








    ถนนหนทางที่ปราศจากรถยนต์และมวลหมู่นักท่องเที่ยวที่เดินขวักไขว่ทำให้ปารีสในช่วงเช้าวันนี้ดูเงียบสงบกว่าที่เคย มีเพียงร้านกาแฟเล็ก ๆ ที่ค่อย ๆ เปิดให้บริการ ส่วนร้านค้าต่าง ๆ นั้นยังคงปิดไฟเงียบสนิท

    แม้ตอนนี้จะเป็นช่วงกลางเดือนมิถุนายนแต่อากาศยามเช้ายังคงเย็นอยู่ราวกับว่าฤดูใบไม้ผลิยังคงอ้อยอิ่งไม่จากไปไหนและเมื่อเดินเข้าไปใกล้แม่น้ำเท่าไรก็ยิ่งสัมผัสได้ถึงลมเย็นสดชื่นที่พัดผ่านมาเข้ามาตามซอกตึกจนต้องจับเสื้อแจ็กเก็ตยีนส์ให้กระชับเข้าหาตัว










    อากาศดีจังเลยเนอะ อายะว่าพลางสูดลมหายใจลึกแล้วหลับตาพริ้มราวกับว่าพยายามจะเก็บเอาบรรยากาศรอบตัวนี้ไว้ให้นานแสนนาน


    หลังจากที่พวกเราใช้ชีวิตในช่วงเลโอเวอร์ด้วยความแห้งเหี่ยวเนื่องจากถูกขังให้อยู่แต่ภายในห้องโรงแรมมาเกือบทั้งปี ในที่สุดตอนนี้เราก็ได้รับอนุญาตให้ออกมาเริงร่าเที่ยวเล่นกันได้ตามปกติแล้ว (ยกเว้นบินไปประเทศแถบเอเชียและออสเตรเลียที่ยังคงต้องรับบทนางเฝ้าห้องเหมือนเดิม) ประกอบกับเกือบทุกในประเทศยุโรปยกเลิกการใส่หน้ากากอนามัยในพื้นที่นอกอาคารเรียบร้อย ฉะนั้นระหว่างที่เดินต๊อกแต๊กลัดเลาะไปตามถนนก็เป็นโอกาสดีที่เราจะได้เก็บเกี่ยวอากาศแสนสบายปลายฤดูใบไม้ผลิกลับบ้านไปให้เต็มปอดได้เต็มที่


    จะว่าไปมันก็เป็นความรู้สึกที่แปลก ๆ เหมือนกันนะ ที่ไม่ต้องใส่หน้ากากน่ะ โมโจหันมาตอบ
    รู้สึกโล่ง ๆ ยังไงก็ไม่รู้แหะ


















  • เรายืนสูดลมหายใจเข้าลึกออกยาวอยู่หน้า Magasin Sennelier ร้านขายสีและอุปกรณ์ศิลปะที่ได้รับการรีวิวว่าที่นี่เป็นร้านที่ดีที่สุดในปารีสด้วยความรู้สึกยากจะอธิบาย ป้าย “Le magasin est fermé.” เล็ก ๆ ที่แปะอยู่ตรงประตูกรอบสีเขียวทำให้ใจสลายไหลลงไปในแม่น้ำแซน


    ปิด… ที่ไม่รู้ว่าปิดกิจการไปเลยหรือว่าปิดแค่ช่วงนี้ เราหันไปบอกเพื่อนร่วมทางทั้งสอง

    แต่ในกูเกิลก็ยังเห็นว่าเปิดอยู่เลยนะ โมโจยื่นโทรศัพท์มือถือส่งมาให้ดู

    อาจจะแค่วันนี้ก็ได้มั้ง คงยังไม่ได้ปิดกิจการไปจริง ๆ หรอก อายะพยายามพูดปลอบใจขณะที่เราเอาหน้าแนบกระจกร้านเพื่อส่องดูความเคลื่อนไหวด้านใน เมื่อเห็นสีและอุปกรณ์ต่าง ๆ ก็ยังวางบนชั้นวางเรียงรายแน่นอยู่บนชั้นก็ทำให้ใจชื้นขึ้นว่าคงจะเป็นเพราะดวงเราไม่สมพงษ์กับร้านแหละมั้ง เขาเลยเลือกที่จะปิดทำการเอาวันนี้

    เดี๋ยวพาไปซื้อในห้างสรรพสินค้าก็ได้ ไม่เป็นไรนะ โมโจช่วยพูดอีกแรงเพราะเห็นว่าเรายังไม่เอาหน้าออกมาจากกระจกร้านเสียที



