เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
from the desert, with loveployapha.j
เพราะสายฝนทำให้เรามาพบกัน | บันทึกสั้นๆ ถึงกรุงย่างกุ้ง
  • 1 August 2019











    เราเริ่มต้นเดือนสิงหาคมด้วยไฟล์ทย่างกุ้งค่ะ ซึ่งไฟล์ทนี้เป็นไฟล์ทที่เราอยากมาเที่ยวมาก ๆ เพราะมีความรู้สึกว่าพอพ้นช่วงครึ่งปีมาแล้วก็ควรเข้าวัดไปไหว้พระสวดมนต์บ้างแล้วล่ะ ชีวิตเริ่มจะเข้าสู่ช่วงที่เหนื่อย ๆ เนือย ๆ ประมาณหนึ่ง เลยอยากไปทำอะไรที่ทำให้ใจสงบบ้าง :)


    ประกอบกับช่วงที่ผ่านมานั้น ไฟล์ทย่างกุ้งมีการขยายเวลาพักเลโอเวอร์เพิ่มมากกว่าเดิมเป็น 52 ชั่วโมงค่ะ เลยคิดว่านี่ก็เป็นโอกาสดีที่จะได้ไปเที่ยวต่อนยอนต๊ะต่อนยอนสโลว์ไลฟ์ ไม่ใช่การไปเที่ยวแบบชะโงกทัวร์อย่างที่เคยทำมาตลอด เราก็เลยเลือกที่จะบิดไฟล์ทนี้นั่นเอง


    แต่ก็ไม่รู้ว่าบุญมีหรือกรรมบังนะคะ เพราะเราได้ไฟล์ทย่างกุ้งนี้ตามที่บิดไว้เป๊ะเลยค่ะ เพียงแต่ไฟล์ทนี้เรามีเวลาเดินเล่นในย่างกุ้งเพียง 24 ชั่วโมงเท่านั้นเอง แต่แต่แต่! ไฟล์ทนี้เป็น additional flight พิเศษที่เสริมมาจากปกติค่ะ ฉะนั้นเราเลยไม่ต้องทำงานในไฟล์ทขากลับ นั่ง ๆ นอน ๆ เป็นผู้โดยสารแบบชิว ๆ กลับดูไบ เย่♡








    และทริป 24 ชั่วโมงในย่างกุ้งของเราจะเป็นอย่างไร
    ตามไปอ่านกันได้เลยค่ะ






    : )











  • แลนด์มาพร้อมกับสายฝน





    ฝนตกลงมาตอนรับเราตั้งแต่ก่อนแลนด์ที่ท่าอากาศยานนานาชาติย่างกุ้งเลยค่ะ เรียกได้ว่าฝ่าฝนตะลุยเมฆเพื่อลงกันจอดเลยทีเดียว (ซึ่งโชคดีที่แลนด์ได้ ไม่เช่นนั้นจะต้องเปลี่ยนไปลงที่กรุงเทพแทนแล้วค่อยเดินทางกลับมาที่นี่ใหม่แบบไฟล์ทเมื่อวันก่อนหน้าค่ะ)


    ด้วยความที่ว่าช่วงนี้เป็นช่วงฤดูมรสุมทำให้สภาพอากาศค่อนข้างแปรปรวน เวลาบินมาทางเอเชียจะพบเจอกับหลุมอากาศบ่อยครั้ง เครื่องสั่นนานหลายนาที บางทีก็เขย่าเหมือนนั่งในโรลเลอร์โคสเตอร์ (ยิ่งเครื่อง 777 ท้ายเครื่องนี่สนุกสนานมากค่ะ T___T ) ฉะนั้นขอฝากไว้ด้วยนะคะว่าหากสัญญาณรัดเข็มขัดเตือนแล้ว กรุณานั่งประจำที่พร้อมรัดเข็มขัดให้เรียบร้อย และงดใช้ห้องน้ำก่อนนะคะ เป็นห่วงนะเออ♡



