ในยามราตรี ที่อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมอุ่น ๆ จากเทียนหอม
แขนที่เต็มไปด้วยขนบาง ๆ และเส้นเลือดที่ปูดนูน
กำลังกายหน้าผาก เปลือกตาปิดดวงตาสีน้ำตาลอ่อนลง
เจ้าของร่างก็ดำดิ่งไปยังภวังค์แห่งความคิด
"นายชื่อวิชรินทร์สินะ แล้วนายราศีอะไรหรอ" สาวออฟฟิคที่ชื่อเม เธอถามวิชรินทร์พร้อมกับยื่นเอกสารสัญญาการทำงานให้
"ราศีหรอ?" วิชรินทร์หมุนเก้าอี้ไปหาเธอ พร้อมรับเอกสารและคว้าปากกามาเซ็นชื่ออย่างรวดเร็ว
"ใช่ดูจากลักษณะแล้วราศีตุลย์รึเปล่า?"
"เปล่าหรอกครับผมราศีเมถุนคนคู่ครับ" วิชรินทร์ยื่นเอกสารคืนเธอพร้อมยิ้มให้
"งั้นหรอ ไม่ค่อยเจอคนราศีนี้ด้วยสิเกิดเดือนมิถุนายนหรอ"
"ใช่แล้วครับเกิดกลางเดือนมิถุนายน"
"หรองั้นตั้งใจทำงานนะ หัวหน้าธัชวินท์น่ะ ค่อนข้างจะเรื่องมากงานนี้พอควรเลยนะ"
"งั้นหรอครับ" วิชรินทร์เอามือลูบท้ายทอย สื่อว่าเขาแอบประหม่าและกดดันเล็กน้อยกับคำพูดนั้น
"เอาเป็นว่านายควรเลิกงานตรงเวลานะ" เธอพูดพร้อมเดินไปยังประตู
"นั่นสินะครับ เดี๋ยวผมจะเซฟไฟล์แล้วเก็บของไปยังโต๊ะทำงานนะ"
และนั่นคือบทสนทนาสุดท้ายก่อนที่เธอจะเดินจากไป โดยวิชรินทร์ไม่ได้ถามคำถามอะไรกลับไปเลยสักคำ ได้เพียงแค่ตอบคำถาม ราวกับรู้สึกดีที่มีคนเข้าหา จนอยากให้เขาถามและตัวเองเป็นเพียงฝ่ายตอบทุกคำถามอย่างตรงไปตรงมา
ฟู่ เขาลุกขึ้นมาเป่าเทียนหอมบนโต๊ะวางของข้างเตียงให้ดับ ก่อนจะเอนตัวนอนหลังจากได้วางแผนทูดูลิตส์การทำงานเรียบร้อยแล้ว
'จะว่าไป เราแทบไม่รู้จักใครในบริษัทนี้เลย แถมยังเป็นบริษัทที่แปลกมากอีกด้วย
จริง ๆ แล้วงานตัดต่อไม่น่าจะเป็นหัวใจหลักของบริษัทเลย
แต่ทำไม งานที่ทำก็ไม่ได้ดูยากจนขนาดที่มือใหม่จะทำไม่ได้
แล้วทำไมงานนี้ถึงได้ค้างตรึงมาตั้งสี่เดือน แล้วมันผ่านมือตัดต่อมากี่คนกันแล้วนะ
แถมบริษัทนี้ดูแล้วน่าจะพึ่งก่อตั้งได้ไม่นานนี้เอง'
นี่ไม่ใช่ประโยคบรรยาย แต่เป็นเสียงในหัวของวิชรินทร์ก่อนจะผล็อยหลับไปในที่สุด
เสียงนกร้องในยามเช้า อาจจะไม่ใช่นกที่ตื่นเช้า บางทีนั่นอาจเป็นนกที่ยังไม่ได้นอน
และเป็นเสียงนาฬิกาปลุกที่เบาที่สุดสำหรับวิชรินทร์
"เช้าอีกแล้ว" เขางัวเงียลุกขึ้นมานั่ง ตั้งสติไม่นานก็มีสายเรียกเข้า
"ฮัลโหลสวัสดีครับ วิชรินทร์ครับ"
"นี่พี่ชาย"
"อ้าว น้องวิลานันท์หรอ"
"เรียกวิลาก็ได้ ไม่เห็นต้องเรียกชื่อเต็มก็ได้นิ"
"หรอโทษที" น้ำเสียงกล่าวขอโทษที่แฝงไปด้วยความกวนนั่นพอทำให้รู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายกำลังหัวอุ่นเล็กน้อย
"พี่ตื่นเช้าหรอเนี่ย หรือหนูโทรปลุกอะ"
"ยัยบ้า พี่ตื่นเอง ว่าแต่มีอะไรหรอ"
"อือ เรื่องฝึกงานน่ะพี่"
"ฝึกงานหรอ" เขาเอามือเกาหัว และพอจะรับรู้ได้ว่าตัวเองบ้างานจนลืมวันลืมคืนว่าน้องสาวเองก็ใกล้เรียนจบมหาลัยแล้ว
"น้องว่าจะไปฝึกในบริษัทเครื่องพิมพ์สามมิติน่ะ"
"สามมิติหรอ" เสียงเงียบสงัดเกิดขึ้นระหว่างบทสนทนา
'คุ้น ๆ เหมือนกำลัง . . .'