    ก็คนมันเสียดายนี่นา อุตส่าห์ถ่อสังขารเข้าเมืองมาเพื่อร้านนี้แท้ ๆ เชียว













    แล้วทำไมต้องเป็นร้านนี้ด้วยล่ะ เขาตามต่อโดยพยายามทำน้ำเสียงให้ดูสนใจใคร่รู้ขณะที่พวกเราเดินข้ามถนนช้า ๆ ตรงไปยัง Pont du Carrousel เพื่อเดินต่อไปยังพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์


    เราถอนหายใจหนึ่งเฮือกใหญ่เพื่อสลัดความรู้สึกเสียดายทิ้งไปแล้วตั้งต้นอธิบายว่าตั้งแต่ช่วงโควิดเป็นต้นมา เราได้ค้นพบกิจกรรมใหม่ที่ปลอบประโลมจิตใจและความสามารถที่ถูกทิ้งให้ลืมไปเนื่องจากการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ นั่นคือการวาดรูประบายสีน้ำ แม้ตอนนี้เรายังไม่เก่งมาก แต่การที่ตื่นมานั่งระบายสีทุกเช้าก็ทำให้รู้สึกว่าคืนวันในช่วงที่ไร้งานไม่ได้ผันผ่านไปโดยเสียเปล่า

    และสีที่เราชอบใช้มากที่สุดก็คือสีของ Sennelier นี่แหละ เป็นสีน้ำสีละมุนละไมที่ผสมน้ำผึ้งสูตรพิเศษ ถ้ามาซื้อที่นี่น่าจะถูกที่สุดแล้วหรือถึงราคาจะไม่ถูกที่สุดเนื่องจากอัตราแลกเปลี่ยนหรืออะไรก็ตามแต่ ตัวอาคารนี้ก็น่าสนใจเพราะร้านนี้อยู่ยืนยงคู่เมืองปารีสมาตั้งแต่ปี 1887 เราผู้ชื่นชอบร้านรวงเก่า ๆ ที่มีคาแรกเตอร์จึงมั่นใจว่าด้านในร้านแห่งนี้จะเต็มเปี่ยมไปด้วยความขลังอันเหลือล้นซึ่งตัวเราเองอยากเข้าไปซึมซับบรรยากาศบ้าง เผื่อว่าอะไรบางอย่างภายในร้านจะจุดประกายให้เกิดไอเดียบรรเจิดในการสร้างสรรค์ผลงานต่อไป

    ฟังดูเหมือนจะโอเวอร์จนเกินเหตุ แต่หลัง ๆ มานี้ที่ได้บินมายุโรปบ่อย ๆ (เนื่องจากไม่ค่อยได้ไฟล์ทเอเชียที่รัก) เราเปลี่ยนเป้าหมายจากการหาร้านกาแฟน่ารักนั่งอ่านหนังสือมาเป็นการตระเวนตามหาร้านอุปกรณ์ศิลปะเก่าที่อยู่คู่เมืองมานานเพราะมักจะได้สีน่ารัก พู่กันกุ๊กกิ๊กติดไม้ติดมือกลับบ้านมาด้วยเสมอ



    เพิ่งได้กลับมาลองใหม่ก็ตอนไม่มีงานทำนี่ล่ะ พอเข้ามัธยมปลายก็แทบไม่ได้วาดรูปเลย

    ระบบการศึกษาของเอเชียสินะ… โมโจพูดเสริมพร้อมแปะมือที่ไหล่ในเชิงปลอบโยนด้วยสายตาเหม่อลอย

     
    อ่า… นี่มันเด็กเอเชียนที่ถูกระบบการศึกษาทำร้ายมาเหมือนกันสินะ เราคิดในใจ


    ใช่ มัวแต่อ่านหนังสือเตรียมเข้ามหาลัยจนลืมไปแล้วว่าวาดรูปทำให้มีความสุขนะ พูดแล้วก็หัวเราะแหะ ๆ เพื่อกลบเกลื่อนก้อนขม ๆ ที่อยู่ ๆ เคลื่อนมาจุกตรงกลางใจอย่างไร้ที่มาพลางก้าวเท้าให้เร็วขึ้นเพื่อไปหยุดยืนชมวิวตรงกลางสะพาน

    แต่ถ้าตอนนั้นเลือกเรียนคณะที่คิดว่าตัวเองถนัดก็ไม่รู้ว่าชีวิตจะหมุนไปอยู่ตรงมุมไหนของโลกก็ไม่รู้เหมือนกันนะ บางที… เราอาจจะไม่ได้มายืนมองแม่น้ำแซนแบบในตอนนี้ก็ได้


    อะไรที่เกิดขึ้นแล้วย่อมดีเสมอแหละ… มั้ง…































  • ขอเวลาแค่ครึ่งชั่วโมงเท่านั้นนนนน ได้โปรดดดดดดด อายะทำสีหน้าอ้อนวอนพลางเขย่าแผงเหล็กตรงหน้าพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์จนคนที่เดินผ่านไปผ่านมาหันมามอง

