ผมรู้จักสำนักพิมพ์สำนักพิมพ์แซลม่อนมา ได้ซักพักแล้ว
ซักพักตั้งแต่สัปดาห์ที่ New York 1st time วางขายที่งานหนังสือ
และหลังจากการอ่านหนังสือจากสำนักพิมพ์นี้ไปหลายเล่ม ผมก็ตกหลุมรักกับแซลม่อนบุ๊คเข้าอย่างจัง
จนถึงทุกวันนี้ ผมก็ยังคงรักสำนักพิมพ์นี้อยู่
ผมอยากจะเขียนรีวิวหนังสือของสำนักพิมพ์นี้ บอกเล่าว่าทำไมผมถึงคลั่งไคล้ขนาดนี้
อยากจะบอกเล่าให้คนอื่นฟัง ว่ามันอ่านสนุกนะโว้ย
ผมอยากทำมาตั้งนานแล้ว
แต่มันก็ติดตรงคำว่า ขี้เกียจ
ต้องขอบคุณกิจกรรม #หมีรีวิว ที่ทำให้ผมได้เริ่มเขียนทำซักที
จริงๆได้ยินเค้าบอกกันว่า ถ้าเขียนดี ก็จะได้หนังสือ Sloth ฟรีนะ
ผมอยากได้เล่มนี้มาก
ก็เลยออกไปถ่ายรูป
ก็เลยเขียน
ก็เลยส่ง
จบ.
(อาจมีการใช้ภาษาที่หยาบคาย และผิดหลักไวยากรณ์ ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย)
นิวยอร์กครั้งแรกๆของพี่เบนซ์ธนชาติ
เล่มนี้ทำให้เรารู้จักสำนักพิมพ์แซลม่อนเป็นครั้งแรกๆและเป็นติ่งจากนั้นตลอดมา
อ่านเล่มนี้เสมือนดูซีรีย์คอมเมดี้/ดราม่า เกี่ยวกับชีวิตชายหนุ่มไทยคนหนึ่ง
ที่ไปเรียนต่อที่นิวยอร์คครั้งแรก นับตั้งแต่วินาทีแรกที่เราเปิดดูซีรีย์เรื่องนี้เราก็ละสายตาจากมันไม่ได้อีก
ว่าง่ายๆคือ เหมือนเปิดซีรีย์ดูเรื่องหนึง เห้ยสนุกดีว่ะ และจากนั้นกูก็ซัดซะจบซีซั่นเลย
แน่นอนว่าระหว่างเรื่องชายหนุ่มจะต้องเจอกับ ครั้งแรกมากมาย
ความสนุกมันอยู่ตรงที่ไอ้ครั้งแรกที่พี่แกเจอนั่น ส่วนมากจะเป็นเรื่องเชี่ยๆ !