    หลังจากที่โดนเหวี่ยงไปเหวี่ยงมาหลายตลบจนลงจอดเรียบร้อย เราก็ฝ่ารถติดไปที่โรงแรมด้วยสภาพอ่อนระโหยโรยแรงค่ะ งีบหัวโขกหน้าต่างไปหลายรอบ พอถึงแล้วเลยหมดพลังแล้ว จากที่ตั้งใจว่าจะไปเดินสำรวจตลาดข้าง ๆ โรงแรมก็ต้องเป็นอันพับโครงการไปโดยปริยาย ไม่ไหวจะออกไปสู้กับฝนแล้ว เลยสั่งรูมเซอร์วิสมาค่ะ



    ซึ่งเมนูที่เราสั่งมาประทังความหิวในค่ำคืนนี้เรียกว่า Mohinga ค่ะ เป็นก๋วยเตี๋ยว(?) ของทางพม่าเขาแหละ น้ำซุปทำจากปลาค่ะ มีเครื่องเคียงตามภาพ และทานกับเส้นขนมจีน











    ลูกเรือชาวเมียนมาแนะนำให้สั่งค่ะ
    อร่อยดีแหละ เราชอบนะ ถ้ามีโอกาสมาเที่ยวก็ลองสั่งกันได้นะคะ :)
    คีย์หลักของความอร่อยอยู่ที่ตักเครื่องเคียงทุกอย่างทานพร้อมกันกับน้ำซุปและเส้นค่ะ











    ตอนแรกเราวางแผนไว้ว่าอยากจะไปดูเจดีย์ชเวดากองตั้งแต่ตอนเช้าเพราะอยากจะหลบนักท่องเที่ยว ประกอบกับอยากจะไปชมพระอาทิตย์ขึ้นที่วัดด้วย จากนั้นก็ไปไหว้เทพทันใจและเทพกระซิบ แวะนั่งเล่นในคาเฟ่กุ๊กกิ๊กที่หมายตาไว้ ปิดท้ายด้วยการนวดตัวในร้านข้าง ๆ โรงแรม เนี่ย Very productive layover มาก ๆ แต่สุดท้ายแผนก็ล่มหมดเลยเพราะนอนไม่หลับค่ะ กว่าจะตื่นก็สิบโมงแล้ว เฟลเลย... แต่ครั้นจะม้วนตัวอุดอู้อยู่แต่ในห้อง ไม่ออกไปไหนเลย สั่งรูมเซอร์วิสมาก็กระไรอยู่ ไหน ๆ ก็มาแล้ว ฉะนั้นเราออกไปเปิดหูเปิดตาข้างนอกก็แล้วกัน อย่างน้อย ๆ ก็ไปหาอะไรอร่อย ๆ ทานดีกว่าเนอะ :D



















  • ร้านกาแฟที่ทุกคนต้องมาเช็คอิน




    คาเฟ่ที่เราหมายตาไว้ชื่อว่า Rangoon Tea House ค่ะ เป็นร้านที่แทบทุกคนจะต้องแวะเวียนมาเช็คอินถ่ายรูปชิค ๆ ที่นี่ พอถามลูกเรือเมียนมาแล้วก็ได้ความว่าร้านนี้โด่งดังในหมู่คนที่นี่และนักท่องเที่ยวมาก ๆ อาหารอร่อยดี บรรยากาศน่ารัก ถ้ายูไปแล้วน่าจะชอบนะ :D









    มาคนเดียว เปรี้ยวไปอีก เพราะลูกเรือคนอื่นเขาไปทัวร์วัดกันแต่เช้า
    จริง ๆ เราจะไปกับเขาก็ได้แหละค่ะ แต่ไม่รู้สิ...
    ตอนแรกเราตั้งใจว่าจะไปไหว้พระเลยไม่อยากไปกับกรุ๊ปคนเยอะ ๆ ให้วุ่นวายค่ะ
    สุดท้ายไม่ได้ไปไหว้ซะงั้น


