    วันนี้คนน้อยมาก ดูสิ แทบไม่ต้องต่อแถวเลย เธอพูดต่อพลางพยักพเยิดไปตรงแถวที่ครั้งหนึ่ง ณ ลานกว้างหน้าพิพิธภัณฑ์แห่งนี้เต็มไปด้วยจำนวนคนมหาศาลต่อแถวยาวเหยียดวกไปวนมา แต่ในยามสายของวันนี้ ด้านหน้าของหน้าปิรามิดแก้วแทบจะไร้วี่แววของนักท่องเที่ยว ทุกคนเดินฉิวเข้าไปในพิพิธภัณฑ์แบบสบาย ๆ

    แต่เราต้องกลับโรงแรมตอนบ่ายสอง ไม่น่าจะมีเวลาดูอะไรได้นานนะ เข้าไปก็อาจไม่คุ้มค่าตั๋ว โมโจว่าพร้อมทำหน้าขรึม

    ใจจริงเราเอนเอียงไปทางโมโจเนื่องจากรู้นิสัยตัวเองว่าเป็นคนเดินชอบอ้อยอิ่งในพิพิธภัณฑ์ ค่อย ๆ ไล่ดูไปเรื่อย ๆ พร้อมกับฟัง audio บรรยายความเป็นมาของผลงานศิลปะแต่ละภาพ แถมนี่คือลูฟวร์ แม้จะไม่ใช่พิพิธภัณฑ์ในดวงใจที่อยากเข้าเท่ากับ Musée d'Orsay หรือ Musée de l'Orangerie แต่ก็มีผลงานหลากหลายที่น่าสนใจและคิดว่าต้องใช้เวลาเดินหลายวัน ถึงกระนั้น การเข้าชมลูฟวร์แบบไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวเบียดเสียดก็น่าสนใจที่จะลองเข้าไปดู

    เมื่อขอหัวหน้าทัวร์ไม่เป็นผล อายะก็เปลี่ยนเป้าหมายมาเป็นที่เราผู้กำลังเหม่อมองประตูทางเข้าแทน

    พลอยยยยยยยยยยยยยย อายะทำตาปิ๊งพร้อมตั้งท่าจะเขย่าแผงเหล็กอีกครั้ง
    ขอเข้าไปแค่แว้บเดียวเท่านั้น จริง ๆ นะ อยากไปดูโมนาลิซาาาาาาาาาาา
    แบบไม่มีคน




    แบบไม่มีคน
    แบบไม่มีคน
    แ บ บ ไ ม่ มี ค น


    โอเค!

    ไม่รู้ว่าอายะอ่านใจเราได้หรืออย่างไร แต่เมื่อเธอย้ำอีกครั้งว่าลูฟวร์มันไม่มีคนเยอะเท่าเมื่อก่อนและนี่คือโอกาสอันดีที่จะไปเห็นรอยยิ้มปริศนาของโมนาลิซากันสักครั้งแบบไม่โดนเบียดทำให้เราเออออตอบตกลงไปด้วยอย่างง่ายดายโดยไม่คิดจะคัดค้านอะไรอีก โมโจทำหน้ามุ่ย เราจึงยื่นข้อเสนอให้เขาเอาเครื่อง pocket wifi ของติดตัวไปเดินเล่นด้วยเผื่อเอาไว้ติดต่อกัน (ในพิพิธภัณฑ์มีไวไฟ นายเอาไปได้เลย!) เมื่อครบเวลาครึ่งชั่วโมงแล้วค่อยกลับมาเจอกันที่ลานน้ำพุ Grand Bassin Rond


    โมโจยังทำหน้ายุ่งไม่หาย ดูท่าแล้วเขาไม่ค่อยอยากไปเดินเล่นคนเดียวเท่าไรนัก

    พวกเราไม่ควรแยกกันเดิน เผื่อหลงทางหรือเกิดเหตุอะไรขึ้นมา ยังไงนี่ก็คือปารีสนะ เขาว่า

    ไปด้วยก็ได้ แต่สัญญานะว่าแค่ครึ่งชั่วโมง



    อายะฮูเร่แล้ววิ่งจู๊ดไปต่อแถวเข้าพิพิธภัณฑ์ เรากับโมโจหัวเราะเบา ๆ ก่อนที่จะรีบสาวเท้าตามหลังไป 

    เอาล่ะ ในที่สุดก็ได้ฤกษ์เข้าลูฟวร์กับเขาซักทีนะ


































  • โมนาลิซ่าอยู่ตรงปีกอาคารฝั่ง Denon ทางนี้ เราจิ้มไปที่ภาพวาดชื่อดังของลีโอนาโด ดาวินชีในแผนที่พิพิธภัณฑ์ที่เพิ่งเดินโฉบไปหยิบมาเมื่อครู่และผ่ายมือไปทางที่กลุ่มคนจำนวนมากเดินผ่านพวกเราไปอย่างรวดเร็ว

