เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
IN BEAR VIEWNarawit Takame
IN BEAR VIEW : มหกรรมรีวิวหนังสือ(s) ของนายธนชาติ และคุณคันฉัตร
  • ผมรู้จักสำนักพิมพ์สำนักพิมพ์แซลม่อนมา ได้ซักพักแล้ว

    ซักพักตั้งแต่สัปดาห์ที่ New York 1st time วางขายที่งานหนังสือ

    และหลังจากการอ่านหนังสือจากสำนักพิมพ์นี้ไปหลายเล่ม ผมก็ตกหลุมรักกับแซลม่อนบุ๊คเข้าอย่างจัง

    จนถึงทุกวันนี้ ผมก็ยังคงรักสำนักพิมพ์นี้อยู่


    ผมอยากจะเขียนรีวิวหนังสือของสำนักพิมพ์นี้ บอกเล่าว่าทำไมผมถึงคลั่งไคล้ขนาดนี้

    อยากจะบอกเล่าให้คนอื่นฟัง ว่ามันอ่านสนุกนะโว้ย

    ผมอยากทำมาตั้งนานแล้ว

    แต่มันก็ติดตรงคำว่า ขี้เกียจ

    ต้องขอบคุณกิจกรรม #หมีรีวิว ที่ทำให้ผมได้เริ่มเขียนทำซักที

    จริงๆได้ยินเค้าบอกกันว่า ถ้าเขียนดี ก็จะได้หนังสือ Sloth ฟรีนะ

    ผมอยากได้เล่มนี้มาก

    ก็เลยออกไปถ่ายรูป

    ก็เลยเขียน

    ก็เลยส่ง

    จบ.



    (อาจมีการใช้ภาษาที่หยาบคาย และผิดหลักไวยากรณ์ ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย)




  • NEW YORK 1ST TIME นิวยอร์กตอนแรกๆ...
    ธนชาติ ศิริภัทราชัย

    “สนุกมาก อ่านไปเพลินๆ เอ้า จบแล้วหรอ”

    นิวยอร์กครั้งแรกๆของพี่เบนซ์ธนชาติ

    เล่มนี้ทำให้เรารู้จักสำนักพิมพ์แซลม่อนเป็นครั้งแรกๆและเป็นติ่งจากนั้นตลอดมา

    อ่านเล่มนี้เสมือนดูซีรีย์คอมเมดี้/ดราม่า เกี่ยวกับชีวิตชายหนุ่มไทยคนหนึ่ง

    ที่ไปเรียนต่อที่นิวยอร์คครั้งแรก นับตั้งแต่วินาทีแรกที่เราเปิดดูซีรีย์เรื่องนี้เราก็ละสายตาจากมันไม่ได้อีก

    ว่าง่ายๆคือ เหมือนเปิดซีรีย์ดูเรื่องหนึง เห้ยสนุกดีว่ะ และจากนั้นกูก็ซัดซะจบซีซั่นเลย

    แน่นอนว่าระหว่างเรื่องชายหนุ่มจะต้องเจอกับ ครั้งแรกมากมาย

    • ทั้งโดนปล้นครั้งแรก
    • ตัดผมต่างแดนครั้งแรก
    • ต่อแถวเพื่อเข้าแกลอรี่ครั้งแรก
    • มีแฟนต่างชาติครั้งแรก
    • และอะไรหลายๆอย่างที่ลงท้ายด้วยคำว่า ครั้งแรก

    ความสนุกมันอยู่ตรงที่ไอ้ครั้งแรกที่พี่แกเจอนั่น ส่วนมากจะเป็นเรื่องเชี่ยๆ !