    เมนูน่ารักมากกกกก
    ที่นี่มีอาหารให้เลือกหลากหลายค่ะ ทั้งเมนูประเภทเส้นและข้าว
    เครื่องดื่มก็เยอะมากเหมือนกัน

    อ้อ ตอนกลางคืนชั้นบนจะเป็นบาร์ด้วยค่ะ






















    เมื่อมาร้านชา เราจะพลาดชาพม่าได้อย่างไร!



    La Phet Yay 

    คือชาประจำชาติของที่นี่ค่ะ แต่มีชื่อเรียกหลากหลายมาก
    แบ่งตามปริมาณของชา นม และนมข้นหวาน

















    เราเลือก Pote Man ไปค่ะ ก็ได้ชาหน้าตาแบบนี้

    อร่อยดีนะคะ อุ่น ๆ กำลังดี เหมาะกับวันที่ฟ้าครึ้ม
    ดื่มแล้วดีต่อใจหากเป็นคนที่ชอบชานม

    ติดนิดเดียวตรงที่เราชอบชารสเข้มว่านี้และหวานน้อยกว่านี้ค่ะ
    ฉะนั้นคิดว่าถ้าสั่ง Cho Pawt Kyat จะถูกต้องตรงใจมากเลยค่า




















    Mom's Recipe: King Prawn Curry

    มาย่างกุ้งก็ต้องสั่งเมนูกุ้งสิ!
    แนะนำจานนี้มาก ๆ ค่ะ อร่อยมาก อร่อยแสงพุ่ง
    รสชาติคล้าย ๆ กับกุ้งผัดกระเทียมพริกไทยบ้านเราเลยค่ะ





    อาหารที่ร้านนี้ หากสั่งเป็นเมนูข้าวจะเป็นเมนูประเภทแกงเป็นส่วนใหญ่ค่ะ มีกลิ่นอายของอาหารอินเดียอยู่เยอะพอสมควร ซึ่งเราก็เก็บเอาความสงสัยว่าทำไมถึงมีแกงแนว ๆ นี้เยอะจังเลยก็ได้ความว่า อาหารของพม่านั้นมีความหลากหลายพอสมควรค่ะ ได้รับอิทธิพลมาจากหลายที่ด้วยกัน เนื่องจากประชากรที่นี่มีหลากหลายชาติพันธุ์ อย่างอาหารที่หน้าตาดูมาจากเอเชียใต้นี้ก็มาจากกลุ่มคนที่อพยพย้ายถิ่นเข้ามานั่นแหละค่ะ หากเราเดินไปตามถนนหนทางก็จะพบคนที่มีพื้นเพจากเอเชียใต้อาศัยอยู่พอสมควรเลย
















  • เท้าเดิน ตาดู มือกดมือถือถ่ายรูป



    หลังจากเติมพลังด้วยแกงกุ้งแสนอร่อยแล้วเรียบร้อย ตัดสินใจว่าจะเดินเล่นรอบ ๆ บริเวณนี้ค่ะ เพราะระหว่างทางที่นั่งรถมาก็เห็นตึกรามบ้านช่องที่สวยงามน่าสนใจอยู่ไม่น้อยเลย :)


























    มัสยิดอยู่ตรงข้ามวัดพุทธเลยค่ะ ถัดไปหน่อยก็มีโบสถ์คริสต์


















    รูปนี้ถ่ายตอนนั่งรถค่ะ
    ตึกเก่า ๆ พวกนี้ก็สร้างเมื่อครั้งที่อังกฤษเข้ามานั่นล่ะค่ะ






