แต่เรื่องเชี่ยๆแบบนี้แหละ ยิ่งอ่านยิ่งสนุก
สิ่งที่ชอบที่สุดในหนังสือของพี่เบ็นซ์คือ ทุกครั้งที่จบบท พี่เบนซ์จะจบได้สวยเสมอ มันทำให้รู้สึกเหมือนตอนที่เราดูหนัง Feel Good จบซักเรื่องหนึ่ง
ซึ่งตอนจบมันสมบูรณ์และสวยงามในตัวของมันเอง
บางครั้งอาจจะกวนตีนบ้าง จนเราเผลอยิ้มออกมานี่ นี่น่าจะเป็นคำอธิบายหนังสือเล่มนี้ได้ดีที่สุดแล้ว
“10/10”
“ยินดีที่ได้รู้จัก เบนซ์ ธนชาติ”
“กวนตีน”
หลังจากนิวยอร์กครั้งแรกๆ เบ็นซ์ ธนชาติ ก็ได้เติบโตขึ้น เสมือนตัวเอกในหนัง coming of age
เช่นเดียวกับผลงานของเค้า
เล่มนี้เล่าถึงประสบการณ์การไปเที่ยวอะแลสก้าของเค้ากับชองอาเพื่อนชาวเกาหลีของเค้า
ไม่มีประสบการณ์ครั้งแรกๆเหมือนเล่มก่อนแล้ว แต่การันตีว่าเรื่องเชี่ยๆ , สำนวนยียวน และความกวนตีนยังคงเหมือนเดิม (อย่างหลังน่าจะมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ)
เล่มนี้เล่าถึงประสบการณ์เที่ยวอะแลสก้า ดินแดนที่หลายๆคนคิดว่า มันจะต้องมีแต่หิมะ
แต่หลังจากอ่านเล่มนี้จบ ความคิดขาวๆหนาวๆแบบนั้นก็หายไป
อะแลสก้ามีอะไรมากกว่านั้น และมันสวยมาก (ถึงจะไม่ได้ไปเองก็เถอะ)
และที่สำคัญที่สุด อ่านสนุกมาก
"สนุกกว่าเดิม และดีกรีความกวนตีนมากกว่าเล่มแรกอีก"
เท่าที่เรารู้ จากผลงาน 2 เล่มก่อนหน้านี้ เราพอจะรู้ว่า
ONCE UBON A TIME อุบลเป็นเมืองชิคๆ
คือหนังสือที่ทำตัวเหมือนนิตยสารอินดี้หัวนอกแบบ Kinfolk นิตยสารที่เล่าถึงไลฟ์สไตล์ชิคๆ คูลๆ ของผู้คนต่างๆนานา
สำหรับเล่มนี้ ผู้คนชิคๆเหล่านั้นชุมชนนั้นคืออุบลราชธานี
ในเล่มนี้ เราจะพบเจอกับบทสัมภาษณ์อันน่าหมั่นไส้ของ
ว่ากันตรงๆ นี่คือหนังสือแซะฮิปสเตอร์ ที่เล่นใหญ่และสร้างสรรค์มาก
ความเจ๋งมันอยู่ตรงที่ ไม่ได้จะแซะเพื่อความซะใจแล้วจากไปอย่างเดียว เล่มนี้ก้าวข้ามขั้นนั้นไปแล้ว
พี่เบนซ์ มีความเป็นศิลปินมากกว่านั้น
"ถ้าการแซะฮิปสเตอร์ คือการเอาสีในกระป๋องไปป้ายลงบนตัวคนอื่น
เล่มนี้คือการเอาสีในกระป๋องไปสร้างสรรค์ผลงานแทน"
“จดหมายรักจากนายธนชาติ ถึงพอร์ตแลนด์”
• เล่มนี้เป็นผลงานล่าสุดของพี่เบนซ์ เล่าประสบการณ์ไปเที่ยวพอร์ตแลนด์เมืองทางตอนเหนือของอเมริกา เมืองที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองฮิปสเตอร์ เมืองน่าอยู่ที่สุดในสหรัฐ
• เท่าที่เรารู้มาคือ พี่เบ็นซ์ถ่ายรูปสวยมาก เหมือนพี่แกจะรู้ใจเล่มนี้เลยเต็มเป็น Photobook ซะเลย
• แต่ก็ไม่ใช่ว่า จะมีแต่รูปและแคปชั่นน้อยๆทั้งเล่ม
• พี่เบนซ์เขียนเล่าเรื่อง บลูเล็ตแบบนี้
• ยังไม่เก็ตหรอ
• เป็นอะไรแบบนี้ พอเข้าใจมั้ย ?