    แต่เรื่องเชี่ยๆแบบนี้แหละ ยิ่งอ่านยิ่งสนุก

    สิ่งที่ชอบที่สุดในหนังสือของพี่เบ็นซ์คือ ทุกครั้งที่จบบท พี่เบนซ์จะจบได้สวยเสมอ มันทำให้รู้สึกเหมือนตอนที่เราดูหนัง Feel Good จบซักเรื่องหนึ่ง

    ซึ่งตอนจบมันสมบูรณ์และสวยงามในตัวของมันเอง

    บางครั้งอาจจะกวนตีนบ้าง จนเราเผลอยิ้มออกมานี่ นี่น่าจะเป็นคำอธิบายหนังสือเล่มนี้ได้ดีที่สุดแล้ว

    “10/10”

    “ยินดีที่ได้รู้จัก  เบนซ์ ธนชาติ”




  • THE REAL ALASKA อลาสก้าล้านเปอร์เซ็นต์

    ธนชาติ ศิริภัทราชัย

    “กวนตีน”

    หลังจากนิวยอร์กครั้งแรกๆ เบ็นซ์ ธนชาติ ก็ได้เติบโตขึ้น เสมือนตัวเอกในหนัง coming of age

    เช่นเดียวกับผลงานของเค้า

    เล่มนี้เล่าถึงประสบการณ์การไปเที่ยวอะแลสก้าของเค้ากับชองอาเพื่อนชาวเกาหลีของเค้า

    ไม่มีประสบการณ์ครั้งแรกๆเหมือนเล่มก่อนแล้ว แต่การันตีว่าเรื่องเชี่ยๆ , สำนวนยียวน และความกวนตีนยังคงเหมือนเดิม (อย่างหลังน่าจะมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ)

    เล่มนี้เล่าถึงประสบการณ์เที่ยวอะแลสก้า ดินแดนที่หลายๆคนคิดว่า มันจะต้องมีแต่หิมะ

    แต่หลังจากอ่านเล่มนี้จบ ความคิดขาวๆหนาวๆแบบนั้นก็หายไป

    อะแลสก้ามีอะไรมากกว่านั้น และมันสวยมาก (ถึงจะไม่ได้ไปเองก็เถอะ)

    และที่สำคัญที่สุด อ่านสนุกมาก

    "สนุกกว่าเดิม และดีกรีความกวนตีนมากกว่าเล่มแรกอีก"


  • ONCE UBON A TIME อุบลเป็นเมืองชิคๆ
    ธนชาติ ศิริภัทราชัย

    เท่าที่เรารู้ จากผลงาน 2 เล่มก่อนหน้านี้ เราพอจะรู้ว่า

    • พี่เบนซ์ เรียนจบด้านการถ่ายรูปจากนิวยอร์ค
    • พี่เบนซ์ถ่ายรูปสวย
    • พี่เบนซ์มีอารมณ์ขันอยู่ตลอดเวลา
    • พี่เบนซ์เป็นคนที่เขียนอะไรก็อ่านสนุก 
    • และเกือบทุกครั้งที่อ่านงานของพี่แกจะต้องอุทานออกมาว่ากวนตีน !


    ONCE UBON A TIME อุบลเป็นเมืองชิคๆ

    คือหนังสือที่ทำตัวเหมือนนิตยสารอินดี้หัวนอกแบบ Kinfolk นิตยสารที่เล่าถึงไลฟ์สไตล์ชิคๆ คูลๆ ของผู้คนต่างๆนานา

    สำหรับเล่มนี้ ผู้คนชิคๆเหล่านั้นชุมชนนั้นคืออุบลราชธานี

    ในเล่มนี้ เราจะพบเจอกับบทสัมภาษณ์อันน่าหมั่นไส้ของ

    • ลุงชัยชาวบ้านผู้มีวิถีชีวิตสโลว์ไลฟ์และสุดชิค
    • ลุงแหลม ช่างภาพที่ New York Times ยกย่องว่าเป็นช่างภาพยอดเยี่ยมแห่งศตวรรษ
    • ยายราญ Tree Costume Designer หรือผู้ออกแบบผ้าผันต้นไม้ประจำตำบล
    • และอะไรต่างๆนานาๆที่สุดเซอร์เรียล สุดบ้าและไม่จริงสุดๆ จนเราต้องหลุดยิ้มออกมา
    • ส่วนผสมเหล่านี้ ถูกเล่าด้วยภาษาที่น่าหมั่นไส้ รูปสวยและอ่านสนุกเหมือนเดิมตามสไตล์เบ็นซ์ ธนชาติ
    • เล่มนี้จึงเหมือนนิตยสารชิคๆ สไตล์อุบล
    • พวกคุณเก็ตมั้ย ?