    ตามคนเยอะ ๆ ไป เดี๋ยวก็เจอเองล่ะ พูดจบก็รีบจ้ำเท้าตามกลุ่มข้างหน้าให้ทันพลางพลิกดูด้านอื่นของแผนที่ในมือ จริง ๆ แล้วในลูฟวร์นี้มีหลายอย่างที่น่าสนใจให้ชมอีกมากมายนอกเหนือจากงานศิลปะ อย่าง Journey to the Nile เส้นทางการเดินชมพิพิธภัณฑ์ที่พาเราย้อนกลับไปยังสมัยที่อียิปต์โบราณอันรุ่งเรื่องผ่านชิ้นงานศิลปะ เครื่องประดับ เครื่องใช้ และวัตถุโบราณหลากหลายรายการที่ขโมยมาได้รับการเก็บรักษาไว้อย่างดี













    ถึงแม้ว่าจะมีเวลาเพียงน้อยนิดจนไม่ได้เดินทั้งพิพิธภัณฑ์ให้สาแก่ใจ แต่อย่างน้อย ๆ เราก็ได้เก็บผลงานชิ้นสำคัญ ๆ ที่อยากเห็นในฝั่ง Denon Wing ได้บ้างระหว่างทางที่รีบเดินไปยังภาพโมนาลิซ่า อย่างรูปปั้น The Winged Victory of Samothrace













    เหลือบมองผ่านผลงานของศิลปินชาวอิตาเลียนในช่วงยุคเรอเนสซองส์ที่จัดแสดงอยู่ภายในโถง The Grande Galerie ก่อนที่จะเลี้ยวขวาเข้าให้ไปในห้องสีน้ำเงินเข้ม









    ภาพ The Wedding at Cana โดย Paolo Veronese ขนาดใหญ่เต็มผนังตั้งตระหง่านอยู่ทางด้านซ้ายมือสร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับเรามาก แต่ทว่าความสนใจของคนทั้งห้องกลับไปหยุดอยู่ที่รูปภาพฝั่งตรงข้าม









    โมนาลิซา เจ้าของรอยยิ้มอันเป็นปริศนา







    เดี๋ยวไปรอตรงทางออกนะ โมโจกระซิบเบา ๆ ก่อนจะเดินเลี่ยงไปอีกทาง ส่วนอายะนั้นจ้องภาพดังกล่าวโดยไม่ละสายตาราวกับต้องมนตร์สะกด




    จริงอย่างที่อายะว่าในเรื่องปริมาณของนักท่องเที่ยวเพราะภายในห้องจัดแสดงภาพโมนาลิซานี้มีคนเพียงหยิบมือเท่านั้นซึ่งทำให้เรามีเวลาพินิจพิเคราะห์ผลงานชิ้นเอกของดาวินชีได้อย่างสบายใจไม่ต้องรีบร้อน เช่น สังเกตเห็นความต่างของฉากหลังด้านขวาที่ยังวาดไม่เสร็จเมื่อเทียบกับด้านซ้ายที่ลงรายละเอียดเนียนกริบ ดูการสร้างแสงเงาที่ละมุนละไมด้วยเทคนิค sfumato (ลงสีวาดทับกันเป็นชั้น) ตลอดจนหวนนึกถึงบรรดาทฤษฎีสมคบคิดจำนวนมากเกี่ยวกับรอยยิ้มปริศนานี้



    ในที่สุดก็ได้มาเห็นภาพนี้ด้วยตาของตัวเองเสียทีนะ
    แม้เขาว่ากันว่านี่ไม่ใช่ของจริงก็ตามที…













  • เมื่อละสายตาออกจากภาพของหญิงสาวในกรอบสีทองเรียบร้อย เรายืนหลบมุมและกางแผนที่ในมืออีกครั้ง อาคารฝั่ง Denon นี้ไม่ได้มีเพียงแค่โมนาลิซาเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เราอยากเจอ ยังมีหญิงสาวในภาพวาดสีน้ำมันอีกคนนึงที่เราเฝ้าฝันว่าอยากเจอกันสักครั้งหนึ่ง

    เดี๋ยวมานะ เราบอกโมโจที่กำลังยืนดูของในร้านค้าเล็ก ๆ ของพิพิธภัณฑ์ด้านหน้าทางออกของห้องแสดงภาพสีน้ำเงิน

    แล้วอายะล่ะ

    ยังอยู่ในห้อง ถ้านานเกินไปก็เดินเข้าไปตามได้เลย ส่วนทางนี้ขอเวลาอีกแค่ห้านาทีเท่านั้น เราตอบเร็ว ๆ พร้อมตั้งท่าจะจ้ำออกเดินไปในทิศตรงข้าม อย่าถามมากได้ไหม เดี๋ยวเดินไปดูไม่ทัน