• ถึงตัวหนังสือจะน้อย ไม่เหมือนเล่มก่อนๆแต่ใช่ว่าความดีงามของเล่มนี้จะลดลงไปเลย
• เพราะความที่เป็น Photobook ภาพจึงเป็นส่วนเล่าเรื่องมากกว่าตัวอักษรอยู่แล้ว
• แต่สิ่งที่ลดลงไปอย่างเห็นได้ชัดคือความเชี่ยที่พี่แกได้เจอ
• เล่มนี้จึงไม่ค่อยมีเรื่องเล่ามันส์ๆ แบบเล่มก่อนๆ
• แต่ใช่ว่าความสนุกจะลดลงไป
• หลังจากอ่านเล่มนี้จบ พี่เบนซ์ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าไม่ต้องมีเรื่องเชี่ยๆ ก็อ่านสนุกได้
• เมืองพอร์ตแลนด์ เป็นเมืองที่ต้องเล่าเรื่องด้วยภาพถ่ายจริงๆนะ เพราะมันสวยมาก
• และพี่เบนซ์ก็ถ่ายทอดออกมาได้สวยจริงๆ
• ประทับใจ
เล่มนี้เกี่ยวกับประสบการณ์การเป็นอาจารย์พิเศษของพี่ต่อ คันฉัตร หรือรู้จักกันในชื่อคือ คุณเมอฤดี
เล่าตั้งแต่
เท่าได้เรารู้ เวลาพี่ต่อเจอประสบการณ์อะไรเหี้ยมๆมา ก็รออ่านอะไรสนุกๆได้เลย
พี่ต่อเป็นคนที่เล่าเรื่องแบบนี้ได้สนุกจริงๆ
ทุกครั้งที่เห็นพี่ต่อเช็คอินไปเที่ยวแต่ล่ะครั้ง ผมจะภาวนาให้เค้าเจอกับเหตุการณ์เหี้ยมๆ เราจะได้มีอะไรสนุกๆอ่าน (เป็นคนอ่านต้องเลือดเย็น)
ด้วยเหตุผลข้างบน หนังสือเล่มนี้จึงเป็นหนังสือคอมเมดี้ของแท้ที่ฮาได้ทุกบท ทุกหน้าเพราะมันถูกกั่นกรองมาจากประสบการณ์การสอนหนังสือตั้งหลายปี มีหรอจะไม่สนุก
การอ่านเล่มนี้ได้อารมณ์เหมือนอ่านการ์ตูนเรื่อง GTO เป็นการ์ตูนที่พระเอกเป็นครูซ่าๆ นักเลงๆหน่อย
ชอบเจอเด็กแกล้ง แต่อย่างไรก็ตามเมื่ออ่านจบแต่ละตอนเราจะรู้สึกว่าคนๆเนี้ย แม่งเป็นครูที่ดีจังว้ะ
มันมีทั้งความฮาและซึ้งและคันฉัตรเป็นครูแบบนั้น
มีคนเคยบอกว่า ถ้าอยากรู้ว่าครูคนไหนสอนดี คนไหนสอนไม่ดี ให้ดูแววตาของลูกศิษฐ์เวลาเรียนกับครูคนนั้น
เราจะเห็นดวงตาที่เป็นประกาย ในแววตาของลูกศิษฐ์เหล่านั้น
"และแววตาแบบนั้น มันเกิดขึ้นกับผมเหมือนกัน ในทุกครั้งที่ผมหยิบหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาอ่าน"
ย้อนเวลากลับไปทบทวนวันวานกับ วัตถุไวไฟ
