เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Middle | Townwallflowerblu
incarnate on the earth
  •  

    ครอง | วงศ์โกลาหล

     

    หน้าที่ของข้าพเจ้าหลังรับมอบคำบัญชาการคือการหยิบยื่นทางเลือกให้พวกเขาตามครรลองของคลองแห่งสวรรค์ เมื่อปลายเท้าขณะยืดเยื้องจอมเขย่งหวาดประหวั่นแลจ้องแต่จะดอมดมผลไม้รสหวาน มากกว่าจะกำซาบตรากตรำน้ำรสเค็มของวิภาวีผู้ลิขิตตำราอักษรให้หมู่เราสอดคล้องเห็นต้องกัน ข้าพเจ้าจึงรังสรรค์ขนสั่นไหวเหนือต่อมลิ้มรสแผดขมไว้ยังโคนลิ้นในสุดซ่อนใต้เงาฟัน สารเรื้อรังพรากผ่านสัญญะเหือดใจจึงปลิดชีพด้วยพวงองุ่นอันมีรสเฉกลิ้นสองแฉกซึ่งถูกตัดทอนให้สำราญเสียชื้นทรวงนับรุ่นสู่รุ่น ภายหน้าเหนือเชิงกรามคือกรุ่นละม่อมยวนปลายหยดหวานเลี่ยนใช้สำหรับรำลึกเพียงน้อยคราวตระหนักพิษภัย พลพฤฒิด้านพิทักษ์ปวงกรกตไม่น้อยหน้า ล้วนแสร้งตนว่าปขุมกรรมเช่นพวกเขาดูทีจะไร้วี่ลบแววพะวงเลือกหลุมน้อยใหญ่แห่งอดีต ทว่า ห่างกันนั้น หมู่พฤฒิกลับจลาจลคว้าฉวยเอาเท่าที่แสงวิบวาวจะยุติวงปลาสนาการ ทุกผู้ต่างก็ติดใจและโหยไห้ไม่ก็โหยอยากไปจนวันสุดท้ายของชีวา พวกเขามีสิทธิ์เพียงนั้น ทึ้งนิ้วชำแรกการมอดม้วยหรือ เปล่าเลย หาใช่เพราะความโลภะของเงื้อมมือคู่นี้ ขณะเดียวกัน ข้าพเจ้าขอปฏิพากย์แจงสบอายตนะทั้งประการว่าเหล่า ๆ นั้น ทั้งตามทราบและเพ่งโทษ คือบ่อเกิดจากสิ่งเอิกเกริกท่ามกลางแสงมืดมัว ยิ่งความอวบอูมประเคนซากโถมทับเพียงไร ความพร่าเลือนนับวิเวกกลับล้วนคือผลประกอบของอุบายอันแยบคายทางปาปิจฺโฉ ซึ่งกระเพื่อมเลือนไหวปีกเรียวงามแปลกแยกทั่วอณูสรรพางค์กายด้วยลวดลายแห่งวจนของวิญญูบริสุทธิ์คราแกว่งกวัด ที่พวกเขามองเห็นมันอยู่ชั่วอปายภพ ข้าพเจ้าคว้าขมับเมื่อขย้อนปุยนุ่นเถิกนูน วิธีปราบเดิมแท้มีอยู่จริงหรอก แต่เมื่อปรากฏก้อนลิ่มกระจุกใต้คอหอยคราวบดเคี้ยวหรือดื่มกลืน มันจึงเป็นกลลวงราวกับดักสายแว่วของธารร้อนอย่างยิ่ง แดนมหฺพฤกษ์พลันกระส่ายสั่น แยงแตกเป็นกระแสเลี้ยวคดหมุนกลวงนับไม่สิ้นสุด

    หากท่านจำลองลักษณ์ ณ สองควบกล้ำ

    สิ้น คือ จวบจรด ส่วนสุดนั้น คือ แดนมฤตภัยอันจบเห่

    สิ้นสุด จึงเป็นข้อบัญญัติแห่งทุกข์และสุข

    กล่าวคือ

    สิ้น

    .

    .

    .