    แล้วยูจะไปไหน

    La Liberté guidant le peuple ตึกฝั่งนี้นี่แหละ เดี๋ยวมา เราตอบพร้อมยื่นแผนที่พิพิธภัณฑ์ที่มีรูปของภาพดังกล่าวไว้ให้โมโจและก้าวเท้ายาว ๆ ไปสู่ห้องจัดแสดงภาพห้องถัดไป







    ทันนี้ที่ก้าวเท้าเข้าสู่โถงจัดแสดงผลงานภาพวาดของศิลปินชาวฝรั่งเศส จากบรรยากาศการเดินพิพิธภัณฑ์สบาย ๆ ก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง อาจเพราะขนาดของเฟรมผ้าใบขนาดใหญ่ที่ตั้งขนาบอยู่สองข้างทั้งซ้ายขวาทำให้เรารู้สึกว่าตัวเองหดเล็กลงไปกว่าเดิม หรือเพราะสีแดงเข้มของผนังรอบด้านยิ่งขับเน้นให้รู้สึกว่าแต่ละภาพที่จัดแสดงอยู่ภายในห้องนี้มีความยิ่งใหญ่ เร่าร้อน และทรงพลังมากเหลือเกิน









    La Liberté guidant le peuple
    เสรีภาพนำประชาชน

    การปฏิรูป ไม่ใช่ การล้มล้าง
    แต่หากเปราะบางมาก ก็จงล่มสลายลงมาเสียเถิด



    เราเห็นภาพ La Liberté guidant le peuple ครั้งแรกก็เพราะเพลง Viva La Vida ของ Coldplay และเมื่อไปค้นคว้าหาที่มาก็พบว่าแรงบันดาลใจที่ทำให้เดอลาครัวซ์สร้างสรรค์ผลงานชิ้นนี้ขึ้นมานั้นมาจากเหตุการณ์ July Revolution อีกครั้งที่ประชาชนชาวฝรั่งเศสยืนหยัดลุกขึ้นสู้กับผู้ปกครองที่เป็นทรราชย์


    ความรู้สึกที่ได้รับจากภาพวาดนี้คือความรู้สึกฮึกเหิมและความกล้าหาญที่จะคิด ฝัน ตลอดจนลงมือทำเพื่อการเปลี่ยนแปลงสู่สิ่งที่ดีขึ้น เพื่ออนาคตอันรุ่งโรจน์ข้างหน้าที่เราทุกคนต่างถวิลหา


    เราต่างถูกฉีกกระชากความหวัง บดขยี้ความฝัน กดให้ไม่สามารถโงหัวขึ้นมาเพื่อปริปากส่งเสียงเรียกร้องใด ๆ ถูกข่มขู่ไว้ให้หวาดกลัวไม่กล้าลุกขึ้นมาตอบโต้ แต่เราเชื่อว่า ณ เวลานี้ ในวันที่เวลาอยู่ข้างเรา ทุกคนต่างกอบเศษเสี้ยวของความฝันและความหวังอันแตกสลายขึ้นมาใหม่ เปลี่ยนมันเป็นความโกรธแค้น จุดมันขึ้นมาเป็นเชื้อเพลิงในใจ และส่งต่อออกไปเรื่อย ๆ



    และในวันหนึ่งข้างหน้านั้น ชัยชนะจะเป็นของประชาชน




    (เรากลับมาเขียนตอนนี้ในวันที่ 10 พฤศจิกายน 2564 วันที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า การแก้ไขมาตรา 112 เป็นการล้มล้างระบอบการปกครอง อีกทั้งคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญยังย้ำไว้ด้วยว่า

    “เห็นได้ว่าประวัติศาสตร์การปกครองของไทยนี้ อำนาจการปกครองเป็นของพระมหากษัตริย์มาโดยตลอด”

    เราจึงขอยกคำของคุณพิธาขึ้นมากล่าวซ้ำอีกครั้งหนึ่ง เพราะนี่คือคำอวยพรเดียวกันที่เรามอบให้แก่องค์คณะผู้พิพากษาดังกล่าวที่ว่า

    "ท้ายที่สุดอยากฝากไปยังผู้มีอำนาจทุกท่านที่เชื่อว่าตัวเองจะสามารถเหนี่ยวรั้งเข็มนาฬิกาไว้ได้
    ขออวยพรให้ท่านมีอายุยืนเพียงพอที่จะเห็นความพยายามของท่านล่มสลายไม่มีชิ้นดี")





  • Santé!