เล่มนี้จะเป็นการเล่าไทม์ไลน์ของอินเตอร์เน็ต ตั้งแต่สมัย Net 56 k , ICQ , MSN ,Pramool , เว็บบอร์ดยุครุ่งเรือง , Hi5 , และอะไรหลายอย่าง ยัน facebook
นี่เป็นเล่มแรกที่ผมได้อ่านของพี่ต่อ คันฉัตร ผมว่ามันเป็นการเริ่มต้นที่ค่อนข้างดี เพราะทุกบทที่เล่าประวัติศาสตร์ทางอินเตอร์เน็ตเนี่ย พี่แกจะแอบเล่าชีวิตตัวเองไปในตัว ทำให้เรารู้จักเค้ามากขึ้นในทุกบท
ด้วยความเป็นเด็กยุค 90 เหมือนกัน เราสัมผัสได้หมดเลย ว่าอีบรรดาโปรแกรมแชทต่างๆมันเป็นยังไง
• ชีวิตและสภาพสังคมตอนนั้นมันเป็นยังไง
• ตอนฟังเสียงโมเด็มวิ่งแกร็กๆๆๆๆ ลุ้นว่าเน็ต 56K จะติดรึเปล่ามันเป็นยังไง
• การที่ต้องกลับบ้านไปโหลด MSN เมื่อเพื่อนที่โรงเรียนมันเล่นกันหมดแล้วเราไม่ได้เล่นเป็นยังไง
• บรรยากาศออนเอ็ม แช็ตกับเพื่อนหลังเลิกเรียนมันเป็นประมาณไหน
• สมัยเว็บบอร์ดทั้งหลายกำลังรุ่งเรืองมันเป็นยังไง
• การต้องไปเม้นในHi5 ของเพื่อน มันเป็นยังไง
• อ่านไปนอกจากความสนุก ยังเกิดภาพแฟล็ชแบ็ค นึกถึงตัวเองในตอนนั้น อย่างกับหนังดราม่า
แอบดีใจเหมือนกันที่หลายๆอย่างที่ถูกเล่าในเล่มนี้ผมเกิดทัน แต่บางอย่าง ผมก็เล่นไม่ทัน อย่างเช่น ICQ
แต่ด้วยการเล่าเรื่องที่น่าทึ่งของพี่ต่อ ก็ทำให้เราอินไปด้วยง่าย นี่เป็นเวทมนต์ของพี่แกจริงๆ
แปลกเหมือนกัน ที่เวลาพูดถึงอดีตถึงเรื่องนั้นมันจะแย่ แต่พอเล่าถึงมันเราจะรู้สึกได้ว่ามันมีความสวยงามของมันอยู่เสมอ
"และเล่มนี้มันก็มีความหอมหวานแบบนั้นอยู่ในทุกบทเลย"
หนังสือแนวรำลึกความหลัง อ่านสนุกคล้ายเล่ม วัตถุ wifi แต่เล่มนี้เกี่ยวกับ “สยาม”
สถานที่ที่ทุกคนพอจะเดาได้ว่ามันเป็นยังไงถึงแม้จะไม่ได้ไปหลายปีแล้วก็ตาม
เล่าถึงสยามในรูปแบบของมนุษย์ 14 ประเภท เช่น มนุษย์ดูหนัง , มนุษย์บีทีเอส , มนุษย์ขนมหวาน ,มนุษย์ถ่ายรูป , ฯลฯ
• บอกเล่าว่า มนุษย์พวกนี้จะอยู่ส่วนไหนของสยาม
• พวกเค้ามาทำอะไรกัน
• สถานที่ตรงนั้น ในวันที่พี่ต่อยังเป็นวัยรุ่นมันเป็นยังไง
• แล้วสมัยนี้มันเป็นประมาณไหนนะ
จะว่าไปเล่มนี้ก็เหมือนบันทึกทางประวัติศาสตร์ทางสถานที่เหมือนกันนะ