    ว่ากันตรงๆ นี่คือหนังสือแซะฮิปสเตอร์ ที่เล่นใหญ่และสร้างสรรค์มาก

    ความเจ๋งมันอยู่ตรงที่ ไม่ได้จะแซะเพื่อความซะใจแล้วจากไปอย่างเดียว เล่มนี้ก้าวข้ามขั้นนั้นไปแล้ว

    พี่เบนซ์ มีความเป็นศิลปินมากกว่านั้น

    "ถ้าการแซะฮิปสเตอร์ คือการเอาสีในกระป๋องไปป้ายลงบนตัวคนอื่น

    เล่มนี้คือการเอาสีในกระป๋องไปสร้างสรรค์ผลงานแทน"


  • DEAR PORTLAND
    ธนชาติ ศิริภัทราชัย

    “จดหมายรักจากนายธนชาติ ถึงพอร์ตแลนด์”

    • เล่มนี้เป็นผลงานล่าสุดของพี่เบนซ์ เล่าประสบการณ์ไปเที่ยวพอร์ตแลนด์เมืองทางตอนเหนือของอเมริกา เมืองที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองฮิปสเตอร์ เมืองน่าอยู่ที่สุดในสหรัฐ

    • เท่าที่เรารู้มาคือ พี่เบ็นซ์ถ่ายรูปสวยมาก เหมือนพี่แกจะรู้ใจเล่มนี้เลยเต็มเป็น Photobook ซะเลย

    • แต่ก็ไม่ใช่ว่า จะมีแต่รูปและแคปชั่นน้อยๆทั้งเล่ม

    • พี่เบนซ์เขียนเล่าเรื่อง บลูเล็ตแบบนี้

    • ยังไม่เก็ตหรอ

    • เป็นอะไรแบบนี้ พอเข้าใจมั้ย ?

    • ถึงตัวหนังสือจะน้อย ไม่เหมือนเล่มก่อนๆแต่ใช่ว่าความดีงามของเล่มนี้จะลดลงไปเลย

    • เพราะความที่เป็น Photobook ภาพจึงเป็นส่วนเล่าเรื่องมากกว่าตัวอักษรอยู่แล้ว

    • แต่สิ่งที่ลดลงไปอย่างเห็นได้ชัดคือความเชี่ยที่พี่แกได้เจอ 

    • เล่มนี้จึงไม่ค่อยมีเรื่องเล่ามันส์ๆ แบบเล่มก่อนๆ

    • แต่ใช่ว่าความสนุกจะลดลงไป

    • หลังจากอ่านเล่มนี้จบ พี่เบนซ์ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าไม่ต้องมีเรื่องเชี่ยๆ ก็อ่านสนุกได้

    • เมืองพอร์ตแลนด์ เป็นเมืองที่ต้องเล่าเรื่องด้วยภาพถ่ายจริงๆนะ เพราะมันสวยมาก

    • และพี่เบนซ์ก็ถ่ายทอดออกมาได้สวยจริงๆ

    • ประทับใจ

  • เพียงชายคนนี้เป็นอาจารย์พิเศษ
    คันฉัตร รังษีกาญจน์ส่อง

    เล่มนี้เกี่ยวกับประสบการณ์การเป็นอาจารย์พิเศษของพี่ต่อ คันฉัตร หรือรู้จักกันในชื่อคือ คุณเมอฤดี