    เราทั้งสามชนแก้วแชมเปญกันเบา ๆ ก่อนที่จะลงมือตัก Mont-Blanc ขนมขึ้นชื่อประจำร้าน Angelina Paris ที่โมโจย้ำนักย้ำหนาว่าเขาอยากมากินเจ้าขนมที่ว่านี้ม๊ากมาก โดยให้เหตุผลว่าเชฟประจำร้านนี้นี่แหละที่เป็นคนริเริ่มคิดค้นทำขนมชนิดนี้เมื่อช่วงต้นศตวรรษที่ 20 และได้รับความนิยมชมชอบต่อเนื่องยาวนานมาจนถึงปัจจุบัน

    เราสั่งขนมกัน 2 ชิ้น แบบแรกคือแบบออริจินอล ตัวเนื้อขนมนั้นประกอบด้วยเมอแร็งก์ที่เบา กรอบ ส่วนด้านบนนั้นเป็นวิปครีมที่ตีจนขึ้นฟูทำเป็นรูปโดม ราดด้วยซอสเกาลัดที่บรรจงบีบออกมาเป็นเส้นสวยงามเพื่อหุ้มตัววิปครีมด้านในให้คงรูปไว้อย่างสวยงาม ส่วนแบบที่สอง คือ แบบที่ใส่ครีมแอปริคอตเพิ่มเข้าไปด้วย





    (เรากับโมโจชอบอันปกติมากกว่า ส่วนอายะเลิฟแอปริคอตมาก)







    (เราสั่งเป็น Rosé มาเพราะไม่ได้ตั้งใจจะกินขนมด้วย ขอแค่ชิมคำเดียวเท่านั้น
    เพราะด้วยความที่ตัวขนมหวานอยู่แล้ว หากสั่งแชมเปญเราเลยแนะนำว่าสั่ง Brut น่าจะเข้ากันกว่า)




    ระหว่างที่นั่งเราก็คุยสัพเพเหระกันไปเรื่อย ๆ ทั้งเรื่องการทำงาน ชีวิตในดูไบ การเริ่มทำงานในบิสเนสของเราที่รู้สึกไม่ค่อยโอเคเท่าไร ใจอยากกลับไปอยู่อีโคที่คุ้นเคยมากกว่า ตลอดจนสถานการณ์ของบริษัทว่าจากนี้จะมีการรับคนกลับเข้ามาทำงานหรือไม่ รวมไปถึงจะรับลูกเรือเพิ่มเติมหรือเปล่า


    จากนั้นโมโจก็ปรึกษาว่าพวกเราอยากไปเที่ยวที่ไหนกันต่อ เขามีร้านขายของจุ๊กจิ๊กที่อยากไปอีกร้านหนึ่ง ส่วนเราเสนอว่าอยากไปแถว ๆ Montmartre เพราะยังไม่เคยไป Sacré-Cœur เลย แต่ก็ไม่ซีเรียสถ้ายังไม่ได้ไป แล้วแต่ตามเวลาที่มี


    สุดท้ายแล้วก็ยังตัดสินใจกันไม่ได้ว่าจะไปที่ไหนต่อ (ประกอบกับต่างคนต่างมึน ๆ กันนิดหน่อย) เลยเรียกรถอูเบอร์ไปยังร้านที่โมโจตั้งใจจะไปแล้วค่อยว่ากันอีกทีนึง











    ร้านที่โมโจหมายตาไว้ว่าอยากมาซื้อของกระจุ๊กกระจิ๊กก็คือร้าน Merci ที่สุดแสนจะน่ารัก (และแน่นอนว่าลืม Montmartre ไปได้เลยเพราะอยู่ห่างกันพอสมควร) ซึ่งอายะและเรากรีี๊ดมากเพราะเป็นร้านที่แค่เอาตัวเข้าไปเดินวนไปมาอยู่ข้างในก็รู้สึกอบอุ่นละมุนละไมแล้วเนื่องจากที่นี่อัดแน่นไปด้วยเสื้อผ้าสีสันสดใสรับฤดูร้อน ของแต่งบ้านดีไซน์ดี และจานชามแสนเก๋ที่อยากหอบกลับบ้านทุกชิ้น



































    เราพยายามหักห้ามใจอย่างยิ่งยวดที่จะไม่ซื้ออะไรในร้านเพราะทุกอย่างล้วนน่ารักไปหมดเลย ถึงขั้นท่องว่าเรามีของทุกอย่างที่จำเป็นต่อการดำรงชีพหมดแล้ว มีถุงผ้าหลายใบ แก้วช้อนจานชามก็มีครบ เทียนหอมที่มีก็ยังจุดไม่หมด ผ้าปูที่นอนหมอนมุ้งก็ยังใช้ได้อยู่ ต้องใจเย็น ๆ หายใจเข้าลึกกกกกก ออกยาวววววว และเดินกำหนดจิตวนรอบร้านไปเรื่อย ๆ เพื่อรออีกสองคนช้อปปิ้งให้เสร็จเรียบร้อย