แต่มันไม่ใช่บันทึกทางการน่าเบื่ออะไรแบบนั้น มันอ่านสนุกกว่านั้นมาก สามารถอ่านจบได้ในรวดเดียว
คิดว่าสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผมอ่านเล่มนี้จบในรวดเดียวคือ สกิลการเล่าเรื่องของพี่แก
ยิ่งเวลาพูดถึงอดีต สำหรับพี่แกไม่ใช่แค่การพูดถึงอดีตเฉยๆ แต่มันก็คือการพูดถึงอดีต (อ่าว) ที่เอาตัวผู้เล่าเป็นตัวละครในเรื่องที่จะเล่าด้วย
ว่ากันง่ายๆ คือการเล่าจากประกบการณ์ของตัวเองจริงๆ
ทุกอย่างที่ถูกเล่ามันเลยเหมือนเราฟังจาก “เพื่อนหรือคนรู้จัก” ของเรา
มันสมจริง มันรู้สึกสัมผัสได้ เราสัมผัสได้ ว่าไอ้คนเนี่ยมันของจริง มันไปเจอเรื่องอะไรแบบนี้มาจริงๆนะ
และทั้งหมดที่ผมพูดถึงก็ถูกบรรจุอยู่ในเล่มนี้
“ถ้าเราอยากรู้จักนักเขียนคนไหนให้ไปอ่านหนังสือเล่มแรกของเค้า” นี่เป็นประโยคที่ผมเคยได้ยิน
และมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆเพราะนี่คือหนังสือเล่มแรกของพี่ต่อ ในสำนักพิมพ์แซลม่อน
หลังจากเราอ่านเล่มนี้ เราก็พอจะรู้จักชายที่ชื่อ ต่อ คันฉัตรมากขึ้น รวมทั้งงานเขียนของเค้า
ที่ครบองค์สามเหมือนอ่านบทหนังยังไงอย่างนั้น การเล่าเรื่องที่รู้สึกจับต้องได้
และที่สำคัญเราได้เจอลีลาการเล่าเรื่องแบบออกสาวของเค้า !
“ให้ตายเถอะ มันอ่านสนุกชะมัด” นี่เป็นประโยคแรกที่ผมอุทานขึ้น หลังจากอ่านเล่มนี้จบ
และหนังสือของพี่ต่อคันฉัตรและงานเขียนของเค้ามันก็เป็นแบบนั้นตลอดมา
จริงอย่างที่เค้าพูด” ถ้าเราอยากรู้จักนักเขียนคนไหนให้ไปอ่านหนังสือเล่มแรกของเค้า”
เล่มนี้เล่าถึงประสบการณ์การบินไปเกาหลีเพื่อไปดูคอนเสิร์ต BigBang !!!
และยังพูดถึงกระแสเกาหลีฟีเวอร์และคำว่าติ่งเกาหลี ว่ามันเป็นยังไง
เล่มนี้จึงไม่ใช่แค่หนังสือเล่าถึงประสบการณ์ท่องเที่ยวของคนๆหนึง แต่ยังเป็นการสื่อสารถึงผู้ที่ได้มาอ่าน
เป็นการปรับทัศนคติเกี่ยวกับคำว่า “ติ่งเกาหลี”
ว่าทำไมพวกเค้าถึงมอบความรักให้ศิลปินที่เค้ารักขนาดนั้น?
ทำไมถึงทุ่มเทขนาดนั้น ?