    สุด

    แล้วจึงอุบัติเครื่องสี่อุปมาภัย

    หัวของพวกเขาต่างก็เปรียบเสมือนสัตว์จำพวกใคร่กัดกินเนื้อนา

    ปากจึงเรียว คางจึงยาว จมูกจึงพอง ตาจึงโปนกว้าง ซี่ฟันจึงแกร่งคมสบพ้องกัน

    ดวงพฤฒิพร่างพราวราวฐานกลีบบัวชะล้างให้เหลือเพียงหลุมมิด ซ่อนใต้นัยน์กลมทู่ ครั้นถูกหลอมเสียเหลาวงม้วนให้เว้าตื้น ตื้นจนคมชิดสบสองฟากฝั่ง จรดเถาไม้เลื้อยรากในระยะเทียบเท่า จากคู่ จำแลงคู่ สัพพะเดี่ยว แปลงปรกกลาง สานสิ่งสนธิใต้จุดรโหฐานให้เปลี่ยวดายยิ่ง ความมีชีวิตของพวกเขาจึงอุปไมยคล้ายความตายทุก ๆ วิการหนักขมอง

     


     

    ข้าพเจ้าลอบมองปลายเท้าเปื้อนฝุ่นของชายผอมกะหร่องผู้หนึ่ง แข้งยาวใต้เชือกแดงสั้นนาบรั้งขากางเกงเปรอะเปียกให้ยอบเนื้อเพียงปิดผิวพอเหมาะ ลมหวิวโอบเงาธุลีป้อนรสจูบใต้ช่องโหว่ของปากกระบอกที่ขาดผึงจากกัน

    ขนาดธารใสราวฝ่ามือเชื่อมลายวาดในตราบขัยของข้าพเจ้ากำลังสาธยายชีพจรเขาผู้นี้อยู่เนืองไกล มันทุกคู่คอยวิ่งเหยียดผลัดแก่นนามธรรมซึ่งยังกึ่งรัดกึ่งหน่วงเหนือรอยต่อเยื้องเข่าข้างกะเผลก รอยเชื่อมระหว่างลำตัวท่อนบนดูทีเขยื้อนราวปลาเหือดน้ำ ไปไม่ไกลแอ่ง แต่ก็ไม่สถิตโคลนตม ข้าพเจ้าทวนแล้วพบว่าเป็นเหตุเริ่มคราแผลแสบเสียด เนื่องควันหลงจากการสลายตัวของโพแทกทิเนียมประสมแอกทิเนียมและโพรมิเทียม

    เขากอบเอาภาพลูกเมียเกลือกสับปลายเท้าด้านกรังขณะภาวนาอ้าง

    ข้าพเจ้าเห็นแล้วสังเวชปนกำหนัดกองทุกข์จึงปล่อยปละ

    ชั่วครู่ ไม่ไกลเนินดินที่ข้าพเจ้าย่ำไว้ แม้ดินแห้ง ลมพลิ้วเดือด รอยต่อปราศจากน้ำ สามพี่น้องตระกูลฑีฆะก็แปลงกายห้อมล้อม เหน็บร่างโทรมซึมเอาไว้ทันท่วงที ชายเสื้อกองเหนือสะโพกตลบคลุกก้อนฝุ่นฟุ้งเถ้าฝัน

    เขาพยายามลืมตาอยู่ครบนาที แต่ก็ไม่รอด

    ข้าพเจ้าต้องด่วนชิงตัวเขา

    เนื่องเพราะกายใต้ร่างหญิงนั้นเคืองขัดอยู่ไม่น้อย หากร่ายแปลงให้เป็นชายซึ่งรุงรังวิสัยทัศน์ของอุบายสามานย์อันเบี่ยงวิปริตบูดเพี้ยงรัดส้นกุมน่องก็พลันพิรุธหนักกว่าโทษ

    ทว่า ขณะลังเล

    ประสงค์สุดท้ายของเขากลับร้องขอเอาไว้

    อย่าได้ให้ข้าพเจ้ายุ่งเกี่ยว...

    มิหนำช้า ประการฉะนี้

    อย่างไรเล่า

    หน้าที่การงานของข้าพเจ้าจึงเป็นอื่นได้ยากยิ่ง

    นอกเสียจากคอยประเมินสถานการณ์ทั่วไป และดลบันดาลให้พวกเขาหรือบัวนอกตมรายอื่นตระหนักทันก่อนเหตุวินาศสันตะโรคุ้งนิศากาลจะมาเยือนรังนอนใคร

    เรื่องจึงดำเนินดังนี้

    .

    .

    .

    .

    .