    เล่าตั้งแต่

    • จากนักวิจารณ์ แล้วมาเป็นอาจารย์ได้ยังไง
    • ตอนสอนเป็นยังไงบ้าง
    • ประสบการณ์สอนคนเดียว โดยไม่มีนักเรียนเลยเป็นยังไง ...
    • ความเลือดเย็นของการออกสอบ 
    • และดราม่าต่างๆนานา ที่ชายคนนี้ได้เจอระหว่างสอนหนังสือ

    เท่าได้เรารู้ เวลาพี่ต่อเจอประสบการณ์อะไรเหี้ยมๆมา ก็รออ่านอะไรสนุกๆได้เลย

    พี่ต่อเป็นคนที่เล่าเรื่องแบบนี้ได้สนุกจริงๆ

    ทุกครั้งที่เห็นพี่ต่อเช็คอินไปเที่ยวแต่ล่ะครั้ง ผมจะภาวนาให้เค้าเจอกับเหตุการณ์เหี้ยมๆ เราจะได้มีอะไรสนุกๆอ่าน (เป็นคนอ่านต้องเลือดเย็น)

    ด้วยเหตุผลข้างบน หนังสือเล่มนี้จึงเป็นหนังสือคอมเมดี้ของแท้ที่ฮาได้ทุกบท ทุกหน้าเพราะมันถูกกั่นกรองมาจากประสบการณ์การสอนหนังสือตั้งหลายปี มีหรอจะไม่สนุก

    การอ่านเล่มนี้ได้อารมณ์เหมือนอ่านการ์ตูนเรื่อง GTO เป็นการ์ตูนที่พระเอกเป็นครูซ่าๆ นักเลงๆหน่อย

    ชอบเจอเด็กแกล้ง แต่อย่างไรก็ตามเมื่ออ่านจบแต่ละตอนเราจะรู้สึกว่าคนๆเนี้ย แม่งเป็นครูที่ดีจังว้ะ

    มันมีทั้งความฮาและซึ้งและคันฉัตรเป็นครูแบบนั้น

    มีคนเคยบอกว่า ถ้าอยากรู้ว่าครูคนไหนสอนดี คนไหนสอนไม่ดี ให้ดูแววตาของลูกศิษฐ์เวลาเรียนกับครูคนนั้น

    เราจะเห็นดวงตาที่เป็นประกาย ในแววตาของลูกศิษฐ์เหล่านั้น

    "และแววตาแบบนั้น มันเกิดขึ้นกับผมเหมือนกัน ในทุกครั้งที่ผมหยิบหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาอ่าน"

  • วัตถุ WI-FI
    คันฉัตร รังษีกาญจน์ส่อง

    ย้อนเวลากลับไปทบทวนวันวานกับ วัตถุไวไฟ

    เล่มนี้จะเป็นการเล่าไทม์ไลน์ของอินเตอร์เน็ต ตั้งแต่สมัย Net 56 k , ICQ , MSN ,Pramool , เว็บบอร์ดยุครุ่งเรือง , Hi5 , และอะไรหลายอย่าง ยัน facebook

    นี่เป็นเล่มแรกที่ผมได้อ่านของพี่ต่อ คันฉัตร ผมว่ามันเป็นการเริ่มต้นที่ค่อนข้างดี เพราะทุกบทที่เล่าประวัติศาสตร์ทางอินเตอร์เน็ตเนี่ย พี่แกจะแอบเล่าชีวิตตัวเองไปในตัว ทำให้เรารู้จักเค้ามากขึ้นในทุกบท

    ด้วยความเป็นเด็กยุค 90 เหมือนกัน เราสัมผัสได้หมดเลย ว่าอีบรรดาโปรแกรมแชทต่างๆมันเป็นยังไง

    • ชีวิตและสภาพสังคมตอนนั้นมันเป็นยังไง

    • ตอนฟังเสียงโมเด็มวิ่งแกร็กๆๆๆๆ ลุ้นว่าเน็ต 56K จะติดรึเปล่ามันเป็นยังไง

    • การที่ต้องกลับบ้านไปโหลด MSN เมื่อเพื่อนที่โรงเรียนมันเล่นกันหมดแล้วเราไม่ได้เล่นเป็นยังไง