    ฟ้าเริ่มสว่างขึ้นมาเล็กน้อย หลังจากที่ครึ้มมาตั้งแต่ช่วงเช้า
























































    เจอ Art Gallery ค่ะ เลยแวะเวียนเข้าไปดูหน่อยเพราะอยากได้โปสการ์ด



















    สอบถามคุณเจ้าของเรียบร้อยแล้ว เขาอนุญาตให้ถ่ายรูปได้ค่ะ
    ที่นี่เป็นแกลลอรี่ที่รวมงานของศิลปินอิสระไว้ด้วยกันค่ะ
    มีทั้งงานภาพวาดสีอะคริลิก สีน้ำมัน และสีน้ำ





















    สวัสดี เราเอง :)


















    ได้โปสการ์ดและสมุดติดไม้ติดมือกลับบ้านมาค่ะ
    คุณเจ้าของใจดีม๊ากมาก ชวนคุยเยอะแยะเลย เป็นบทสนทนาที่ดีค่ะ
































  • เพราะสายฝนทำให้เราได้มาพบกัน







    ในวัยเด็ก เรารู้สึกฤดูฝนเป็นช่วงที่เราไม่ค่อยจะชอบใจนัก การมาถึงของฤดูนี้นั้นมาพร้อมกับโรงเรียนเปิดเทอม รองเท้าที่เฉอะแฉะและถุงเท้าที่เปียกชื้น แถมฝนตกแล้วไม่สนุกเลย ออกไปเล่นข้างนอกไม่ได้ (แม้ใจจะอยากเล่นน้ำฝนแต่ก็กลัวโดนตี) อากาศก็ชื้น ๆ แถมถ้าฝนตกตอนเย็นนั้นหมายถึงหายนะทางการจราจรในกรุงเทพมหานคร รถติดจนต้องควักเอาสมุดการบ้านมาทำในรถ หลับไปหลายตื่นก็ยังไม่ถึงบ้านเลย หากจะมองหาข้อดีก็คิดว่ามีเพียงข้อเดียวคือเวลาฝนตกแล้วอากาศเย็น นอนหลับสบาย บรรยากาศรอบกายชวนให้ขี้เกียจ อยากจะม้วนตัวอยู่ในผ้าห่มทั้งวันนั่นแหละค่ะ


    แต่เมื่อเวลาเปลี่ยน คนก็เปลี่ยนตามไปด้วย กลายเป็นว่าฤดูฝนนั้นเป็นฤดูที่เราชอบมากที่สุดแล้วค่ะ อาจเพราะเราไม่ค่อยมีโอกาสได้เจอฝนบ่อยครั้งนัก (แน่ล่ะ...ก็ย้ายถิ่นมาอยู่เมืองทะเลทรายนี่นะ) ฉะนั้นเวลาเจอฝนเราจะรู้สึกชุ่มชื่นในหัวใจ เพราะทุกอย่างรอบตัวล้วนชวนให้เย็นใจไปหมด เห็นต้นไม้สดชื่นก็ดีใจ นั่งมองสายฝนผ่านบานหน้าต่างไปพร้อม ๆ กับจิบชาอุ่น ๆ ก็เป็นช่วงเวลาที่ได้อยู่กับตัวเองแล้วดื่มด่ำกับความสุขเล็ก ๆ ง่าย ๆ และสิ่งที่เราชอบมากที่สุดคือเวลายื่นมือออกไปรับน้ำฝนแล้วมันรู้สึกดีลึก ๆ  ในใจอย่างประหลาด (อนึ่ง...หากฝนตกในวันที่เรากลับกรุงเทพแล้วติดแหงกอยู่กลางถนนหรือเบียดอยู่ในรถไฟฟ้าก็ไม่ชอบอยู่เหมือนเดิมแหละค่ะ)











    และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งวันที่เรานึกขอบคุณสายฝนที่ตกลงมาได้ถูกที่ ถูกเวลาค่ะ