    “กำแพงนั่น ข้าจะไปไหนได้หรือไม่”

    “ทำไมจะไม่เล่าลอร์ดไคลนด์ ท่านจะยอมทุบมันเพื่อเศษสตางค์เองเชียว ใครในที่นี้อยากประแจงเซอร์เรลนาร์ดแค่ไหน นับไม่ถ้วน เดาไม่สิ้นเลยล่ะ” ข้าพเจ้ากล่าว เรียวนิ้วหนืดชื้นคว้าหินทับทิมไว้ในกำปั้นมิดแน่น

    ความแวววาวของพรข้อวิเศษจึงมอดดับฉับพลัน

    ชานพักทางด้านหลังของข้าพเจ้ามีตำหนิหงิกงอ เพราะราษฎรเวสน์บลูโกรธขึ้งเรื่องทำนายสุริยะคราสซึ่งคาบเกี่ยวในฤดูเพาะปลูกพลาดวัน จุดระคายนั้นแผ่รอยร้าวหนแล้วหนเล่าชวนรำคาญยิ่งกว่าแมลงเพลี้ยตอมผลพลับเน่า แต่ข้าพเจ้าหาได้ขวัญเสีย แม้เขาจะเหลียวมองอย่างเคราชราของตนจะสามารถสวมบังใบหน้าข้าพเจ้าได้พอ ๆ กับที่ข้าพเจ้าเก็บเล็มเปลือกส้มตรงหน้าเขา เมื่อมันถูกชำแรกเสียหมดคราบราชาเก็งกำไร

    ข้าพเจ้าทราบดี ลอร์ดไคลนด์ปรารถนารสหวานนี่ ข้าพเจ้าจะกวาดหาผลประกอบจากรสหวานชื่นตามผืนทองแหล่งใดมาครองอีกได้ ในเมื่อเรื้อนสมุนยามตะล่อมตระกูลอสรพิษยังรังควานครัวขณะถูกจมปรักเช่นนี้

    คราวสบนัยน์ถลำยามครวญใคร่ หลังคายฝ่ามือเปื้อนกลิ่นเปรี้ยวลงถังโสโครกใต้ตีนดิบดี ข้าพเจ้าจึงชี้นิ้วพล่ามบทชำระเล็กน้อย

    “ปรามเสียมิได้ ข้ามีที่ดินถมเถพอให้ย้ายจากแดนมนุษยธรรมเข้าสักวัน”

    ฉะนั้นเครื่องมือใต้บัญญัติของข้าพเจ้า แรกเริ่ม จึงเป็นลักษณ์เฉกเดียวกับตระกูลฑีฆะ

    ข้าพเจ้าจะใช้สิ่งนี้ล่อลวงพวกมัน เพื่อเตือนให้เหล่าอสรพิษทั้งสามมุ่งเป้าไปยังเหยื่อรายเดียวกัน

    เหยื่อในที่นี้ล้วนตกอยู่ในเงื้อมมือชุบพักตร์ ผลทับทิมเป็นเพียงของรางในฤกษ์ปราชัย หากพวกนั้นปรากฏกายใต้สถานจำแลง ข้าพเจ้าก็จะได้ทีผลีพลามลงตรวจพื้นที่แห่งนั้น

    ทว่า

    นับศตวรรษเสกสรร

    ผืนนาเริ่มแผดสี

    ผู้คนต่างจับจองดินแดง

    ความชุ่มชื้นยามฝนพรำประกายเงาแดงฉานอย่างน่าหน่ายอภัย

    โทษของมันเสริมให้ข้าพเจ้าบอดมัว

    มัวไร้สติเสียมองหาพวกมันไม่พบ

    หากว่ามันจะสิงสถิตอยู่ในรสขม กระนั้น ข้าพเจ้าจะเฉือนมันออกมาอย่างไรดี

    “...”

    “...”

    “เงียบเกินไปหรือ” พลทหารฝ่ายขวาคว้าอาวุธขึ้นจับกระเฉงชิดองศาหวดแทง ขณะพลิกผืนใยแห่งพรตซึ่งปรกลากพื้นประตูแคบให้เลิกสูงเท่าที่นายพลผู้น้อยจะแทรกเข้าเต็มกำลัง

    “เจ้า— ตรว— ทะ...ท่าน!”

    “ลอร์ดไคลนด์! ลอร์ดไคลนด์!”