"พี่คิดว่าไง" เสียงน้องสาวขัดความคิดในช่วงแวบนึง
"พี่เองก็ไม่อยากตัดสินใจให้หรอกนะ แต่เลือกตามความชอบเลย"
"ขอบคุณนะพี่ชาย"
ตึ๊ดดดด
'เอาล่ะไปอาบน้ำดีกว่า' เขาพยุงร่างกายที่สังขารกระดูกกระเดี๊ยวไม่ค่อยดีขึ้นจากเตียงในไม่กี่วินาที
ว่าแต่คนที่ชื่อเมราศีอะไรกันนะ?
เสียงเพลงคลาสสิคดังเบา ๆ ในรถรุ่นเก่า พร้อมกับท้องฟ้าที่มืดครึม
ไม่นานเขาก็รู้ตัวว่ามาถึงที่หมายโดยปลอดภัยแล้ว
เสียงรองเท้าส้นสูงดังใกล้เขามาเรื่อย ๆ หลังจากวิชรินทร์ปิดประตูรถ
กลิ่นน้ำหอมที่ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ท่ามกลางห้องสมุดปนกลิ่นหนังสือเก่า ๆ
ได้เข้ามาทำให้วิชรินทร์รูสึกตัวก่อนจะเจอใบหน้ายิ้มแย้มของเจ้าของน้ำหอมซะอีก
"สวัสดีค่ะ วิชรินทร์"
"สวัสดีครับพี่"
"เรียกเมว่าพี่หรอ" เธอตะแคงคอใส่ราวกับแมวสีขาวที่ขี้สงสัยว่าทาสกำลังทำอะไรผิดปกติ
"เอ่อ ครับ ผมก็เป็นพนักงานใหม่ที่อายุยี่สิบหกเอง"
"งั้นเรียกพี่ก็ถูกแล้วล่ะ เพราะเมก็อายุยี่สิบแปดเข้าไปแล้ว แถมยังโสดอยู่ด้วยนะ" เธอหัวเราะเบา ๆ ให้ด้วยรอยยิ้มและตาที่ปิดลงราวกับเป็นสระอิ
"โสดหรอ?" วิชรินทร์ถามด้วยน้ำเสียงที่สงสัย ทั้งที่ความจริงเขารู้อยู่เต็มอกว่าเจ้านายสีขาวตัวนี้ไม่มีทาสเลี้ยงดู
"ใช่สิ ทำไมหรอ"
"ผมคิดว่าพี่มีแฟนแล้วซะอีก" เขาเผยยิ้มที่ระบุไม่ได้ว่าว่าเป็นรอยยิ้มอะไรใส่เธอ ซึ่งเขาเองก็ไม่เคยยิ้มแบบนี้มาก่อน
"บ้าหรอ ทำไมใคร ๆ ก็ชอบคิดแบบนั้นกันนะ อยากบอกดัง ๆ เหมือนกันว่า โสดโว้ยยย" เธอกำหมัดสองข้างเบา ๆ ซึ่งอาการนี้ไม่ต่างจากแมวน้อยที่กำลังหงุดหงิดอยู่เลย
"ใจเย็น ๆ นะครับ" ทันใดนั้นเขาเหลือบไปเห็นป้ายชื่อสีน้ำตาล 'เมธาวดี'
'ชื่อของเธอก็เพราะดีนะ' วิชรินทร์คิดในใจ
"เอานี่ป้ายชื่อของนาย" เมธาวดียื่นป้ายชื่อให้ นั่นทำให้เขารู้ตัวทันทีว่า เธอน่าจะสูงกว่าเขา ส่วนสูงของเธอน่าจะไม่ต่ำกว่าร้อยเจ็ดสิบเซนติเมตร
"เอ๋ เอารูปผมมาจากไหนหรอครับ"
"จากหัวหน้า ไม่รู้เหมือนกันว่าได้มากจากไหน อยากถ่ายใหม่รึเปล่า?"