    หลังจากออกมาจากแกลอรี่แล้ว เราก็ตั้งใจว่าจะเดินต๊อกแต๊กถ่ายรูปตึกต่อไปตามประสา แล้วค่อยเรียกรถกลับโรงแรม ในใจก็คิดว่าอาจจะไปแวะที่ชเวดากองกอ่นเพราะตอนนั้นเพิ่งจะบ่ายโมงนิด ๆ เอง แต่จู่ ๆ ฝนก็เทลงมาเหมือนฟ้ารั่วค่ะ ดีที่ก่อนออกมาฉุกใจคิดหยิบร่มติดมือออกมาด้วยเลยไม่ค่อยเปียกเท่าไรนัก เราพยายามลัดเลาะเดินหลบไปตามซอกตึกต่าง ๆ มือนึงถือร่มพร้อมกับกอดกระเป๋าผ้าไว้ อีกมือนึงก็พยายามกดมือถือเพื่อเรียกรถมารับ แต่ตอนนั้นเหมือนสัญญาณจาก pocket wifi ขาดหายเลยต่อเน็ตทำอะไรไม่ได้เลย



    เราเดินมาสุดถนน พยายามสอดส่ายสายตาหารถแท็กซี่ก็ไม่มีผ่านมาเลยซักคนจนใจเริ่มฝ่อแล้ว ก็ไปป๊ะสบสายตากับคุณพี่ที่เปิดแผงขายหมากในซอกตึกหนึ่งที่กำลังยกของหลบฝนเหมือนกัน เราเลยทำหน้าตาให้น่าสงสารที่สุด ขอกระดึ๊บไปหลบฝนกับเขาด้วย เผื่อว่ายืนนิ่ง ๆ อยู่กับที่แล้วสัญญาณไวไฟจะกลับมา เหลือบซ้ายแลขวาก็พบป้ายเขียนว่าชั้นบนเป็นร้านกาแฟ... แม้ว่าไวไฟจะได้ทอดทิ้งเราแล้ว แต่ฟ้ายังคงเมตตาให้หลงมาเจอร้านกาแฟล่ะวะ ลองเข้าไปดูหน่อยก็แล้วกัน











    เดินดุ่ม ๆ เข้ามาก็ตุ้ม ๆ ต่อม ๆ ว่ามันเป็นตึกร้างรึเปล่าวะ
    สภาพเหมือนในบุพผาราตรีเลยจ้า แอบน่ากลัว
    แต่ป้ายเขาเขียนว่าให้ขึ้นไปก็เลยใจกล้าเดินต่อ



















    Pansodan Scene Art Cafe เจ้าค่ะ
    เจ้าของเดียวกันกับแกลลอรี่ที่เราแวะเข้าไปแหะ












    คนต่างถิ่นหน้าตาผู้อยู่ ๆ มาปรากฎตัวหน้าประตูร้านในสภาพเปียกครึ่งนึง แห้งดีอยู่ครึ่งนึงทำให้คนในร้านที่กำลังนั่งล้อมวงคุยกันเงียบเสียงลงระยะหนึ่งก่อนที่จะหันหน้ากลับไปคุยกันตามเดิม (เหมือนเขากำลังจัดงานเสวนากันอยู่แหละ แล้วอยู่ ๆ ข้าพเจ้าก็โผล่พรวดเข้าไปกลางวงเสียอย่างนั้น) ไอ้เราก็ดูท่าว่าร้านเขาเปิดรึเปล่าวะ เข้ามาถูกจังหวะหรือเปล่า ก็งก ๆ เงิ่น ๆ พยายามบิดน้ำออกจากร่มให้ได้มากที่สุดแล้วก็เดินตัวลีบ ๆ เข้าไปนั่งจ๋อง ๆ ที่มุมนึงของร้าน