    • บรรยากาศออนเอ็ม แช็ตกับเพื่อนหลังเลิกเรียนมันเป็นประมาณไหน

    • สมัยเว็บบอร์ดทั้งหลายกำลังรุ่งเรืองมันเป็นยังไง

    • การต้องไปเม้นในHi5 ของเพื่อน มันเป็นยังไง

    • อ่านไปนอกจากความสนุก ยังเกิดภาพแฟล็ชแบ็ค นึกถึงตัวเองในตอนนั้น อย่างกับหนังดราม่า

    แอบดีใจเหมือนกันที่หลายๆอย่างที่ถูกเล่าในเล่มนี้ผมเกิดทัน แต่บางอย่าง ผมก็เล่นไม่ทัน อย่างเช่น ICQ

    แต่ด้วยการเล่าเรื่องที่น่าทึ่งของพี่ต่อ ก็ทำให้เราอินไปด้วยง่าย นี่เป็นเวทมนต์ของพี่แกจริงๆ

    แปลกเหมือนกัน ที่เวลาพูดถึงอดีตถึงเรื่องนั้นมันจะแย่ แต่พอเล่าถึงมันเราจะรู้สึกได้ว่ามันมีความสวยงามของมันอยู่เสมอ

    "และเล่มนี้มันก็มีความหอมหวานแบบนั้นอยู่ในทุกบทเลย"

  • SIAM DISCOVERY สยาม มนุษย์ สถิต
    คันฉัตร รังษีกาญจน์ส่อง

    หนังสือแนวรำลึกความหลัง อ่านสนุกคล้ายเล่ม วัตถุ wifi แต่เล่มนี้เกี่ยวกับ “สยาม”

    สถานที่ที่ทุกคนพอจะเดาได้ว่ามันเป็นยังไงถึงแม้จะไม่ได้ไปหลายปีแล้วก็ตาม

    เล่าถึงสยามในรูปแบบของมนุษย์ 14 ประเภท เช่น มนุษย์ดูหนัง , มนุษย์บีทีเอส , มนุษย์ขนมหวาน  ,มนุษย์ถ่ายรูป , ฯลฯ

    • บอกเล่าว่า มนุษย์พวกนี้จะอยู่ส่วนไหนของสยาม

    • พวกเค้ามาทำอะไรกัน

    • สถานที่ตรงนั้น ในวันที่พี่ต่อยังเป็นวัยรุ่นมันเป็นยังไง

    • แล้วสมัยนี้มันเป็นประมาณไหนนะ

    จะว่าไปเล่มนี้ก็เหมือนบันทึกทางประวัติศาสตร์ทางสถานที่เหมือนกันนะ

    แต่มันไม่ใช่บันทึกทางการน่าเบื่ออะไรแบบนั้น มันอ่านสนุกกว่านั้นมาก สามารถอ่านจบได้ในรวดเดียว

    คิดว่าสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผมอ่านเล่มนี้จบในรวดเดียวคือ สกิลการเล่าเรื่องของพี่แก

    ยิ่งเวลาพูดถึงอดีต สำหรับพี่แกไม่ใช่แค่การพูดถึงอดีตเฉยๆ แต่มันก็คือการพูดถึงอดีต (อ่าว) ที่เอาตัวผู้เล่าเป็นตัวละครในเรื่องที่จะเล่าด้วย

    ว่ากันง่ายๆ คือการเล่าจากประกบการณ์ของตัวเองจริงๆ

    ทุกอย่างที่ถูกเล่ามันเลยเหมือนเราฟังจาก “เพื่อนหรือคนรู้จัก” ของเรา

    มันสมจริง มันรู้สึกสัมผัสได้ เราสัมผัสได้ ว่าไอ้คนเนี่ยมันของจริง มันไปเจอเรื่องอะไรแบบนี้มาจริงๆนะ