"เปล่าครับ รูปนี้ผมชอบ"
นั่นคือรูปที่น้องสาวถ่ายให้เขา และเดาไม่ยากเลยว่าใครส่งรูปให้กับหัวหน้าธัชวินท์
"ว่าไงพนักงานใหม่ โทษทีนะที่เมื่อวานตอนเย็นไม่มีใครอยู่ต้อนรับนายเลย"
"ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมได้ข่าวว่าหัวหน้าธัชวินท์เรียกประชุมฝ่ายผลิตด่วนนะครับ"
"มันก็จริงอีกนัยคือสั่งให้เลิกงานแล้วกลับไปพักผ่อนพร้อมรับงานใหญ่นั่นแหละ" ชายหนุ่มไว้เคราโกนหนวดเนี๊ยบยิ้มให้พร้อมมองไปยังสาวสวยที่ชื่อเมธาวดี
"ผมชื่อวิธาน เป็นวิศกรฝ่ายการผลิต ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ"
"ยินดีที่ได้รู้จักครับผม วิชรินทร์ ฟรีแล . . ." ทันใดนั้นวิชรินทร์ก็เริ่มสับสนกับสถานะที่ตัวเองเป็นอยู่ ว่าเขายังคงเป็นฟรีแลนซ์ที่มีอิสระ หรือ เป็นมนุษย์เงินเดือนกันแน่
"นายก็เป็นฟรีแลนซ์ที่รับงานเสริมของพนักงานประจำสินะ"
"คงงั้นครับ"
"เอาล่ะอีกสามนาทีก็ได้เวลาลุยงานแล้ว เดินเข้าบริษัทกันเถอะเดี๋ยวฝนตก"
ทั้งสามคนเดินเข้าไปบริษัทพร้อมกันราวกับเพื่อนสนิท เว้นซะแต่วิชรินทร์ดันสงสัยว่า วิธาน ใช่หนุ่มราศีตุลย์รึเปล่า และก็เป็นเรื่องปกติที่เขามักจะมองแผ่นหลังของชายแท้ด้วยความอิจฉาและน้อยใจโชคชะตาเสมอ
'ถ้าเป็นสองคนนี้คงเข้ากันได้ดีอย่างไม่ต้องสงสัยเลยล่ะ'
แอดดดดดด
เสียงประตูไม้สีขาวดังขึ้น ราวกับต้องการหยอดน้ำมันโดยด่วน
เบื้องหน้าเผยให้เห็นพนักงานเพียงไม่กี่คนที่ทำงานด้วยความมุ่งมั่น
ราวกับเป็นเพื่อนสนิท หรือไม่ก็เป็นครอบครัวเดียวกัน
บรรยากาศภายในทำให้รู้สึกว่าพวกเขาฝ่าฟันอะไรกันมามากมายกว่าจะถึงจุดที่ยิ้มได้อย่างแจ่มใส
"เอาว่าไง กำลังรออยู่เลย" ธัชวินท์เอ่ยกล่าวทักทายทักสามคน ตามด้วยการยกมือไหว้ด้วยความนอบน้อมของวิชรนทร์ นั่นทำให้สองคนที่เดินมาด้วยกันแอบตกใจทางสีหน้าอยู่ไม่น้อย
"วันนี้ก่อนเริ่มงานเรามาแนะนำตัวให้กับวิชรินทร์กันหน่อยนะ" สิ้นสุดคำพูดทุกคนต่างยืนขึ้นพร้อมกันด้วยรอยยิ้ม
"เริ่มจากผม ชื่อ ธัชวินท์ เป็นหัวหน้าและเจ้าของบริษัทคัสตอมทรีดี เรียกผมสั้น ๆ ว่าพี่ธันก็ได้"
"สวัสดีค่ะ ชื่อลลิตา ฝ่ายธุรกิจ ค่ะ"
"สวัสดีครับ ธานินทร์ ฝ่ายการตลาด"
"สวัสดีครับ ธัญวิช ฝ่ายบัญชีและการเงิน"
"อักษรินทร์ ช่างฝีมือเก็บรายละเอียดงานครับ"
"คามีเลียค่ะ หรือเรียกสั้น ๆ ว่า 'เอมิ' ผ่ายวิจัยและพัฒนาค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ"
บุคคลที่แนะนำตัวเป็นคนสุดท้าย ดึงดูดสายตาวิชรินทร์อย่างช่วยไม่ได้ นั่นทำให้เขาแทบลืมชื่อพนักงานคนอื่นไปแทบจะทันที