  • หิวแล้วอะ หาอะไรกินกันมะ อายะเอ่ยถามขึ้นขณะที่พวกเรากำลังเดินเอื่อย ๆ รับลมเย็นตามถนนโดยไม่มีจุดหมายชัดเจนว่าจะแวะทำอะไร ตอนนี้เวลาเกือบบ่ายโมงแล้ว ตามกำหนดการณ์คือบ่ายสองออกจากปารีส บ่ายสามกลับถึงห้องพัก นอนยาว ๆ แล้วค่อยตื่นไปทำงาน

    เราพยักหน้าหงึกหงักเห็นด้วยกับความคิดดังกล่าว แม้ไม่หิวมากเพราะกินมาเกือบจะตลอดเวลาตั้งแต่เช้าแล้วแต่ก็เป็นแต่เมนูขนม ไม่ใช่อาหารหลักที่ทำให้อิ่มท้อง และดีเหมือนกันหากพวกเราหาอะไรกินตอนนี้ ไม่อย่างนั้นก็ต้องกลับไปสั่งรูมเซอร์วิสที่สุดแสนจะเศร้าสร้อยหรือดีไม่ดีถ้านอนยาวไปจนถึงเวลาทำงานก็ต้องทนหิวท้องรอจนกว่าจะถึงสนามบินแล้วหาโอกาสแว้บไปซื้อกาแฟหน้าเกท ดีไม่มีดีอาจจะไม่มีเวลาซื้อกาแฟก็ได้เพราะโดนต้อนให้รีบขึ้นเครื่องบิน

    แถวนี้ก็มีร้านอาหารอยู่นะ อยากกินอะไรล่ะ โมโจตอบพลางจิ้มโทรศัพท์มือถือเพื่อหาร้านอาหารใกล้เคียง

    ไม่รู้เหมือนกันว่าอยากกินอะไร เดินดูไปเรื่อย ๆ ก็แล้วกันนะ อายะว่าพร้อมกับเดินนำลิ่วข้ามไป








    พวกเรามาหยุดกันตรงหน้า Marché des Enfants Rouges ตลาดในร่มเก่าแก่ที่เปิดมาตั้งแต่ปี 1615 ที่นี่มีขายทั้งอาหารสด ผลไม้นานาชนิด ซุ้มขายไม้ดอกไม้ประดับ ตลอดจนมีโซนร้านอาหารเล็ก ๆ ที่ขายอาหารนานาชาติ























    ด้วยความที่คนค่อนข้างเยอะทำให้หาที่นั่งยาก ประกอบกับพวกเรายังเกร็ง ๆ กับเรื่องโควิดกันอยู่เลยตัดสินใจว่าไปหาร้านอาหารอื่นที่มีการจัดที่นั่งแบบเว้นระยะห่างให้มากกว่านี้กันดีกว่า ตลอดจนอายะและโมโจไม่เจอร้านไหนที่น่าสนใจ (ส่วนเราอยากกินอาหาร Moroccan มาก ๆ ทุกอย่างช่างดูอวบอึ๋มน่าลิ้มลอง)










    สุดท้ายพวกเราก็ตกลงใจกันว่าจะนั่งที่ร้าน Le café de la Mairie ที่อยู่แถว ๆ นั้นแทน เราสั่งหอยทากหนึ่งที่ด้วยความอยากลอง (อีกสองคนทำหน้าอี๋ แหม่ ไหน ๆ ก็มาฝรั่งเศสแล้ว อะไรที่ควรลองก็ลองมะ) และปลาหมึกยักษ์ย่างที่โมโจสั่งตามเรา ส่วนอายะสั่งสเต็กแบบเพลย์เซฟ






    เอาล่ะ ลองล่ะนะ เราตั้งท่าเอาส้อมสำหรับจิ้มหอยทากที่คุณพนักงานนำมาวางไว้ให้ด้วยใจกล้าหาญหลังจากที่แอบเปิดคลิปยูทูปดูวิธีการกินมาแล้วเรียบร้อยเพราะกลัวจะเปิ่น ทำตัวงก ๆ เงิ่น ๆ แล้วจะดูไม่งาม เพื่อนร่วมทางทั้งสองทำหน้าลุ้น(กว่าเราอีกหลายเท่านัก)ตอนที่เรากำลังจิ้มเข้าปาก

    ยังไง โอเคมั้ย โมโจถามพร้อมคว้าทิชชู่เตรียมส่งพร้อมให้เผื่อว่าเราจะแหวะคายออกมา ช่างเป็นคนน้ำใจงามเสียจริง ส่วนอายะยังคงทำหน้าลุ้นคำตอบจากเราอยู่