    และทั้งหมดที่ผมพูดถึงก็ถูกบรรจุอยู่ในเล่มนี้


  • SORRY, SORRY ขอโทษครับ…ผมเป็นติ่ง
    คันฉัตร รังษีกาญจน์ส่อง

    “ถ้าเราอยากรู้จักนักเขียนคนไหนให้ไปอ่านหนังสือเล่มแรกของเค้า” นี่เป็นประโยคที่ผมเคยได้ยิน

    และมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆเพราะนี่คือหนังสือเล่มแรกของพี่ต่อ ในสำนักพิมพ์แซลม่อน


    หลังจากเราอ่านเล่มนี้ เราก็พอจะรู้จักชายที่ชื่อ ต่อ คันฉัตรมากขึ้น รวมทั้งงานเขียนของเค้า

    ที่ครบองค์สามเหมือนอ่านบทหนังยังไงอย่างนั้น การเล่าเรื่องที่รู้สึกจับต้องได้

    และที่สำคัญเราได้เจอลีลาการเล่าเรื่องแบบออกสาวของเค้า !


    “ให้ตายเถอะ มันอ่านสนุกชะมัด” นี่เป็นประโยคแรกที่ผมอุทานขึ้น หลังจากอ่านเล่มนี้จบ

    และหนังสือของพี่ต่อคันฉัตรและงานเขียนของเค้ามันก็เป็นแบบนั้นตลอดมา

    จริงอย่างที่เค้าพูด” ถ้าเราอยากรู้จักนักเขียนคนไหนให้ไปอ่านหนังสือเล่มแรกของเค้า”

     

    เล่มนี้เล่าถึงประสบการณ์การบินไปเกาหลีเพื่อไปดูคอนเสิร์ต BigBang !!!

    และยังพูดถึงกระแสเกาหลีฟีเวอร์และคำว่าติ่งเกาหลี ว่ามันเป็นยังไง

    เล่มนี้จึงไม่ใช่แค่หนังสือเล่าถึงประสบการณ์ท่องเที่ยวของคนๆหนึง แต่ยังเป็นการสื่อสารถึงผู้ที่ได้มาอ่าน

    เป็นการปรับทัศนคติเกี่ยวกับคำว่า “ติ่งเกาหลี”

    ว่าทำไมพวกเค้าถึงมอบความรักให้ศิลปินที่เค้ารักขนาดนั้น?

    ทำไมถึงทุ่มเทขนาดนั้น ?

    และพี่ต่อคันฉัตร ก็อธิบายให้เราเข้าใจถึงคำถามเหล่านี้ และเข้าใจพวกเค้าเหล่านี้ได้อย่างชัดเจน

    (และอ่านสนุกมาก เช่นเคย)


  • แอดเวนเจอร์ออฟเมอฤดี ฉบับโตเกียวดริฟต์
    คันฉัตร รังษีกาญจน์ส่อง

    เล่มนี้จัดเป็นหนังสือเล่มแรกในซีรี่ส์หนังสือ “แอดแวนเจอร์ ออฟ เมอฤดี”

    จากคำบอกเล่าตามคำนำหนังสือ “แอดแวนเจอร์ ออฟ เมอฤดี”

    คือหนังสือบันทึกการท่องเที่ยวและวัฒนธรรมของประเทศที่ชายชื่อต่อ คันฉัตร ได้เดินทางไปสัมผัสมา


    แต่จริงๆมันมีอะไรมากกว่านั้น นิยามของหนังสือของชุดนี้จริงๆคือ

    บันทึกการเดินทางไปต่างประเทศส่วนมากจะตามรอยภาพยนต์และเที่ยวตามสถานที่ลับแลต่างๆ

    เป็นบันทึกการเดินทางฉบับกึ่งทุกข์กึ่งสุข และกึ่งวัฒนธรรม


    สำหรับผม เวลาไปเที่ยวแล้วไปเจอสถานที่แปลกๆสวยๆ สิ่งที่ผมจะทำคือถ่ายรูป และจบลงแค่นั้น