    เสียงฝีเท้าไพร่พลสบสะท้าน ตวาดมวลโทสะเดือดก้องเนินดินชวนแสบสนั่นหู พวกเขาคงวิ่งชิดริมขอบรั้วลงเหนือล่องใต้คาชุดเกราะหนักเพื่อตามล้างแค้นและพยายามจะเผาแผดนัยน์สีมรกตของข้าพเจ้าไปเป็นผงสำราญตราบเท่าโคตรอีกโข ราวกัลปวสานจนกว่าจะเปลี่ยนทรราชครองครรลองธรรมผู้ใหม่ อย่างไร้ตอสิ้นสุดต่อราชวงศ์พลั้งกระเทือนราษฎร

    ราษฎร คือ การปฏิวัติสนาม

    วงศา คือ ตระกูล

    มีเชื่อเพื่อเกลื่อนกระทำลวง

    มีผืนดินเพื่อเกลื่อนกระทำกลความ

    มีละเล่นเพื่อเกลื่อนศาสตร์กระทำต่อปราชญ์

    มีกังขาเพื่อปลดเปลื้องความทุกข์อันกระทำในสุข

    มีรสหมักดองเพื่อบ่มเพาะให้กระเพาะกลัดกลุ้มแลพิษสวาทในความมัวเมา

    มีความมัวเมาเพื่อเป็นทั้งทุกข์และสุขจึงมิต้องการจุดสิ้นสุด

    รสนั้น...เชียว

     

    ข้าพเจ้าพลั้งมือจวนแต่อรุณสวัสดิ์คล้อยย่ำเทียวนู้นหรือนี่

     

    ต่อมรสหวานต้น และขมปร่าทิ้งหาง

    ข้าพเจ้ากระอักเสี้ยวพิษของตน บ้วนถุยเท่าใดก็มิเหือดแห้งสักเทียว

    เมื่อไหร่ คือ คำถามของข้าพเจ้า หาใช่ แห่งใด ตามอารัมภบทใต้ตีนเขา

    ถิ่นแดนเมืองเดิมคงเสริมพลทัพขณะใช้เงี้ยวง่ามด้ามคมแกว่งฟาดโครงบ้านหลังที่สามสิบเก้าของข้าพเจ้าจนแหลกคาตีนเพราะเศษเนื้อโสกังระดารอยสีชาดปนน้ำเหลืองสวะคั่งกระเพาะรินรั่วทั่วร่างของชายร่างท้วมผู้นั้นผู้เดียว

    ข้าพเจ้าลี้หลีกมายังแหล่งสดมภ์พืชผืนใหม่ นานี้ม้วนเป็นสีคราม

    ครามเทาปนแสดและเหลืองอร่าม

    จับต้องยากนัก

    พวกมันมีอยู่เต็มไปหมด

    ถ้วนทั่วบนเรื้อนเงาไม้กับเศษปูนปรักพังของเหล่าเดินเท้าผู้อาภัพแหล่งวินาศภัย

     


     

    วิภาวี หมายถึง นักปราชญ์ / ผู้รู้แจ้งชัด

    พฤฒิ หมายถึง ความเจริญ

    ปขุม (ปขุมํ) หมายถึง ขนตา

    กรรม หมายถึง การกระทำทั้งปวง

    โลภะ หมายถึง ความอยากได้ (เป็นสาเหตุของอกุศลกรรม)

    ปฏิพากย์ หมายถึง การกล่าวตอบ

    เอิกเกริก หมายถึง รู้กันอย่างแพร่หลาย

    วิเวก หมายถึง ความสงัด / ความโดดเดี่ยว

    ปาปิจฺโฉ (ปาป + อิจฺฉา) หมายถึง ความอยากที่เป็นบาป / ปรารถนาลามก

    สรรพางค์กาย หมายถึง ทั่วทั้งตัว

    อปายภพ (บาลี ภูมิ - พู-มิ) หมายถึง ภพ/ภูมิอันปราศจากซึ่งสุข

    มหฺพฤกษ์ (มหฺ -มหันต์ หมายถึง กว้างขวาง) + (วฺฤกฺษ -พฤกษ์ หมายถึง ต้นไม้)

    วิการ หมายถึง การแปลงรูป (ความผิดปกติจากธรรมชาติ)

    ฑีฆะ (น.) หมายถึง งู

    นิศากาล หมายถึง เวลากลางคืน

     

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in