    อร่อย! ยู มันอร่อยมากกกกกกก เราตอบด้วยสายตาเป็นประกายระยิบระยับ เนื้อหอยอ้วนพีชุ่มฉ่ำละมุนลิ้นที่ให้รสสัมผัสเด้งดึ๋งอยู่ในปาก เมื่อกินพร้อมกันกับตัวซอสนั้นสุดแสนจะเข้ากัน ไม่ได้รู้สึกถึงความคาวหรือเมือกประหลาดใด ๆ และคำต่อมาเมื่อกินไปพร้อมกับขนมปังกรอบ ๆ ที่เพิ่งอบเสร็จใหม่ ๆ นั้นสุดแสนจะเพอร์เฟ็ค (พวกเธอกินหอยหลอดหอยขมได้ก็กินสิ่งนี้ได้ เชื่อฉัน)

    โมโจใจกล้าทดลองชิมบ้างก็บอกว่ากินได้ ส่วนอายะลังเลอยู่ซักพักก็ลองบ้าง สรุปก็คือทั้งสองคนบอกว่าไม่ได้ชอบม๊ากมากเพราะยังติดภาพหอยทากกระดึ๊บอยู่แต่ก็พอกินได้ ไม่ได้เลิฟ แต่ก็ไม่ได้แย่ ถือว่าครั้งหนึ่งในชีวิต







    นี่ก็อร่อย หนวดหมึกยักษ์ย่างเสิร์ฟพร้อมกับผัก
    โรยเกลือเพิ่มนิด พริกไทยเพิ่มหน่อยก็อร่อยแล้ว
    ความอร่อยที่มาจากรสชาติสดใหม่ของวัตถุดิบนี่มันดีจริง ๆ เลย

    หลายคนชอบบอกว่าโอ้ย ของแบบนี้ต้องมีน้ำจิ้มซีฟู้ด
    คือใส่น้ำจิ้มมันก็อร่อยสไตล์ไทยแหละ แต่เราก็ชอบแบบนี้มาก ๆ เหมือนกันนะ






    พอหนังท้องตึง หนังตาเริ่มหย่อน โมโจก็เรียกอูเบอร์เพื่อกลับโรงแรม ระหว่างทางไม่ค่อยได้คุยอะไรกันมากเท่าไรนักเพราะต่างคนต่างเหนื่อยเนื่องจากตื่นมากันตั้งแต่เช้า เดินเยอะมาทั้งวันแล้วเลยเข้าสู่โหมดประหยัดพลังงานกันไปหมด



    It was a good day. เราเอ่ยกับเพื่อนร่วมทางทั้งสองก่อนที่จะแยกย้ายกันเข้าห้องพัก
    Thanks guys, see you in the next I don’t know how many hours. Haha โมโจว่าก่อนจะโบกมือให้
    ส่วนอายะตะโกนไล่หลังมาว่า Have a good rest!

     
    นี่แหละนะ… ความสัมพันธ์แบบ one-flight stand ที่เราทำความรู้จักกับคนแปลกหน้าในหนึ่งไฟล์ท ออกไปเที่ยวด้วยกันมาทั้งวัน แลกเปลี่ยนพูดคุยเรื่องราวต่าง ๆ ในชีวิตของกันและกันตั้งมากมาย แต่สุดท้ายเมื่อกลับถึงเมืองทะเลทรายแล้ว เราโบกมือบอกลา อวยพรให้อีกฝ่ายหนึ่งโชคดีและหวังลึก ๆ ว่าจะได้วนมาเจอกันใหม่ในโอกาสหน้าที่ไม่เคยมีมาซักคน และสุดท้าย เราต่างก็กลับกลายมาเป็นคนแปลกหน้าของกันและกันอีกครั้ง

    เป็นความสัมพันธ์ที่ไม่ยืนยาว แต่ทว่าบางคราวก็น่าประทับใจ อย่างเช่นเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นในวันนี้

    และนี่คือเกือบ ๆ จะหนึ่งวันของเราในปารีสช่วงฤดูใบไม้ผลิที่แสนจะสดใสชวนให้ใจเบิกบานค่ะ ความจริงแล้วเมื่อไม่กี่วันมานี้เราเพิ่งจะกลับมาที่นี่อีกครั้งในช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วง (ณ ขณะที่พิมพ์อยู่นี้คือวันที่ 3 ธันวาคมค่ะ แหะแหะ ดองไว้นานแสนนานจนข้ามฤดูร้อนเลยทีเดียวเชียวล่ะ) ซึ่งปารีสในฤดูนี้ก็มีความกุ๊กกิ๊กน่ารักที่ต่างกันออกไปค่ะ ไว้หากมีเวลาก็จะนำมาเล่าสู่กันอ่านเหมือนเดิมนะคะ



    ขอลาไปด้วยภาพนี้ แสงแรกของวัน ณ ความสูง 38,000 ฟุตค่ะ

    รักเสมอ

    ด้วยรัก…จากทะเลทราย







Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in