และพี่ต่อคันฉัตร ก็อธิบายให้เราเข้าใจถึงคำถามเหล่านี้ และเข้าใจพวกเค้าเหล่านี้ได้อย่างชัดเจน
(และอ่านสนุกมาก เช่นเคย)
เล่มนี้จัดเป็นหนังสือเล่มแรกในซีรี่ส์หนังสือ “แอดแวนเจอร์ ออฟ เมอฤดี”
จากคำบอกเล่าตามคำนำหนังสือ “แอดแวนเจอร์ ออฟ เมอฤดี”
คือหนังสือบันทึกการท่องเที่ยวและวัฒนธรรมของประเทศที่ชายชื่อต่อ คันฉัตร ได้เดินทางไปสัมผัสมา
แต่จริงๆมันมีอะไรมากกว่านั้น นิยามของหนังสือของชุดนี้จริงๆคือ
บันทึกการเดินทางไปต่างประเทศส่วนมากจะตามรอยภาพยนต์และเที่ยวตามสถานที่ลับแลต่างๆ
เป็นบันทึกการเดินทางฉบับกึ่งทุกข์กึ่งสุข และกึ่งวัฒนธรรม
สำหรับผม เวลาไปเที่ยวแล้วไปเจอสถานที่แปลกๆสวยๆ สิ่งที่ผมจะทำคือถ่ายรูป และจบลงแค่นั้น
หรือถ้าไปเจอเด็กนักเรียนญี่ปุ่นแต่งตัวแปลก เราก็จะทำแค่ถ่ายรูป แล้วก็ผ่านไป
แต่สำหรับพี่ต่อสิ่งเหล่านี้มันอะไรมากกว่านั้น มันคือวัฒนธรรมของประเทศนั้นอย่างหนึง
เค้าสามารถอธิบายออกมาได้ว่าทำไมผู้คนถึงทำอย่างนั้น ทำไมถึงแต่งตัวอย่างนั้น สถานที่นี้มันมีความเป็นมายังไง
และระหว่างทางสิ่งที่พี่แกได้เจอในทุกทริปก็คือ อุปสรรคต่างๆนานา และความวุ่นวายระดับวายป่วง
เราจึงพูดได้เต็มปากว่านี่แหละคือแอดแวนเจอร์จริงๆ เพราะมันคือการผจญ “ภัย”
และส่วนนี่แหละคือส่วนที่สนุกที่สุดของซีรี่ส์หนังสือชุดนี้ (...)
เล่มนี้ จะบันทึกการเดินไปญี่ปุ่นเพื่อไปตามรอยวัฒนธรรม J-Pop ต่างๆ
แต่เป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของทริปนี้คือ
การไปตามหาโลเคชั่นของหนังเรื่อง All About Lily Chou-Chou หนังญี่ปุ่นชื่อดังที่พี่ต่อคลั่งใคล้มาแต่ไหน
รวมๆแล้วเล่มนี้อ่านสนุก ตามมาตรฐานของพี่แกมาก อ่านเพลิน จัดเต็ม 26 บทเลยทีเดียว (ปกติจะมีประมาณ 14 บทเท่านั้น)
หนังสือในซีรี่ส์นี้ยังมี แอดเวนเจอร์ ออฟ เมอฤดี ฉบับ TAIPEI PANIC เพียงชายคนนี้ไปไทเป
เป็นการผจญภัย ฉบับไทเป ดินแดนที่คนส่วนใหญ่ชอบถามว่า ไปทำไมไทเป
ที่นี่มีอะไรให้เที่ยวหรอ ? เล่มนี้พอจะตอบคำถามเหล่านั้นได้
และเล่มสุดท้ายนั่นคือ AUSTRIA SONATA แอดเวนเจอร์ ออฟ เมอฤดี ฉบับคลาสสิก
เป็นการผจญภัยฉบับออสเตรีย (ไม่ใช่ออสเตเรีย)
นี่เป็นการเดินทางไปยุโรปครั้งแรกของชายคนนี้ และแน่นอนก็ยังคงเจอกับอุปสรรคมากมาย
ทั้งความไบโพลาร์ของชาวออสเตรีย , เอาชีวิตรอดจากประเทศที่ไม่มีร้านสะดวกซื้อ ที่เปิด 24 ชม.
การต้องกินเพื่ออยู่ เพราะสั่งอาหารไม่เป็น , ตามรอยโลเคชั่นหนังในตำนานอย่างเรื่อง Before Sunrise
และอีกมากมาย
และเล่มนี้ยังคงมาตรฐานความสนุกไว้ตามแบบฉบับ แอดแวนเจอร์ฉบับเมอฤดีเหมือนเดิม
จบแล้วครับ กับ รีวิวหนังสือวันนี้ จริงๆมีอีกหลายเล่มเลย ที่เราไม่ได้รีวิว
เดี๋ยวจะถยอยอัพขึ้นไปให้อ่านกันนะครับ
ลาแล้วครับ เจอกันในเร็วๆนี้
สวัสดี
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in