    คุณพนักงานก็ยิ้มแย้มเอาเมนูมาให้แล้วก็พูดกับเราเป็นภาษาพม่า พอเราตอบกลับเป็นอังกฤษเขาก็หันซ้ายหันขวาแล้วไปลากคุณอีกคนนึงมาแทน คุณคนใหม่เขาก็บอกว่าเนี่ย ตอนแรกคิดว่าเราเป็นคนที่นี่ ขอโทษด้วยที่ตอนเราเข้าร้านมาไม่ได้ต้อนรับ วันนี้ร้านเปิดตามปกตินะ สั่งอาหารได้เลยแต่บางเมนูทำไม่ได้นะเออเพราะพ่อครัวลาป่วยจ้า










    ฝนด้านนอกลงเม็ดหนักขึ้นทุกที




















    บรรยากาศในร้านเต็มไปด้วยงานศิลปะรอบตัวค่ะ ดีมาก


























    เราสั่งกาแฟแล้วก็ระเห็จตัวเองขึ้นไปนั่งบนชั้นลอยของร้าน เพราะดูท่าว่าวงเสวนางานศิลป์ต้องการขยับขยายพื้นที่ และแม้ว่าสัญญาณไวไฟจะกลับมาแล้วเราก็เลือกที่จะหยิบเอาหนังสือที่ถือติดมือมาด้วยออกมาวางแปะไว้บนโต๊ะ หยิบปากกาออกมาเขียนสั้น ๆ ใส่สมุดเล่มเล็กที่เพิ่งซื้อมาเป็นโน้ตทิ้งไว้เกี่ยวกับความรู้สึกของเรา ณ ขณะนี้ในช่วงเวลาที่เรานั่งฟังเสียงฝนสาดกระทบกับหน้าต่างปนไปกับเสียงพูดภาษาต่างถิ่นที่เราไม่เข้าใจ



    จะว่าเหงาก็ไม่ใช่นะคะ เพราะมีความอุ่นลึกอยู่ใจอย่างประหลาด ซึ่งอาจเพราะสายฝนทำให้อารมณ์อ่อนไหว ประกอบกับบรรยากาศทุกอย่างรอบตัวช่างเป็นใจเสียเหลือเกิน ทั้งเสียงฝนและเสียงคน กลิ่นอากาศชื้นชวนชื่นใจผสมปนไปกับกลิ่นสี หรือแม้แต่กาแฟธรรมดาที่หนักน้ำตาลไปหน่อยแต่ก็โอเค ด้วยเหตุที่ทุกอย่างรอบกายมันรวมกันแล้วมันพอดีไปหมดเลย ตรงจุดวินาทีนั้นเลยกลายเป็นช่วงเวลาที่ดีต่อใจค่ะ



    เหมือนกับว่าเราค้นพบกับที่นี่ในจังหวะเวลาที่พอเหมาะ เป็นความบังเอิญที่นึกขอบคุณอยู่ในใจ เพราะถ้าฝนไม่ลงเม็ด เราก็คงเดินเลยผ่านตึกนี้ไปแล้ว






    ขอบคุณสายฝนที่ตกกระหน่ำลงมาในยามบ่ายของวันนี้
    ที่พาให้เราได้มาพบกับร้านกาแฟแห่งนี้ค่ะ






    วันฝนพร่ำมันดีอย่างนี้นี่เอง


    :)






    กาแฟก็เนสเล่ธรรมดานี่แหละค่ะ ไม่ได้ฟู่ฟ่าอลังการแต่อย่างใด
    เรานั่งอ่านหนังสือไปซักพักก็เงยหน้าขึ้นมา
    เพราะมีคนหยิบกีต้าร์มาดีดคลอกับเสียงฝนค่ะ
    ทำให้บรรยากาศทุกอย่างยิ่งดีแสนดียิ่งขึ้นไปอีก 