"และพี่ เมธาวดี ฝ่ายบริหารโครงการ และ QC ค่ะ"
"ผมขอฝากตัวกับทุกคนด้วยนะครับ มีอะไรให้ผมช่วยบอกได้เสมอเลยนะครับ"
"มีอยู่แล้วล่ะเรื่องนั้น พอดีมีฟุตเทจที่น่าสนใจของ อักษรินทร์อยู่ ช่วยตรวจสอบและเพิ่มไปในงานที่กำลังทำอยู่ด้วยนะ" ธัชวินทร์ยื่นไดร์ฟสีน้ำตาลเข้มให้ พร้อมตบไหล่เบา ๆ สองครั้งก่อนจะเดินเข้าห้องทำงานที่ค่อนข้างเป็นส่วนตัวราวกับอยู่คนละโลก
ไม่นานทุกคนก็แยกย้ายกันทำงานของตัวเอง
เมื่อวิชรินทร์ทิ้งตัวลงนั่งเก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานก็พึ่งพบว่า
บริษัทนี้คุมโทนเอิร์ทโทนไว้อย่างสมบูรณ์แบบ
'หรือเราต้องไปเปลี่ยนเนคไทกับรองเท้ารวมถึงกางเกงให้เป็นสีน้ำตาลแล้วสิ -*-' วิชรินทร์คิดในใจก่อนจะจมดิ่งและเพลิดเพลินไปกับการทำงานจนลืมเวลา
"นี่เที่ยงแล้วนะไปทานข้าวกัน" เมธาวดีโผล่ใบหน้ายิ้มแย้มพร้อมดวงตาสีดำขลับ จ้องมายังเข้า นั้นทำให้เขาละสมาธิออกจากงานแทบทันใจ ถ้าเป็นปกติเขาคงโกรธที่มีคนมาขัดสมาธิ
"เที่ยงไวจังเลยนะครับ" เขาพูดพร้อมหยิบโพสต์อิทมาลิตส์สิ่งที่เขาจะทำต่อหลังมื้อเที่ยง
"ว่าแต่จะทานอะไรเป็นมือเที่ยงหรอครับพี่"
"นาย" เหมือนเวลาถูกหยุด เขาเบิกเนตรกว้างเมื่อได้ยินคำนี้
"นายคิดให้หน่อยสิ" เขาถอนให้ใจโล่งไปเพราะเธอชะงักกับข้อความที่ถูกส่วเข้ามาในมือถือ ก่อนจะพูดต่อหลังตอบข้อความนั้น
"ข้าวมันไก่ใกล้ ๆ นี้ไหมครับ"
"ก็โอเคนะ"
"คนอื่น ๆ ล่ะ"
"ชิ่งไปร้านข้าวหมูแดงเมื่อสิบนาทีก่อน ร้านมันไกล พี่ขี้เกียจขับรถน่ะ"
"งั้นก็ไปกับผม ผมจะรีบกลับมาต่องาน"
"ขยันจริง ๆ เลยนะนายเนี่ย"
ไม่นานทั้งคู่ก็เดินไปร้านที่อยู่ใกล้บริษัท พลางพูดคุยกันหลายเรื่องจนวิชรินทร์แทบจำไม่ได้ว่าคุยเรื่องอะไรไปบ้าง และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่เธอเล่าเรื่องของเธอให้ฟัง โดยเขาแทบจะไม่ต้องตอบคำถามอะไรมากมาย
ไม่นานนักฝนก็ถล่มลงมาราวกับโกรธใครบางคน หรือมีคนที่ถูกหักอกอย่างช่วยไม่ได้
ฝนตกในใจยังเบากว่าเสียงฝนตกด้านนอก วิชรินทร์มักรู้สึกเหงาเวลาฝนตก และเขาเป็นพวกแพ้อากาศนั่นทำให้เขาเกลียดฝนมาก ๆ
"ถ้าฝนไม่หยุดเราทั้งคู่ได้โดดงานแน่ ๆ " เมธาวดีเอ่ยเบา ๆ พร้อมยื่นมือไปรองฝนที่กำลังซาลงเรื่อย ๆ
"ไม่เกินสิบนาทีเดี๋ยวก็หยุดไปเองแหละครับ" พูดจบเขารีบคว้าสมุดโน๊ตออกมาจดความคิดที่อยู่ในหัว แม้เขาจะเกลียดฝนมากเพียงใด แต่ฝนนี่แหละที่มักทำให้สมองของเขาลื่นไหล ในขณะที่กำลังเปิดสมุดจดเล็ก ๆ นั้น เขาก็พบว่าเขาไม่ได้พกปากกาติดตัวมา