    หรือถ้าไปเจอเด็กนักเรียนญี่ปุ่นแต่งตัวแปลก เราก็จะทำแค่ถ่ายรูป แล้วก็ผ่านไป

    แต่สำหรับพี่ต่อสิ่งเหล่านี้มันอะไรมากกว่านั้น มันคือวัฒนธรรมของประเทศนั้นอย่างหนึง

    เค้าสามารถอธิบายออกมาได้ว่าทำไมผู้คนถึงทำอย่างนั้น ทำไมถึงแต่งตัวอย่างนั้น สถานที่นี้มันมีความเป็นมายังไง

    และระหว่างทางสิ่งที่พี่แกได้เจอในทุกทริปก็คือ อุปสรรคต่างๆนานา และความวุ่นวายระดับวายป่วง

    เราจึงพูดได้เต็มปากว่านี่แหละคือแอดแวนเจอร์จริงๆ เพราะมันคือการผจญ “ภัย”

    และส่วนนี่แหละคือส่วนที่สนุกที่สุดของซีรี่ส์หนังสือชุดนี้ (...)


    เล่มนี้ จะบันทึกการเดินไปญี่ปุ่นเพื่อไปตามรอยวัฒนธรรม J-Pop ต่างๆ

    แต่เป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของทริปนี้คือ

    การไปตามหาโลเคชั่นของหนังเรื่อง All About Lily Chou-Chou หนังญี่ปุ่นชื่อดังที่พี่ต่อคลั่งใคล้มาแต่ไหน

    รวมๆแล้วเล่มนี้อ่านสนุก ตามมาตรฐานของพี่แกมาก อ่านเพลิน จัดเต็ม 26 บทเลยทีเดียว (ปกติจะมีประมาณ 14 บทเท่านั้น)

    หนังสือในซีรี่ส์นี้ยังมี แอดเวนเจอร์ ออฟ เมอฤดี ฉบับ TAIPEI PANIC เพียงชายคนนี้ไปไทเป

    เป็นการผจญภัย ฉบับไทเป ดินแดนที่คนส่วนใหญ่ชอบถามว่า ไปทำไมไทเป

    ที่นี่มีอะไรให้เที่ยวหรอ ? เล่มนี้พอจะตอบคำถามเหล่านั้นได้


    และเล่มสุดท้ายนั่นคือ AUSTRIA SONATA แอดเวนเจอร์ ออฟ เมอฤดี ฉบับคลาสสิก

    เป็นการผจญภัยฉบับออสเตรีย (ไม่ใช่ออสเตเรีย)

    นี่เป็นการเดินทางไปยุโรปครั้งแรกของชายคนนี้ และแน่นอนก็ยังคงเจอกับอุปสรรคมากมาย

    ทั้งความไบโพลาร์ของชาวออสเตรีย , เอาชีวิตรอดจากประเทศที่ไม่มีร้านสะดวกซื้อ ที่เปิด 24 ชม.

    การต้องกินเพื่ออยู่ เพราะสั่งอาหารไม่เป็น , ตามรอยโลเคชั่นหนังในตำนานอย่างเรื่อง Before Sunrise 

    และอีกมากมาย

    และเล่มนี้ยังคงมาตรฐานความสนุกไว้ตามแบบฉบับ แอดแวนเจอร์ฉบับเมอฤดีเหมือนเดิม



    จบแล้วครับ กับ รีวิวหนังสือวันนี้ จริงๆมีอีกหลายเล่มเลย ที่เราไม่ได้รีวิว 

    เดี๋ยวจะถยอยอัพขึ้นไปให้อ่านกันนะครับ

    ลาแล้วครับ เจอกันในเร็วๆนี้

    สวัสดี


Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in