    ก่อนเราจะกลับออกมาก็มีคนมาดีดเปียโนด้วยแหละ





























































    นั่งยาวจนถึงเวลาประมาณห้าโมงก็เรียกรถกลับค่ะ
    ยืนต่อราคากลางสายฝนไปอีก สนุกดี
























    ระหว่างทางกลับฝนตกไม่หยุดและรถติดมาก
    เรากลับถึงโรงแรมประมาณทุ่มกว่า ๆ เลย
    โชคดีที่ขากลับได้นั่งเป็นผู้โดยสาร เลยไม่ต้องนอนก่อนไปบินค่ะ



















    เจดีย์ชเวดากอง
    หวังว่ารอบหน้าเราจะได้เข้าไปเยี่ยมชมความงดงามนะคะ

















    และนี่ก็คือเรื่องเล่าในวันฝนพร่ำของเรา
    กับการมาเยือนกรุงย่างกุ้งเป็นครั้งแรก
    ที่ทำให้เราตกหลุมรักและอยากกลับมาเที่ยวที่นี่อีกในโอกาสต่อไป






    หวังว่าจะได้พบกันใหม่ในเร็ววันนี้



    :)






    ด้วยรัก...จากทะเลทราย
    (ที่ไม่ค่อยมีฝน)

















  • ข้อควรรู้เล็กน้อยเกี่ยวกับการท่องเที่ยวในเมียนมา


    1. ลูกเรือเมียนมาบอกว่าไม่ควรจะซื้ออาหารข้างทางทานหรือลองหมูจุ่มแบบโลคอล เพราะไม่ได้สะอ๊าดสะอาดขนาดนั้น (เมื่อเทียบกันกับเมืองไทย) หากจะลองจริง ๆ ก็ลองได้แหละ แต่ต้องดูดีและเตรียมยาแก้ท้องเสียไว้ด้วย เขาบอกมาแบบนี้จริง ๆ ไม่ได้พูดเกินไปนะจ๊ะ


    2. การเดินทางไปรอบ ๆ เราใช้บริการของ Grab ค่ะ สะดวกดี ไม่มีปัญหา แต่บางทีราคาในแอปก็ชาร์จเยอะกว่าความเป็นจริง ควรเปิดเช็คราคาก่อนแล้วโบกแท็กซี่ทั่วไปดู ตอนขากลับโรงแรม ราคาในแอป 5,100 จ๊าด แต่เราโบกเองเขาคิดแค่ 4,000 จ๊าดเท่านั้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสกิลการต่อราคาของท่านด้วย


    3. หากมาเที่ยวเองควรแลกเงิน USD ที่เป็นธนบัตรแบบใหม่มาก่อน (เคาเตอร์แลกเงินจะทราบค่ะ) ตัวธนบัตรห้ามยับยู่ยี่นะจ๊ะ ใหม่กิ๊งเท่านั้น แล้วค่อยมาแลกเป็นจ๊าดทีหลังค่ะ และควรแลกทีละน้อยเป็นวัน ๆ ไป ไม่ควรแลกตู้มทีเดียวเพราะค่าเงินเปลี่ยนทู้กวันเลยค่ะ


    4. เราคิดว่าหากไปเที่ยวที่ไหนก็ควรจะเคารพวิถีวัฒนธรรมท้องถิ่นของเขาด้วยนะเออ เมียนมานั้นค่อนข้างจะคงความเป็น Conservative อยู่มากค่ะ ผู้คนยังนุ่งผ้าถุงใส่โสร่งอยู่เลย เพราะฉะนั้นเราแนะว่าควรแต่งกายสุภาพเรียบร้อย กางเกงขาสั้นขอให้พับเก็บไว้ก่อนนะเออ โดยเฉพาะถ้าจะไปเข้าวัดเข้าวา กางเกงยีนขาด ๆ ไม่ควรใส่ไปนะคะ


    5. เดินหลบน้ำหมากให้ดีนะเออ








    ฝากไว้เพียงเท่านี้นะเออ

    แล้วพบกับ ด้วยรัก...จากทะเลทราย ได้ใหม่ในตอนหน้านะคะ





    รักเสมอ



    :)


Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in