"พี่มีปากกาไหมครับ"
"เอานี่ไปแทนได้ไหม" เธอยื่นดินสอกดสีม่วงให้ ส่วนวิชรินทร์ก็รับมาแล้วมองดูดินสอกดนั้นว่ามันช่างดูสวยงามและเรียบง่ายมาก ๆ
"นี่ฝนหยุดแล้วนะเราไปกันเถอะ" เธอจับไหล่วิชรินทร์เบา ๆ ราวกับกำลังรู้ว่าเขาอยู่ในโลกอีกโลกที่เรียกว่าภวังค์แห่งความคิด
"งั้นหรอครับ ไปกันผมพร้อมทำงานต่อแล้ว"
ณ ห้องทำงานยังไม่มีใครกลับมามีเพียงแค่วิชรินทร์และเมธาวดีที่กลับมาถึงห้องก่อน เธอไม่รีรอที่จะไปยังมุมสวัสดิการและชงกาแฟสดจากหม้อโมก้าพอต อย่างชำนาญราวกับเป็นบาริสต้าร้านกาแฟโชว์บาร์
"นายจะเอาด้วยไหม"
"ครับ ขอแบบใส่น้ำตาลสองช้อนนะครับ ขอบคุณครับ"
"ได้เลย"
เขาได้ดื่มกาแฟแก้วสีขาวที่เธอยื่นให้ และรู้สึกว่ามันอร่อยขมลงตัวอย่างไม่เคยสัมผัสมาก่อน และมันทำให้เขามีสมาธิและความคิดลื่นไหลอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนทำให้เขาทำงานเสร็จไว้กว่ากำหนดถึงสามชั่วโมงด้วยกันเป็นสถิติใหม่ที่แม้แต่ตัวเขาเองก็แปลกใจ เหมือนกัน
"นี่หัวหน้าบอกว่าจะให้เงินนายเป็นรายอาทิตย์ล่ะ" ธัญวิช ฝ่ายบัญชีได้เดินเขามาหาวิชรินทร์ได้ถูกจังหวะขณะที่เขากำลังยืดตัวหลังกดเอกพอร์ทไฟล์งาน
"งั้นหรอครับ"
"ผมขอใบเสนอราคาก่อนสี่โมงเย็นได้ไหมครับ"
"ใบเสนอราคาหรอ"
"ใช่ครับ แนะนำว่าเผื่อหักค่าภาษีด้วยนะจะได้ไม่ใจหาย" ธัญวิช กระซิบเบา ๆ ก่อนวางแบบฟอร์มใบเสนอราคาให้เขาอย่าเบามือ
"ได้เลยครับงั้นผมขอปรึกษาหน่อยนะ"
ช่วงเวลาเจรจาเงินทองสิ้นสุดลง
"เอาจริงสิครับ!!!" วิชรินทร์เผลอตะโกนออกมาจนธัญวิชต้องเอามือปิดปากไว้
"ช่วยไม่ได้นะ หัวหน้าเองก็เก่งในเรื่องการเทรดราวกับมีมือนำโชคอย่างนั้นล่ะ"
"มันไม่เยอะไปหรอครับ"
"จริง ๆ มันก็ยังแอบน้อยไปด้วยซ้ำ เอาเป็นว่าก็อปเอกสารนี้ไป แล้วส่งเป็นไฟล์ดอกคูเม้น มาให้หน่อยนะ ผมมีงานที่ต้องเคลียต่อ" พูดจบธัญวิชก็เดินกลับไปยังโต๊ะทำงานของตัวเองพร้อมหักข้อมือราวกับคนกำลังมีเรื่อง
หนึ่งวันที่ดูแสนยาวนานก็จบลง วิชรินทร์ได้ค่าตอบแทนที่เยอะว่าที่เขาเขียนไปในใบเสนอราคา นั่นทำให้เขาทั้งดีใจทั้งหวั่นใจอย่างบอกไม่ถูก ราวกับงานนี้กำลังผูกมันเขาไม่ให้ไปไหน แล้วเขาเองก็ปล่อยสิ่งที่ทำอยู่ก่อนหน้าไม่ได้ ณ ตอนนี้ความรู้สึกเขาเริ่มแปรปรวนหนักขึ้นเรื่อย ๆ หลังรับข้อเสนอของเมธมา เขาไม่รู้เลยว่าสิ่งที่เขาตัดสินใจไปนั้นมันดีที่สุดแล้วหรือยัง?
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in